ผู้เฒ่าปฐีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ายังไม่กล้าที่จะตั้งคำถามมากเกินไปจึงรีบอธิบาย “ไม่ใช่ว่าปาจื้อนี้ไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสม...อันที่จริงก่อนหน้านี้ไม่นาน เซียนสื่อภายใต้ที่นั่งของเสี่ยนอิงซิงจวินแห่งวังจื่อถงเพิ่งเข้าสู่จิตสำนึกของชายชรามาสอบถามเกี่ยวกับชะตาของปาจื้อนี้ ดูเหมือนว่า์ได้หยิบยกเื่นี้ขึ้นมาแล้ว นอกจากนี้เซียนสื่อผู้นั้นค่อนข้างเร่งรีบ หลังจากได้ฟังเจตนาของเขา แม้แต่เสี่ยนอิงซิงจวินก็ยังฟังคำสั่งและทำธุระแทนผู้อื่น เห็นได้ว่าผู้ที่อยู่เื้ั...ไม่ใช่ผู้น้อย”
หลินอวิ๋น “...”
ผู้เฒ่าปฐีหันหน้าไปด้านข้าง หลังจากคิดเกี่ยวกับเื่นี้ จึงถามอย่างสงสัยด้วยความระมัดระวัง “โอ้...ข้ายังไม่ทราบนามของเซียนจวิน...ที่พำนักเซียนอยู่แห่งหนใดกัน?”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลินอวิ๋นขัดจังหวะด้วยเสียงหัวเราะแหบแห้ง “ฮ่าๆๆๆ” หลินอวิ๋นตบต้นขาของตนดัง ‘เพียะ’ ไม่นั่งยองอีกต่อไป รีบลุกขึ้นยืนหัวเราะพลางบ่น “ไอ้หยา! นี่มันช่าง!!! ที่แท้ก็มีเซียนสื่อมาสอบถามเื่นี้อยู่แล้ว...ช่างให้ข้าน้อยมาเสียเที่ยวจริงเชียว! ช่างเถอะๆ...หากเป็เช่นนี้ ข้าไม่ขอรบกวนให้มากความแล้ว ท่านผู้เฒ่า ขอบคุณมาก”
ขณะที่พูดนั้นเขาหมุนตัว ไม่แม้แต่จะมองผู้เฒ่าอีก รีบถอนค่ายกลอย่างรวดเร็วแล้วบินราวกับหลบหนีออกไป
แค่ล้อเล่นเท่านั้น หากถูกล่วงรู้ว่ามนุษย์ธรรมดาเช่นเขากล้าที่จะแสร้งทำเป็เซียนจวินจากแดน์...ผลที่ตามมาไม่อยากจะคิด!
เมื่อวิ่งไปได้ไกลพอจึงพักขาสักหน่อย หลังจากนั้นยืนพิงฐานกำแพงเมืองที่เงียบสงัดในความมืดยามค่ำคืน หายใจหอบหนักตรงหน้าอก
หลังจากนั้นเป็เวลานาน เขาถึงค่อยๆ สงบลง หากไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยการโจมตีนี้ จึงทำได้เพียงคิดแผนระยะยาว...
หากเป็ไปได้เขาไม่้าใช้วิธีนี้เท่าไร เพราะหากไม่ระวังจนที่อยู่รั่วไหลไป อาจถูกทราบเข้าว่าตนผิดคําสาบานอีกครั้ง ทั้งยังลอบออกมาเช่นนี้ คนผู้นั้นจะปล่อยวางตนเองหรือไม่เป็เพียงเื่เล็กน้อย ทว่าหลินอวิ๋นไม่อยากเห็นแววตาผิดหวังของเขาที่มีต่อตนเองอีกแล้ว
คิดไม่ถึงว่าคำสาปชั่วร้ายในโซ่วหลิงจะดึงดูดการแทรกแซงจาก์! เพื่ออัครเสนาบดีหลิวตัวน้อยเช่นนี้แล้วคุ้มค่าจริงหรือ? หรือสิ่งที่คนบน์กำลังตามหาเป็สิ่งที่สําคัญที่สุด เื้ัที่น่าสงสัยของคำสาปร้อยผีกลืนใจ ตัวอย่างเช่นาาผีอย่างนั้นหรือ?
เนื่องจาก์กำลังแทรกแซง เซียนจวินที่ส่งมานั้นต้องมายังโลกในอีกไม่ช้า มีเวลาเหลือไม่มากสำหรับเขา จําเป็ต้องหาหลักฐานที่แน่นอนโดยเร็วที่สุดก่อนที่เซียนจวินจากแดน์จะลงมา!
เขาไม่กล้ารีรออีกต่อไป หลินอวิ๋นใช้เคล็ดวิชาระดับสูงอีกครั้ง พลังิญญาที่มีอยู่ช่างจำกัด เขาเรียกบุคคลหนึ่งออกมา
ไม่นานนัก ร่างสีดำสูงใหญ่ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในค่ำคืนอันเงียบสงัด ร่างนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดเผยให้เห็นใบหน้าอย่างสมบูรณ์
ผู้ที่มานั้นค่อนข้างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาว รูปร่างผอมบางทว่าดูไม่อ่อนแอ นำมาซึ่งเจตนาสังหารอยู่หลายส่วน ท่าทางทรงความรู้อยู่มากโข ดวงตาใสคู่นั้นแสดงออกอย่างอดไม่ไหว ขมวดคิ้วและมองมาที่ผู้อัญเชิญ ทว่าหลังจากเห็นใบหน้าอย่างชัดเจน ดวงตากลับเบิกกว้างโดยพลัน กล่าวด้วยความประหลาดใจ “คุณ คุณชาย?!”
หลินอวิ๋นยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ โบกมือพลางะโ “อวี่ซู ในที่สุดเราก็ได้พบกัน”
หลังจากอวี่ซูหายประหลาดใจแล้วก็น้อมตัวลงคำนับ ทว่ากลับถูกหลินอวิ๋นหยุดไว้ด้วยแขน เขารีบบอก “อย่า! ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้! ข้ารับไว้ไม่ไหว! “
บนใบหน้าของอวี่ซูฉายแววซับซ้อน จากนั้นถอนหายใจเอ่ย “คุณชาย นี่เป็การกดดันข้าน้อยเสียแล้ว”
หลินอวิ๋นหัวเราะบอก “ ‘ท่านนั้น’ ของเ้ายังอยู่ดีใช่หรือไม่?”
เมื่อกล่าวไปถึงท่านนั้น อวี่ซูกลับแสดงสีหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เขาส่ายศีรษะแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังคงเหมือนเดิม เหยียดหยามทุกสิ่ง ไม่มีอะไรเป็ชิ้นเป็อัน...ตลอดทั้งวันไปมั่วสุมกับผู้คนจากสามโลกหกเหล่า เมื่อเร็วๆ นี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยอยู่หลายเดือน”
หลินอวิ๋นยิ้มพลางตอบกลับ “ตอนข้าอยู่เขาก็ไม่เคยลดความทะเยอทะยานลง...แต่ไม่ต้องพูดถึงเขาแล้ว วันนี้ข้าเรียกเ้ามาเพราะมีเื่สำคัญที่อยากขอให้เ้าช่วย”
อวี่ซูรีบปรับสีหน้า “รับคำสั่งคุณชาย”
หลินอวิ๋นอึดอัดใจเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกัดฟันบอก “อาจลำบากไปสักหน่อย...ข้าใช้เคล็ดวิชาส่งกระแสจิตไม่ได้ จึงอยากให้เ้าส่งคำพูดไปถึงปรโลกแทนข้า”
อวี่ซูขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย “คุณชาย้าส่งคำพูดถึงผู้ใด?”
หลินอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยนามอย่างกระชับและไม่อ้อมค้อม “เสวียนชิง”
อวี่ซูตกตะลึงไปพักหนึ่ง คิดจะถามว่า ‘คุณชาย เหตุใดท่านถึงไม่...ด้วยตนเอง’ เขาคิดได้เพียงครึ่งประโยคกลับรู้สึกว่าถ้อยคำนี้ควรหลีกเลี่ยง ไม่เหมาะสมเท่าไรนัก เขาเม้มมุมปากแล้วหมุนตัวกลับมากล่าวด้วยความเคารพ “ขอรับ...คุณชาย้าส่งคำพูดใด?”
หลินอวิ๋นยื่นเศษกระดาษในมือให้ อวี่ซูรับมาอย่างนอบน้อม มองอยู่สองครั้งก่อนเบนสายตากลับมาที่หลินอวิ๋นอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ
หลินอวิ๋นเอ่ย “เ้าไปบอกเขาแทนข้าว่าข้า้าความช่วยเหลือจากเขาเพื่อตรวจสอบชะตาของบุคคลนี้ในบันทึกหลัวเซิง ข้ารู้ว่านี่เป็ความลับของ์ ดังนั้นหากเขามีการหลีกเลี่ยงแม้เพียงเล็กน้อย เ้าปล่อยให้เขาััมโนธรรมด้วยความคิดของตนเอง ว่าในปีนั้นตอนที่เขาเป็เพียงผู้คุมิญญาตัวเล็กๆ ภายใต้วังเสวียนิ ข้าช่วยเขาไปกี่ครั้ง หากตอนนี้ได้ดิบได้ดีแล้วไม่ไว้หน้ากัน ระวังไว้ว่าเื่น่าอับอายที่เขาเคยทําในอดีตจะเป็ที่รู้กันทั่วทั้งสามโลก!”
อวี่ซูแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นแล้วตอบรับ “ขอรับ”
หลินอวิ๋นกำชับอีกครั้ง “แต่เ้าจำไว้ให้ดี ต้องแอบทำอย่างเงียบๆ อย่าทำให้ผู้ใดตื่นตระหนก ยกเว้นเสวียนชิง!”
อวี่ซูประสานมือให้เขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยทราบแล้ว”
หลินอวิ๋นส่งยิ้มตอบ “ไปเถอะ...ข้าจะรอข่าวดีจากเ้า”
“ขอรับ”
เมื่อถ้อยคำสิ้นสุด เงาร่างพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลินอวิ๋นเผชิญหน้ากับถนนร้างไร้ผู้คนอีกครั้ง เขายิ้มเล็กน้อย จากนั้นกอดอกแล้วฮัมเพลงเบาๆ ร่างของเขาเคลื่อนไหวมาร่อนลงบนหลังคาของหอปราสาท เมื่อแน่ใจแล้วว่าตนเองจะไม่กลิ้งตกลงไปจึงนอนไขว่ห้างบนหลังคาพลางชมพระจันทร์บนฟ้า
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว นานมากจนเขากำลังจะหลับ ทันใดนั้นกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นในความคิด “เฮ้!”
หลินอวิ๋นตื่นขึ้นมาด้วยความใแล้วรีบลุกขึ้นมองด้านข้าง จากนั้นเบิกตากว้างทันที เขาแย้มยิ้มราวกับดอกไม้ ขณะเดียวกันก็บีบเสียงพูด “ไอ้หยา! ขอโทษด้วยๆ ปัญหาเื่ราวรุมเร้าจนแทบลืมเลือนท่านผู้เฒ่าไปเสียแล้ว”
ผู้ที่มาสวมอาภรณ์สีดำเปียกปอนทั่วร่าง มองมาที่เขาด้วยใบหน้าซีดเซียว มีไฟโทสะที่ระงับไม่ได้อยู่ทั่วร่าง
ก่อนที่คนผู้นั้นจะลงมือ หลินอวิ๋นรีบดึงผ้าเช็ดเหงื่อออกมาจากแขนเสื้อของเขา จากนั้นชูขึ้นเพื่อ้าจะเช็ด ทว่าหลังจากที่คนผู้นั้นกลอกตามอง เขาจึงเก็บกลับไปในแขนเสื้อด้วยความลำบากใจ
คนผู้นั้นต่อว่า “เ้าจงใจใช่หรือไม่!!!”
หลินอวิ๋นระบายยิ้มบอก “นี่มันปรักปรำกันแล้ว! ข้ามิบังอาจ!”
มีแสงรัศมีสว่างวาบรอบกายของคนผู้นั้น หลังจากนั้นเสื้อผ้าที่เปียกกลับแห้งสนิทในทันที เสื้อคลุมผ้าไหมโปร่งแสงคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำ ชายเสื้อพริ้วไหวท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน เงาร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
หลินอวิ๋นกล่าวอย่างหมดหนทาง “มาคุยกันเถิด...ท่านผู้เฒ่าก็รู้ถึงพลังิญญาของข้าในตอนนี้แล้ว...พวกเราไม่ต้องสิ้นเปลืองทำเื่ไม่จำเป็หรอกกระมัง?”
คนผู้นั้นตะคอกอย่างเ็า “มันจะขึ้นสนิม”
หลินอวิ๋น “...”
.............................
ภายในโซ่วหลิง โรงเตี๊ยมที่สกุลหลิวจัดไว้สำหรับลูกศิษย์สำนักเต๋า อี้จื่ออีกับไท่ซื่อซานทั้งสำนักได้นำไป้เอ๋อร์มาอยู่รวมกันที่โต๊ะ อี้จื่ออีนั่งข้างเขา คอยคีบผักใส่ชามให้ ขณะเดียวกันก็เกลี้ยกล่อม “มาๆๆ กินเยอะๆ กินให้มาก กินแล้วจะได้โตไวๆ”
“อืม” ไป้เอ๋อร์ยัดบางอย่างเข้าปาก หลังแก้มพองเพราะอาหารจึงตอบกลับไปอย่างไม่ชัดเจน
อี้จื่ออียิ้มบอก “ไป้เอ๋อร์น้อย พี่ชายถามอะไรเ้าหน่อยได้หรือไม่?”
ไป้เอ๋อร์ที่กำลังเคี้ยวอย่างสุดชีวิตหันหน้าไปมอง ดวงตากลมโตฉายความสงสัยแทนริมฝีปาก
อี้จื่ออียัดน่องไก่อีกชิ้นลงในชามให้ ถามอย่างแเี “เ้ากับอาจารย์ของเ้ามาจากที่ใดกัน?”
ไป้เอ๋อร์หยุดนิ่งไปนาน เมื่อกลืนสิ่งที่อยู่ในปากแล้วถึงค่อยตอบ “เขาฉู่อวิ๋น”
อี้จื่ออีพยักหน้าแล้วถามอีกครั้ง “อาจารย์ของเ้ามีเ้าเป็ศิษย์เพียงคนเดียวหรือ?”
ไป้เอ๋อร์พยักหน้า “อืม”
อี้จื่ออีส่งเสียง “ชิ” ก่อนพูด “ทำไมเขาถึงไม่รับศิษย์พี่ศิษย์น้องเพิ่มให้เ้าล่ะ?”
ไป้เอ๋อร์เองก็สงสัยเช่นเดียวกัน “ไม่รู้สิ” พูดจบก็ยัดอาหารเข้าปากต่อ
อี้จื่ออีถามอีกครั้ง “เช่นนั้นโดยปกติแล้ว เขาจะพาเ้าไปทุกแห่งหนเพื่อ...แสวงหาประสบการณ์หรือ?”
ไป้เอ๋อร์กล่าว “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้พวกเราอาศัยอยู่ที่เขาฉู่อวิ๋นมาโดยตลอด ครั้งนี้เพียงออกมาทำธุระ ท่านอาจารย์บอกไว้ว่า้าพาข้าออกมาหาประสบการณ์เพิ่ม”
อี้จื่ออีขมวดคิ้ว “อาจารย์ของเ้าได้บอกกับเ้าหรือไม่ว่าเขาออกมาทำธุระใด?”
ไป้เอ๋อร์ทั้งเคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปากพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายศีรษะ
อี้จื่ออีนิ่งไปชั่วขณะ ผ่านไปชั่วครู่เขาถามอีก “อาจารย์ของเ้า...ทำไมถึงรับเ้าเป็ศิษย์? ข้าคิดว่า...ต้องเป็เพราะไป้เอ๋อร์มีพร์ที่เฉลียวฉลาด? ปกติแล้วอาจารย์ของเ้าสอนอะไรให้บ้าง?”
ไป้เอ๋อร์นิ่งไปชั่วครู่ “อาจเป็เพราะข้าดูคล้ายน้องชายของเขากระมัง? “
อี้จื่ออีเลิกคิ้ว “อาจารย์ของเ้ามีน้องชายด้วยหรือ?”
ไป้เอ๋อร์ตอบกลับ “ข้าก็ไม่รู้ เพียงแค่เคยได้ยินเขาพูดถึง บอกว่ายามเห็นข้าจะนึกถึงน้องชาย”
อี้จื่ออี “น้องชายของเขา...อาศัยอยู่กับเขาหรือไม่?”
ไป้เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์อาศัยอยู่คนเดียวในอารามเต๋านอกหมู่บ้านของพวกเรา...หลังจากที่เขารับข้าเป็ศิษย์แล้ว ่คืนเดือนดับเจ็ดวันของทุกเดือน ท่านอาจารย์จะให้ข้าไปอยู่ที่อารามเต๋ากับเขา ส่วนเวลาที่เหลือข้าอยากไปก็ไป หากไม่อยากก็กลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่พี่น้อง”
อี้จื่ออีส่งยิ้มก่อนตอบ “เป็เช่นนี้เอง... “
ไป้เอ๋อร์พยักหน้า “อย่างไรก็ตาม บ้านของข้าอยู่ใกล้กับอารามเต๋าของท่านอาจารย์”
อี้จื่ออี “เช่นนั้นพ่อแม่ของเ้า...ก็ไม่คัดค้านที่เ้าเรียนวิชากับอาจารย์หรือ?”
ไป้เอ๋อร์ตอบ “ตอนเด็กๆ ข้ามีโรคประจำตัว ก็ได้ท่านอาจารย์รักษาให้...ท่านอาจารย์ยังบอกอีกว่าหากข้าอยากหายจากโรคต้องติดตามเขาไป นอกจากนี้ ผู้คนในหมู่บ้านของพวกเราต่างก็บูชาท่านอาจารย์ของข้า!”
อี้จื่ออีเริ่มสนใจแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “อย่างนั้นหรือ? ทำไมเล่า?”
ไป้เอ๋อร์เงยหน้าด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ “เพราะท่านอาจารย์ของข้าเก่งอาจอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”
อี้จื่ออี “...”
เมื่อเห็นว่าหัวข้อนี้ไม่สามารถคุยต่อไปได้อีก อี้จื่ออีจึงทำได้เพียงส่งยิ้มแห้ง บอกให้เขากินมากๆ จากนั้นลุกไปจากโต๊ะ
ทันทีที่เขาออกจากงานเลี้ยง ศิษย์ของไท่ซื่อซานก็ตามออกมาจากงานเลี้ยงเช่นเดียวกัน ต่างติดตามไปพร้อมกับหลีกเลี่ยงผู้คน จากนั้นจับแขนเสื้อของอี้จื่ออีแล้วพูดเสียงเบา “ศิษย์พี่อี้...ขอทานตัวน้อยคนนี้เป็ใคร? สำนักของพวกเรากลายเป็...สถานที่ดูแลเด็กให้กับผู้อื่นั้แ่เมื่อไรกัน?”
อี้จื่ออีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็อยู่ของเ้า จะสนใจอะไรมากนัก?”
ศิษย์ผู้นั้นกล่าว “ไม่ใช่...ศิษย์พี่อี้ อาจารย์ของเด็กคนนี้ท้ายที่สุดแล้วมีความเป็มาอย่างไร? ทำไมข้าเห็นว่าท่านปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพนัก?”
อี้จื่ออีตบท้ายทอยของอีกฝ่ายเต็มฝ่ามือ “อะไรที่เรียกว่าเคารพ? หืม อะไรที่เรียกว่าเคารพ? บอกได้หรือไม่?”
“โอ๊ย ศิษย์พี่อี้ ข้าผิดไปแล้ว! อย่าตีข้าแรง”
ทั้งสองคนยังพูดไม่จบ กลับได้ยินเสียงดังและเสียงฝีเท้าจากด้านข้างจึงเริ่มลุกลี้ลุกลนพลางเอนกายเล็กน้อย ศิษย์จงหลีซานที่อยู่ถัดไปรีบออกมา ในมือถืออาวุธกับเครื่องรางของขลัง ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ชุดยังไม่ได้ผูกให้ดี วิ่งไปพลางสวมไปพลาง
เมื่อกลุ่มคนเดินผ่านมา อี้จื่ออีคว้าหนึ่งในนั้นอย่างว่องไวแล้วถาม “สหายนักพรตท่านนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ศิษย์จงหลีซานผู้นั้นขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างรีบร้อน “ไอ้หยา! รีบปล่อยข้า! พวกท่านยังไม่รู้อีกหรือ?”
พวกเขาทั้งสองคนถามโดยพร้อมเพรียง “รู้ว่าอะไร?”
ศิษย์จงหลีซานผู้นั้นกล่าว “จวนอัครเสนาบดีหลิวเกิดเื่แล้ว! ค่ายกลที่พวกของไป๋เจ๋อจวินวางเอาไว้ในจวนอัครเสนาบดีหลิว...พลันมีภูตผีจำนวนมากออกมา กำลังคนในจวนไม่เพียงพอ! เขตอาคมที่ห้องนอนของอัครเสนาบดีใกล้จะพังเสียแล้ว! รีบปล่อยข้า! ข้าต้องรีบไปช่วย!” ไม่รอให้ทั้งสองตอบสนองใดๆ อีกฝ่ายผละออกจากพันธนาการของอี้จื่ออี รีบร้อนบินตามคนที่อยู่ด้านหน้าไป
ทั้งสองคนตกตะลึงจนพูดไม่ออก จากนั้นมองหน้ากันเป็เวลานาน อี้จื่ออีรีบออกคำสั่ง “ไปเร็ว ไท่ซื่อซานของพวกเราไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ขอรับ!!!”
ผู้ที่เหลืออยู่ในจวน...คือนักพรตระดับสูงสุดในสำนักเต๋า...ไม่คาดคิดว่าแม้มีพวกเขาอยู่กลับยังคงป้องกันค่ายกลเอาไว้ไม่ได้ อี้จื่ออีครุ่นคิดในขณะที่นำผู้คนจากไท่ซื่อซานวิ่งออกไป
------------------------