สามปีเจ็ดเดือนผ่านไป
ณ เมืองฟางกู้แห่งแคว้นเยี่ยน
เมืองฟางกู้เป็เมืองที่สร้างขึ้นอย่างแปลกประหลาดเมืองอื่นโดยส่วนใหญ่จะสร้างเป็ทรงสี่เหลี่ยมและเป็ระเบียบเรียบร้อย หากมองจากที่ไกลๆ เมืองฟางกู้มีรูปทรงคล้ายหัววัว มีกำแพงเมืองยื่นออกไปเป็รูปครึ่งเสี้ยวคล้ายเขาวัวนั่นเองตัวเมืองด้านหลังจะมีขนาดใหญ่กว่าด้านหน้า รูปทรงที่แปลกประหลาดเช่นนี้ใต้หล้าคงไม่มีใครเหมือน
ว่ากันว่า ก่อนหน้านี้เมืองฟางกู้ก็เป็ระเบียบและมีรูปแบบเหมือนเมืองอื่นๆ ทั่วไป แต่เพราะาาองค์ที่สองของแคว้นเยี่ยน หรือก็คือาาเยี่ยนเหวิน-มู่หยุน ที่เกือบจะผนึกสิบหกแคว้นทางแดนเหนือให้เป็อันหนึ่งอันเดียวกันได้พระองค์นั้นทรงเข้ามาออกแบบและเปลี่ยนแปลงผังเมืองด้วยตนเอง เมืองแห่งนี้ถึงได้เป็เช่นทุกวันนี้ต้องยอมรับเลยว่าการออกแบบโดยไม่พิจารณาเื่ความสวยงามนี้ช่วยยกระดับความสามารถในการป้องกันเมืองได้มากจริง ๆการสร้างกำแพงเป็ทรงครึ่งวงกลมเช่นนี้สามารถเพิ่มพื้นที่ในการโจมตีศัตรู ทำให้ทหารภายในเมืองได้เปรียบเื่การโจมตียิ่งไปกว่านั้น ปีกสองข้างของกำแพงทรงครึ่งวงกลมนี้ยังสามารถตัดขาดจากกำแพงเมืองหลักได้อีกด้วย ดังนั้นต่อให้ศัตรูจะยึดส่วนนี้ของกำแพงได้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
ส่วนเื่การออกแบบให้ด้านหน้าของเมืองมีลักษณะแคบ และด้านหลังมีลักษณะกว้างเช่นนี้ก็เพราะความกว้างของท้ายเมืองจะทำให้ทหารภายในเมืองได้เปรียบและมีพื้นที่ในการตั้งค่ายศึกมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ การสร้างให้หน้าเมืองเล็กก็เพื่อให้ทหารฝ่ายศัตรูไม่สามารถแสดงกำลังที่แท้จริงรวมไปถึงใช้อุปกรณ์ทางการรบได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
แน่นอนว่า เื่ทั้งหมดนี้เป็เพียงตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปจะรู้เื่การวางแผนทำศึกเหล่านี้ได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้น แม้แคว้นเยี่ยนจะมี่ที่อ่อนแอนานกว่าสิบปีก็จริงแต่ตลอดสิบปีมานี้ ยังไม่เคยมีศัตรูบุกเข้ามาโจมตีเมืองได้เลยสักครั้งและเมื่อสิบปีก่อน หลังแม่ทัพใหญ่ฟางจือจี่ก่อตั้งกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กขึ้นมาอีกครั้งกำลังทหารของแคว้นเยี่ยนก็เพิ่มขึ้นมาก แม้จะไม่ได้แข็งแกร่งและรุ่งโรจน์เหมือนใน่ที่าามู่หยุนยังอยู่แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งมากพอที่จะป้องกันตัวได้แล้ว
เพราะทางใต้มีจักรวรรดิต้าซีที่แสนแข็งแกร่งอยู่ดังนั้น แคว้นเล็กที่ตั้งอยู่รอบ ๆ ไม่เว้นแม้แต่เยี่ยนโยวสิบหกแคว้นจึงไม่กล้าเรียกผู้ครองแคว้นของตัวเองว่าองค์จักรพรรดิ แต่เป็เพียงาาเท่านั้น
าาของแคว้นเยี่ยนในตอนนี้คือองค์ชายรองมู่ฉางเยียนที่เพิ่งกลับแคว้นมาเมื่อสี่ปีก่อนนั่นเอง
และแม่นางเยว่ที่กลับมาพร้อมกับมู่ฉางเยียนก็ถูกขังเอาไว้ในคุกนานกว่าสามปีแล้ว
วังหลวงซึ่งเป็ที่ตั้งของตำหนักวิหาร์อยู่ที่ด้านหลังของเมืองฟางกู้ ไกลจากกำแพงเมืองเป่ยเพียงไม่ถึงห้ากิโลเมตรเท่านั้น ถัดจากกำแพงด้านเหนือไปประมาณสิบห้ากิโลเมตรเป็ูเาซึ่งเป็ส่วนหนึ่งของเทือกเขาชางหมาน คนที่นี่เรียกมันว่าเทือกเขาเยี่ยนหากข้ามูเาลูกนี้แล้วเดินขึ้นไปทางเหนือ จะพบกับดินแดนเพียวแห่งแคว้นเยี่ยน...ที่มันถูกเรียกว่าดินแดนเพียวก็เพราะพื้นที่แถบนี้อยู่ในการควบคุมของชนเผ่าที่มีอาชีพเลี้ยงสัตว์นั่นเองดังนั้น แม้ที่นี่จะถือเป็แผ่นดินของแคว้นเยี่ยน แต่แท้จริงแล้ว ที่นั่นมีทหารของแคว้นเยี่ยนประจำการอยู่เพียงไม่มากเท่านั้น
เทือกเขาเยี่ยนเป็สถานที่ที่สูงชันและอันตรายมาก อีกทั้งชนเผ่าโยวมู่ก็ไม่ช่ำชองเื่การโจมตีเพื่อยึดเมืองอีกดังนั้น เมื่อมีูเาเยี่ยนซึ่งเป็เหมือนปราการธรรมชาติกั้นอยู่เช่นนี้ แคว้นเยี่ยนจึงไม่ได้กังวลหรือให้ความสนใจกับชนเผ่าโยวมู่สักเท่าใดนัก
ณ วังหลวงแคว้นเยี่ยน
าามู่ฉางเยียนกำลังประทับเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ทรงงานใน่หลายปีมานี้ นับวันพระองค์ก็ยิ่งเหม่อลอยบ่อยครั้งมากขึ้นทุกที ที่โต๊ะทรงงานเบื้องพระพักตร์มีฎีกาเรียงสูงเกือบหนึ่งเมตรแต่พระองค์ก็ไม่แม้แต่จะทรงเปิดอ่าน เพราะทรงระลึกถึงแต่เื่ผู้หญิงคนนั้นคนเดียวหญิงที่บัดนี้ถูกขังอยู่ในคุกลับซึ่งแม้แต่พระองค์เองก็ยังเข้าพบไม่ได้คนนั้น...
าามู่ฉางเยียนทรงพึมพำขึ้นเบา ๆ“ข้าช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก หลังกลับมาที่ต้าเยี่ยนเ้าก็ต้องมาตกระกำลำบากเช่นนี้ วางใจเถอะ ให้เวลาข้าอีกนิด ข้าต้องช่วยเ้าออกมาได้แน่”
ทันใดนั้น...ขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าก็วิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว“ไทเฮาเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
าามู่ฉางเยียนมีสีพระพักตร์เปลี่ยนไปในพริบตาทรงรีบประทับยืนจากนั้นก็ดำเนินเร็ว ๆ ไปที่หน้าประตูแล้วโค้งพระวรกายลง จนเมื่อหญิงงามในฉลองพระองค์เต็มยศปรากฏกายขึ้นพระองค์ก็โค้งพระวรกายลงต่ำมากกว่าเดิม “ถวายบังคมเสด็จแม่”
ตอนนี้ซูชิงนวนไทเฮามีพระชนมายุเพียงสามสิบเก้าพรรษาเท่านั้นหากไม่ใช่เพราะโอรสแท้ ๆ ของพระนางประชวรแล้วจากไปละก็ องค์ชายรองมู่ฉางเยียนไม่มีทางได้ขึ้นเป็าาแน่และที่พระนางเลือกองค์ชายมู่ฉางเยียนก็เพราะรู้จักนิสัยของเขาดี ดูเผิน ๆ แล้วอาจคล้ายกับคนบ้าบิ่นไม่น้อยทว่าแท้จริงแล้ว เขาก็เป็เพียงคนที่ทั้งอ่อนแอและขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่มีความคิดเป็ของตัวเอง มักจะถูกคนอื่นโน้มน้าวหรือโอนเอนไปกับความเห็นของคนอื่นเสมอ
คนเช่นนี้...เหมาะจะเป็หุ่นเชิดมากที่สุดแล้ว
และความจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ซูไทเฮาทรงมองคนไม่ผิดเลยจริงๆ การกระทำที่กล้าหาญมากที่สุดที่องค์ชายมู่ฉางเยียนทรงเคยทำก็คือ พาแม่นางเยว่หนีไปที่โลกมายาเพื่อปกป้องนางนั่นเองทว่าเมื่อเสด็จกลับมาที่วังหลวง ทันทีที่ได้เข้าเฝ้าซูไทเฮาอีกครั้ง ความกล้าหาญเช่นนี้ก็สลายหายไปจนหมด
“ลุกขึ้นเถอะ”
พระสุรเสียงของซูไทเฮาแหบพร่าเล็กน้อยไม่ได้น่าฟังและไพเราะอ่อนหวานเหมือนกับเสียงของผู้หญิงคนอื่น ๆทว่านั่นกลับไม่อาจส่งผลกระทบต่อความงามของพระนางเลยแม้แต่น้อย ทรงมีความงามที่ทั้งเยือกเย็นเย่อหยิ่ง ทว่าก็โอบอ้อมอารีเหลือเกิน เดิมทีพระนางเป็องค์หญิงจากแคว้นจ้าวที่ถูกส่งมาอภิเษกกับาาแห่งแคว้นเยี่ยนเพื่อสานสัมพันธ์เท่านั้นแต่หลังจากที่อดีตาาประชวรและสิ้นพระชนม์ไป อำนาจทั้งหมดก็ตกมาอยู่ในมือของพระนางหากไม่ใช่เพราะพระนางไม่อาจสถาปนาองค์เองขึ้นเป็าาแห่งแคว้นได้ด้วยกลัวว่าจะส่งผลต่อชื่อเสียงบวกกับไม่อยากมีเื่กับตระกูลใหญ่ที่เป็มหาอำนาจในแผ่นดินละก็ พระนางคงไม่ปล่อยให้องค์ชายรองมู่ฉางเยียนที่ไม่โปรดมากที่สุดคนนี้ขึ้นมาเป็าาแน่
ซูไทเฮาทรงรักษาความงามไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งที่มีพระชนมายุเกือบสี่สิบพรรษาแล้ว แต่ยังไม่มีส่วนไหนในพระวรกายที่หย่อนยานเลยพระพักตร์ก็ไม่มีริ้วรอยเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้น ที่หางพระเนตรก็เริ่มมีร่องรอยแห่งกาลเวลาปรากฏให้เห็นอยู่ดี
ซูไทเฮาทรงพระดำเนินรวดเร็วเข้ามาในห้องทรงงานโดยมีนางกำนัลสองคนเดินตามมาติด ๆ เมื่อพระนางหมุนตัว นางกำนัลทั้งสองก็รีบคุกเข่าลงเพื่อจัดชายพระภูษาที่ลากยาวให้ทันที
ซูไทเฮาประทับลงบนเก้าอี้จากนั้นก็ทอดพระเนตรฎีกาบนโต๊ะทรงงานแวบหนึ่งทันใดนั้น สีพระพักตร์ของพระนางก็เผยความไม่พอพระทัยมากยิ่งขึ้น
“เ้าเป็าาแห่งต้าเยี่ยน เป็าาของราษฎรนะ”
ปัง! ซูไทเฮาทุบพระหัตถ์ลงบนโต๊ะแรง ๆ“แต่ดูสภาพของเ้าในตอนนี้สิ!”
าามู่ฉางเยียนเงยพระพักตร์ขึ้นทว่ากลับไม่ได้ตรัสสิ่งใดออกมาทรงรู้ดีว่าทรงแพ้ั้แ่วันแรกที่เสด็จกลับมาที่นี่แล้ว แพ้อย่างราบคาบเลยทีเดียวระหว่างทางที่ทรงพาแม่นางเยว่กลับมา ทรงคิดวิธีที่จะปกป้องหญิงอันเป็ที่รักเอาไว้เป็ร้อยเป็พันวิธีคิดถึงขั้นที่ว่า หากไทเฮาไม่ทรงยอมจริง ๆ ก็จะลุกขึ้นต่อต้านให้รู้แล้วรู้รอดกันไปต่อต้านอย่างจริงจัง ต่อให้ต้องทิ้งตำแหน่งาาไปก็จะทรงไม่มีวันปล่อยให้แม่นางเยว่ต้องลำบากอย่างแน่นอน
แต่เมื่อเสด็จกลับมาถึงเมืองฟางกู้วินาทีแรกที่ทรงเห็นสายพระเนตรของซูไทเฮา ก็ทรงรู้ทันทีว่าทรงแพ้แล้ว
“เป็อะไรไป? ไม่คิดจะอธิบายอะไรหน่อยรึ?” ซูไทเฮาตรัสถามขึ้น
าามู่ฉางเยียนก้มพระพักตร์ลงต่ำอีกครั้ง“ลูกหละหลวมเกินไป เสด็จแม่ตรัสถูกต้องแล้ว ต่อไปลูกจะระวังให้มากกว่านี้จะไม่ทิ้งงานแบบนี้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซูไทเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นะเื“ข้ารู้ว่าเ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เ้าคงเกลียดจนอยากจะฆ่าข้าเลยสินะแต่เื่ที่เ้ากำลังคิดจะทำ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ เื่นั้นไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ข้าเมตตากับนางอย่างที่สุดแล้ว ยังดีที่ในตอนนั้นเป็เพราะข้าคนเดียวเท่านั้นข้าจึงยังเมตตาขังนางเอาไว้....หากในตอนนั้นนางส่งผลกระทบไปถึงราชวงศ์ส่งผลกระทบไปถึงหน้าตาของาาแห่งต้าเยี่ยนอย่างเ้าละก็ผู้หญิงคนนั้นคงตายเป็ร้อยเป็พันครั้งแล้ว”
“นางไม่ใช่ผู้หญิงของเ้าแต่เป็ผู้หญิงของอดีตรัชทายาทต่างหาก!”
าามู่ฉางเยียนเงยพระพักตร์ขึ้นอย่างฉับพลัน“หม่อมฉันรู้ว่านางรักแต่เสด็จพี่มาโดยตลอด แต่...”
“ไม่มีแต่!”
ซูไทเฮาประทับยืนขึ้น นางกำนัลที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังจึงรีบคลานตามไป
พระนางดำเนินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพระพักตร์าามู่ฉางเยียนโดยห่างกันเพียงไม่ถึงครึ่งเมตรด้วยซ้ำทรงจ้องเข้าไปในพระเนตรของาาหุ่นเชิดตรงหน้าพลางตรัสขึ้นทีละคำ “ข้าเคยบอกเ้าแล้วอย่างไรเล่าตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ อย่าหวังว่าจะได้อภิเษกกับผู้หญิงคนนั้นเลย เพราะนาง...อดีตรัชทายาทถึงโดนปลดออกจากตำแหน่งจนต้องมาตายแบบนี้ข้าจะปล่อยให้เ้าถูกทำลายเพราะนางไม่ได้อีก ยิ่งเ้าเป็ถึงาาแห่งต้าเยี่ยนเช่นนี้ยิ่งไม่ได้เด็ดขาด!ก่อนหน้านี้นางยั่วยวนอดีตรัชทายาท ทำให้เขาทำตัวสามหาวต่อหน้าเสด็จพ่อของเ้าแล้วตอนนี้ยังมายั่วยวนให้เ้าหลงจนโงหัวไม่ขึ้นอีก...ข้าขอเตือนเอาไว้เลยนะหากเ้ายังทำตัวเช่นนี้ต่อไปละก็ ข้าจะฆ่านางซะ!”
“อย่านะพ่ะย่ะค่ะ!”
ตุบ!
าามู่ฉางเยียนคุกเข่าลงบนพื้น“เสด็จแม่ ลูกผิดไปแล้ว ลูกจะเชื่อฟังคำสั่งของเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าา”
ซูไทเฮาทรงมีท่าทีอ่อนลงมาก พระนางก้มลงไปประคองาามู่ฉางเยียนขึ้นมาจากพื้น“เ้าเป็ความหวังเดียวของต้าเยี่ยน ข้าเองก็หวังกับเ้าเอาไว้สูงมากเช่นกันถึงได้เข้มงวดกับเ้าเช่นนี้ในอดีต ต้าเยี่ยนของเราเป็ใหญ่ในแดนเหนือ เราแข็งแกร่งจนแทบจะรวมสิบหกแคว้นเข้าด้วยกันสำเร็จอยู่แล้ว่นั้น ช่างเป็ยุคที่น่าภาคภูมิใจเหลือเกิน แคว้นโยว แคว้นฮันแคว้นย่งและแคว้นอื่น ๆ ที่เป็ศัตรูกับเรา ต่างก็ยอมศิโรราบต่อพวกเราทั้งนั้นแม้แต่แคว้นจ้าวที่เป็บ้านเกิดของข้าก็ยังแสดงออกว่ายอมศิโรราบต่อต้าเยี่ยนเลยเ้าไม่อยากให้ต้าเยี่ยนกลับไปแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เหมือนเดิมรึ?”
าามู่ฉางเยียนก้มพระพักตร์ลงต่ำ“ลูกจะพยายามอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้เ้าเหนื่อยมามากแล้ว”
พระสุรเสียงของซูไทเฮาอ่อนลงยิ่งขึ้น“สั่งให้คนส่งฎีกาพวกนี้ไปที่ตำหนักข้าเถอะ ข้าจะอ่านฎีกาเหล่านี้แทนเ้าเองแต่ข้าไม่อาจทำแทนเ้าได้ทุกเื่ ต่อไปเ้าต้องพยายามให้มากกว่านี้รู้หรือไม่”
าามู่ฉางเยียนไม่กล้าเงยพระพักตร์ขึ้นมาสบสายพระเนตรซูไทเฮาเลยสักนิด“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซูไทเฮาขานรับเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบ ๆ“ข้าได้ยินมาว่า ่นี้ฟางจือจี่ออกไปฝึกทหารอีกแล้วรึ?”
าามู่ฉางเยียนตรัสตอบกลับไป “พ่ะย่ะค่ะชายแดนด้านตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดกับแคว้นโยวมีเื่กระทบกระทั่งกันบ่อย ๆท่านแม่ทัพบอกว่า จะพากลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กไปที่ชายแดนด้านนั้นเพื่อข่มขวัญแคว้นโยวเสียหน่อยั้แ่ก่อตั้งกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กขึ้นมาใหม่ ยังไม่เคยเกิดาใหญ่ขึ้นเลยสักครั้งแม้ทหารของเราจะแข็งแกร่ง แต่กลับไม่มีประสบการณ์ด้านการรบเลย ดังนั้นท่านแม่ทัพจึง้าจะฝึกทหารเหล่านี้ด้วยการสู้รบเล็ก ๆ น้อย ๆ กับแคว้นโยวพ่ะย่ะค่ะ”
ซูไทเฮาพยักหน้า “ด้านการทหารเชื่อในความสามารถของแม่ทัพฟางจือจี่เถอะ สำหรับกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กเ้าสามารถมอบให้เขาจัดการได้อย่างเต็มที่เพียงแต่คนผู้นี้ชอบทำอะไรตามใจโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เป็ถึงแม่ทัพใหญ่แท้ ๆแต่กลับนำทัพไปที่ชายแดนด้วยตนเอง แล้วงานของกองทัพในเมืองหลวงเล่า ใครจะเป็ผู้ดูแล?เ้าจะไปฝึกทหารเองก็ไม่ได้ ทั้งยังไปจัดการเื่ต่าง ๆในกองทัพไม่ได้อีก ดังนั้นข้าจึงคิดว่า เราควรฟื้นฟูกฎเื่การมีแม่ทัพใหญ่สองคนเหมือนในยุคของาามู่หยุนดีหรือไม่?”
าามู่ฉางเยียนมีสีพระพักตร์เปลี่ยนไปในพริบตาทรงคาดเอาไว้แล้วว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะกะทันหันเช่นนี้
“ลูก...ลูกคิดว่า หากราชสำนักมีแม่ทัพใหญ่ถึงสองคนทั้งสองอาจแก่งแย่งอำนาจและต่อสู้กันเองก็ได้...”
ยังไม่ทันตรัสจบ ซูไทเฮาก็ทรงโบกมือขึ้นเสียแล้ว“เ้ากังวลมากเกินไปแล้ว เป็ถึงาาของแคว้นจะมานั่งกังวลเื่นั่นนี่จนไม่กล้าลงมือเช่นนี้ได้อย่างไรโดยเฉพาะเื่ทางการทหาร ในยามที่ต้องเด็ดขาดก็จงเด็ดขาดให้ได้หากมีแม่ทัพใหญ่สองคน พวกเขาจะได้ช่วยจับตามองอีกฝ่ายไปในตัวด้วย แบบนั้นจะส่งผลดีกับแคว้นมากกว่าซูโจ้งศึกษาตำราด้านการทหารมามาก ทั้งยังซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ข้าคิดว่าใช้เขาได้...เ้านำเื่นี้ไปปรึกษาขุนนางในท้องพระโรงด้วยลองถามความเห็นจากพวกเขาดู ให้ฟางจือจี่เป็ผู้ดูแลเื่กลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กส่วนเื่ทางการทหารอื่น ๆ ก็ให้ซูโจ้งเป็คนจัดการ หากเหล่าขุนนางเห็นพ้องต้องกันก็ทำตามนี้ได้เลย”
ซูไทเฮาหมุนตัวกลับไปหลังสั่งให้คนนำฎีกาไปให้ที่ตำหนัก พระนางก็เสด็จออกไปทันที
าามู่ฉางเยียนประทับนิ่งอยู่กับที่ด้วยสีพระพักตร์ขมขื่น
“ตำแหน่งาาแห่งแคว้นนี้...ยังมีประโยชน์อันใดอีก?” ทรงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
อันเฉิงขันทีประจำองค์าาคุกเข่าลงบนพื้นมองมาด้วยแววตาเห็นใจ “ฝ่าา ใกล้ถึงเทศกาลใบไม้ร่วงแล้ว...การสอบคัดเลือกที่จะจัดขึ้นทุกๆ ห้าปีกำลังจะเริ่มขึ้น ตอนนี้ขุนนางฝ่ายบุ๋นมีอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายซูเม่าเป็ผู้นำเดิมทีในกองทัพยังมีท่านแม่ทัพฟางจือจี่เป็ศูนย์กลางอยู่ คาดว่าที่ท่านแม่ทัพต้องนำทัพออกไปนอกเมืองหลวงก็คงเป็เพราะไทเฮาทรงบีบบังคับเช่นกัน และหากซูโจ้งรับตำแหน่งแม่ทัพเช่นกันละก็ อำนาจทั้งทางบุ๋นและบู๊ของต้าเยี่ยนก็จะตกอยู่ในมือของชนเผ่าโฮ่วจนหมด”
“คนจากชนเผ่าโฮ่วล้วนมาจากแคว้นจ้าวทั้งสิ้นดูเผิน ๆ อาจเหมือนแคว้นจ้าวเป็มิตรกับเรา แต่การกระทำของพวกเขา...เห็นได้ชัดว่าแคว้นจ้าว้ายึดต้าเยี่ยนของเราโดยไม่ใช้กำลังทหารฝ่าา...ครั้งก่อนกระหม่อมก็เคยเตือนฝ่าาไปแล้วว่าจะทรงอดทนเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกตอนนี้ขุนนางส่วนมากล้วนเป็คนของไทเฮา ผู้ดูแลเื่การสอบก็ยังเป็คนของไทเฮาอีกหากฝ่าาทรงอยากชิงอำนาจกลับมาก็ต้องหาคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้ามาเพิ่ม ไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็ต้องเสด็จไปที่การสอบประจำปีในครั้งนี้เพื่อหาคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้ามา และทำให้พวกเขาจงรักภักดีต่อพระองค์ให้ได้และเมื่อเวลานั้นมาถึง...”
เขาหยุดลงเพียงแค่นั้น เพราะต่อให้ไม่พูดความหมายก็ชัดเจนมากแล้ว
าามู่ฉางเยียนทรงพระสรวลอย่างขมขื่น“นั่นไม่ใช่เื่ง่ายเลย...แต่ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้ เ้าพูดถูกข้าจะแกล้งทำเป็ไม่สนใจเื่ราชกิจแล้วออกไปเดินเที่ยวในเมืองหลวงดูจะได้หาคนใหม่ ๆ เข้ามาได้”
อันเฉิงกล่าวขึ้น “ฝ่าาดำริถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ตอนนี้หนุ่มสาวที่มีความสามารถจากทุกสารทิศเดินทางมาที่เมืองหลวงกันมากแล้วมอบงานทั้งหมดให้ไทเฮาทรงดูแลก็ดีเหมือนกัน เมื่อไทเฮาทรงคิดว่าฝ่าาไม่สนใจเื่ราชกิจก็จะวางใจและคลายความระแวงสงสัยลง”
“ถูกต้อง พวกเราออกไปนอกวังหลวงกันเถอะที่นี่ช่างน่าอึดอัดเสียจริง”
าามู่ฉางเยียนเปลี่ยนฉลองพระองค์มาสวมชุดเหมือนชาวบ้านทั่วไปจากนั้นก็ลอบเสด็จออกจากวังพร้อมองครักษ์หลวงอีกนับสิบคน
บนท้องถนนมีคนเดินขวักไขว่เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นไม่ขาดสาย มีชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าแปลกตาจำนวนมากปรากฏอยู่ทั่วไปหมดพวกเขาล้วนเป็คนรุ่นใหม่จากเมืองต่าง ๆ ที่เข้ามาสอบคัดเลือกนั่นเองงานนี้จะจัดขึ้นทุก ๆ ห้าปี เพื่อหาคนที่มีความสามารถเข้าสู่ราชสำนักสำหรับคนที่มีฐานะยากจนทั้งหลายแล้ว การสอบครั้งนี้ถือเป็โอกาสสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตเลยทีเดียว
าามู่ฉางเยียนไม่ได้ทรงม้า แต่ทรงพระดำเนินไปตามท้องถนนและทอดพระเนตรไปทั่วบริเวณเมื่อได้เสด็จออกมานอกกำแพงวังหลวง พระองค์ก็รู้สึกดีขึ้นมาก
โรงเตี๊ยมภายในเมืองมีลูกค้าเข้าพักจนเต็มเกือบทุกแห่งแล้ว เด็กหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความฝันปรากฏให้เห็นอยู่ทุกที่ของเมืองเลยทีเดียว
“ต้าเยี่ยนของเรามีผู้เปี่ยมพร์มากมายเหลือเกิน”
าามู่ฉางเยียนทรงอารมณ์ดีขึ้นมาทันที “มีคนเหล่านี้อยู่การฟื้นฟูต้าเยี่ยนให้รุ่งเรืองดังเดิมหาใช่เื่ยากไม่”
ขณะกำลังตรัสอยู่นั้นก็มีขบวนรถม้าวิ่งสวนเข้ามาขบวนนี้มีรถม้ามากกว่าสามสิบคันเลยทีเดียว แลดูยิ่งใหญ่เหลือเกินชายในชุดสีดำอย่างน้อยหนึ่งร้อยคนเดินนำอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของขบวน แม้พวกเขาจะไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาแต่รังสีแห่งความแข็งแกร่งก็สื่อความหมายได้ชัดเจนมากทีเดียว
“คนพวกนี้เป็ใครกัน?”
าามู่ฉางเยียนตรัสถามขึ้นอันเฉิงจึงรีบสั่งให้คนไปสืบมาทันที
แต่ยังไม่ทันที่ผู้ได้รับคำสั่งจะออกไปสืบหาข้อมูลพวกเขาก็พบว่าบนรถม้าเ่าั้มีธงปักอยู่ด้วย และในธงนั้นก็ปักอักษรเอาไว้...
สำนักวรยุทธ์เบิก์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้