โหรวเอ๋อร์ยังไม่ทันพูดจบ ฉีเฉินก็ประคองนางยืนขึ้นมา แล้วรั้งนางไว้ในอ้อมอก มองหน้าเว่ยหลานอิ๋งด้วยความโกรธ "เปิ่นหวางขอประกาศให้รู้ทั่วกัน นับจากวันนี้เป็ต้นไป โหรวเอ๋อร์ก็คืออนุชายาคนใหม่ของเปิ่นหวาง หากมีใครกล้าลงมือกับนางแม้เพียงส่วนเสี้ยว เปิ่นหวางจะเอาชีวิตผู้นั้น ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับผู้ใดทั้งสิ้น!" กล่าวจบก็โอบไหล่โหรวเอ๋อร์เดินจากไป
เว่ยหลานอิ๋งเข่าอ่อนทรุดตัวลงที่พื้น ดวงตาเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเพิ่งจะได้ยิน เวลาผ่านไปนานนางถึงชี้มือไปที่ประตูซึ่งไม่มีแม้แต่เงาคน ร้องะโลั่นราวกับคนบ้า "ฉีเฉิน เ้าอย่าลืมว่าใครช่วยให้เ้าขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท ตอนนี้เ้าทำกับข้าเช่นนี้เชียวหรือ อ๊า...!!!"
...
"วันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ใกล้จะมาถึงแล้ว ฝ่าพระบาทคิดไว้แล้วหรือยังว่าจะมอบอะไรเป็ของขวัญ?" จวินหวงเอ่ยปากถาม แต่กลับมองไปที่โหรวเอ๋อร์ที่เอนซบอยู่ในอ้อมแขนของฉีเฉินอย่างรู้สึกทึ่ง นางไม่คิดว่าโหรวเอ๋อร์จะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เวลาสั้นๆ เพียงสองสามวันนางสามารถ่ชิงความโปรดปรานทั้งหมดมาจากเว่ยหลานอิ๋งได้แล้ว
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ฉีเฉินก็ไม่ได้ไปหาเว่ยหลานอิ๋งอีกเลย แม้แต่ก็พบหน้าก็ไม่ยอมให้พบ เว่ยหลานอิ๋งจึงเกลียดชังโหรวเอ๋อร์เข้ากระดูกอย่างแท้จริง
ฉีเฉินก้มศีรษะลงกินองุ่นที่โหรวเอ๋อร์ป้อนให้ พลางคิดถึงคำถามข้อนี้อยู่สักพักก็ยังไม่ได้คำตอบเหมือนเดิม เขาส่ายหน้าถอนใจแล้วกล่าวว่า "วันคล้ายวันพระราชสมภพของทุกปีเป็่เวลาที่เปลืองสมองคิดมากที่สุด ในเป่ยฉีนี้มีอะไรที่ไม่ใช่ของเสด็จพ่อบ้าง? หากเปิ่นหวางมอบสิ่งของพวกนั้นให้เสด็จพ่อจะเป็ที่พอพระทัยได้อย่างไร?"
"ฝ่าพระบาทกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง โบราณกล่าวว่าเดินทางหมื่นลี้มอบขนห่าน ของขวัญเบาแต่น้ำใจหนักอึ้ง ของขวัญที่ฝ่าพระบาททรงมอบให้ ไม่ว่าจะเป็สิ่งใด ฮ่องเต้ย่อมโปรดปรานทั้งสิ้น"
"หากเปิ่นหวางมอบขนห่านให้เสด็จพ่อจริงๆ พระองค์จะพอพระทัยจริงๆ หรือ?" ฉีเฉินเลิกคิ้วพูดพลางหัวเราะเย้ยหยัน
ใครจะรู้จวินหวงกลับทำเป็จริงจัง แววตาของนางเจิดจ้าราวกับคบเพลิง มุมปากยกยิ้มพยักหน้ารับ "ขนห่านหมื่นลี้ในโลกนี้ ในนั้นมีขนของเฟิ่งหวง[1] ที่นับว่าเป็ของสูงค่า หากสามารถหามาได้ แล้วนำมาเป็ของขวัญมอบให้กับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ย่อมทรงโสมนัส"
ฉีเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงเพริด มองจวินหวงตาค้างอยู่นานถึงเอ่ยปากออกมา "ได้ยินมาว่าเฟิ่งหวงมีแต่ในซีเชว่ หลังจากที่ซีเชว่ล่มสลายไปแล้ว สายโลหิตของเฟิ่งหวงก็หายไป ไม่มีใครได้พบเห็นอีก"
แววตาของจวินหวงหม่นแสงลง ความรู้สึกเ็ปประกายวาบขึ้นในดวงตาแล้วก็หายไป นางยกยิ้มที่มุมปากแล้วล้วงเอาถุงผ้าแพรขึ้นมาใบหนึ่งแล้วกล่าวว่า "หลายปีก่อนผู้น้อยท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ เคยเดินทางไปซีเชว่ ได้พบกับเฟิ่งหวงโดยบังเอิญ ตอนที่มันบินไปผู้น้อยได้เก็บขนหงส์ชิ้นนี้เอาไว้"
ฉีเฉินยื่นมือมารับไปอย่างรวดเร็ว เปิดถุงผ้าแพรออกก็เห็นด้านในมีขนหงส์สีทองอยู่เส้นหนึ่ง เส้นขนเรียวนุ่มราวกับมีชีวิต ฉีเฉินเห็นแล้วก็ตกตะลึงราวกับจะหยุดหายใจ
โหรวเอ๋อร์หรี่ตามองจวินหวงด้วยความรู้สึกสงสัย ขณะที่ฉีเฉินไปเตรียมกล่องผ้าไหมสำหรับใส่ขนหงส์อัคคี นางก็เรียกจวินหวงไว้ "แม่นางนี่มันหมายความว่าอย่างไร?"
จวินหวงหันหน้ากลับมามองโหรวเอ๋อร์ พลางมุ่นคิ้ว
"แม่นางก็ทราบดีว่าฉีเฉินเป็ศัตรูคู่แค้นกับองค์ชาย แล้วเหตุใดจึงต้องช่วยเขาด้วย?" โหรวเอ๋อร์กล่าวขยายความให้ชัดเจน
"แม่นางโหรวเอ๋อร์ถามผู้น้อยเช่นนี้ หรือว่าฉีอวิ๋นไม่ได้บอกแม่นาง สิ่งที่ผู้น้อยทำล้วนมีเหตุผล แม่นางโหรวเอ๋อร์ไม่ต้องเป็ห่วงว่าผู้น้อยจะทำในสิ่งใดที่เป็ผลร้ายต่อฉีอวิ๋น" จวินหวงกล่าวจบก็หมุนกายจะเดินออกไป
"ในเมื่อเป็ของของซีเชว่ คิดว่าคงเป็ความทรงจำเล็กๆ ชิ้นสุดท้าย แม่นางมอบให้แก่ฉีเฉินเช่นนี้ไม่รู้สึกเสียดายเลยหรือ?" โหรวเอ๋อร์ถามเบาๆ
จวินหวงหยุดชะงักอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถาม โหรวเอ๋อร์เข้าใจว่าจวินหวงจะไม่ตอบคำถามนี้ แต่นางกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแ่เบา
"เสียดายหรือไม่ ล้วนอยู่ในอำนาจการตัดสินของผู้น้อย หากผู้น้อยรู้สึกเสียดาย เช่นนั้นถึงจะหมายความว่าเสียดายจริงๆ ในจวนอ๋องมีหูมีตาอยู่มากมาย แม่นางโหรวเอ๋อร์ควรจะระวังตัวเองให้ดี ตอนนี้ฟูเหรินเห็นเ้าเป็ศัตรูแล้ว อย่าให้นางจับพิรุธได้ และจากนี้ต่อไปอย่าได้เรียกข้าว่าแม่นางอีก" กล่าวจบก็เดินออกไปอย่างผ่าเผย
โหรวเอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน คิดถึงคำพูดของจวินหวง ใครบอกได้ว่าจวินหวงทำไม่ถูกต้องกันเล่า? นางถอนใจออกมาคราหนึ่ง มุ่นความกังวลไว้ที่หว่างคิ้ว คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดจวินหวงถึงได้ทำเช่นนี้
ตอนที่นางหันกลับมา ก็เห็นเว่ยหลานอิ๋งกำลังจะเดินมาถึงอีกไม่ไกล เว่ยหลานอิ๋งมองไปที่โหรวเอ๋อร์ แล้วก็มองไปรอบด้าน เมื่อไม่เห็นเงาของฉีเฉิน ใบหน้าก็ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ นางค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาตรงหน้าโหรวเอ๋อร์
"เป็อย่างไรบ้าง? ไยน้องหญิงโหรวเอ๋อร์จึงมายืนอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ? ฝ่าพระบาทคงสิ้นความโปรดปรานเ้าแล้วล่ะสิ?" เว่ยหลานอิ๋งเลิกคิ้วขึ้นถาม
โหรวเอ๋อร์ยอบกายคารวะ แล้วกล่าวเสียงเรียบ "คำกล่าวนี้พี่หญิงควรจะเก็บไว้ถามตนเองจะดีกว่า"
เว่ยหลานอิ๋งสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ยกมือขึ้นชี้หน้าโหรวเอ๋อร์ตะคอกใส่ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด "ที่แท้ก็เป็สตรีที่ถูกตามใจจนเหลิง เพิ่งจะได้รับความโปรดปรานแท้ๆ ก็ประพฤติตัวไร้ระเบียบถึงเพียงนี้"
โหรวเอ๋อร์เพียงแค่มองเว่ยหลานอิ๋ง ไม่เอ่ยวาจาใดๆ แต่ความนิ่งเฉยไม่แยแสของโหรวเอ๋อร์ยิ่งเป็การยั่วโทสะเว่ยหลานอิ๋ง นางยกมือขึ้นจะปรี่เข้ามาตบ แต่โหรวเอ๋อร์เพียงแค่หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า "ก่อนที่พี่หญิงจะทำอะไรก็ควรจะตรองดูให้ดีเสียก่อน หากรอยฝ่ามือนี้มาอยู่บนหน้าของโหรวเอ๋อร์ แล้วโหรวเอ๋อร์ไปบอกฝ่าพระบาท เกรงว่าพระองค์ก็คงจะกริ้วขึ้นมาอีก ถึงเวลานั้นพี่หญิงจะแก้ตัวอย่างไรก็คงจะฟังไม่ขึ้นแล้ว"
เว่ยหลานอิ๋งโมโหถึงขีดสุด แต่ใจนางรู้ดีว่าตนเองทำอะไรโหรวเอ๋อร์ไม่ได้ ในที่สุดนางก็วางมือลง กำหมัดแน่น แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมากะทันหัน
"เกรงว่าน้องหญิงจะยังไม่รู้ล่ะสิ ว่าเ้าไม่สามารถไปร่วมงานวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ได้ เพราะว่าเ้าเป็เพียงแค่เมียบ่าวชั้นต่ำเท่านั้น" นางแผดเสียงหัวเราะอย่างเหิมเกริม สายตายิ้มยั่วมองไปที่โหรวเอ๋อร์ ใบหน้างดงามเพริศพริ้งราวกับดอกท้อเดือนสาม
โหรวเอ๋อร์ไม่อยากอยู่ทำาน้ำลายกับเว่ยหลานอิ๋งต่ออีก นอกจากนี้ฉีเฉินจะพาใครเข้าแล้ววังเกี่ยวอันใดกับนางด้วย นางจึงเพียงแค่ยิ้มแล้วก็อำลาออกมา
เว่ยหลานอิ๋งยืนอยู่ที่นั่นมองดูโหรวเอ๋อร์ค่อยๆ ไกลออกไป ได้เห็นแววตาเงื่องหงอยของโหรวเอ๋อร์แล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เตรียมจะไปหาฉีเฉินเพื่อปรึกษาเื่ของขวัญ
แต่เมื่อนางไปถึงห้องหนังสือก็ถูกเว่ยเฉี่ยนขวางเอาไว้ นางฉลาดพอที่จะรู้ว่าหากเว่ยเฉี่ยนอยู่ที่นี่ เช่นนั้นเฟิงไป๋อวี้ก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วย ดูท่าทางฉีเฉินคงจะกำลังปรึกษาธุระสำคัญกับเฟิงไป๋อวี้อยู่
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป จวินหวงค่อยๆ ผลักประตูเดินออกมาจากห้องหนังสือ พอออกมาก็เห็นเว่ยหลานอิ๋ง ดูท่าทางคงจะรอมานานแล้ว "ผู้น้อยคารวะฟูเหริน"
เว่ยหลานอิ๋งไม่คิดจะสนใจอะไรนางอยู่แล้ว จึงเดินอ้อมนางเข้าไปในห้องหนังสือ จวินหวงยกยิ้มที่มุมปาก มองเข้าไปในห้องหนังสือ แล้วจึงนำเว่ยเฉี่ยนกลับไปยังเรือนข้างของตนเอง
"ของขวัญเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่รบกวนฟูเหรินต้องมาเปลืองสมองคิด" ฉีเฉินเอ่ยปากขึ้นอย่างเฉยชา ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเว่ยหลานอิ๋ง
เว่ยหลานอิ๋งรู้ว่าคงจะเป็จวินหวงที่ออกความคิด จึงไม่คิดรั้งอยู่ในหัวข้อสนทนานี้ต่อ นางเรียบเรียงคำพูดอยู่นานถึงเอ่ยปากขึ้น "อิ๋งเอ๋อร์ได้หาช่างตัดอาภรณ์ที่ยอดเยี่ยมและทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองหลวงเอาไว้ เสด็จพ่อควรจะได้สวมฉลองพระองค์ใหม่ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ ก็เลยมาเพื่อเชิญฝ่าพระบาทไปวัดตัวด้วย เมื่อถึงเวลาฉลองพระองค์ทั้งสองชุดจะได้ส่งมาพร้อมกัน"
ฉีเฉินมุ่นคิ้วหันไปมองเว่ยหลานอิ๋ง ก็เห็นในดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความหวัง จึงหัวเราะเย้ยหยันอย่างเ็าอยู่ในใจ
"งานคล้ายวันพระราชสมภพครั้งนี้ฟูเหรินก็อยู่เฝ้าจวนเถอะ"
"เพราะเหตุใด?"
"ก็เ้าเป็เพียงแค่ชายารอง" ฉีเฉินตอบเรียบๆ อย่างไร้เยื่อใย ไม่คิดถึงความเป็สามีภรรยาเลยสักนิด จากนั้นก็เก็บกระดาษและน้ำหมึกบนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไป หาคนให้จัดเตรียมรถเพื่อเข้าวัง เขามีเื่ต้องหารือกับพระสนมกุ้ยเฟย
พอเข้าไปในตำหนักของพระสนมกุ้ยเฟย ก็เห็นพระนางกำลังหยอกล้ออยู่กับนกแก้วที่ทรงเลี้ยงไว้ในวังอย่างสบายอารมณ์ เขาเดินเข้าไปถวายคำนับ "ถวายบังคมเสด็จแม่"
พระสนมวางข้าวสาลีในมือลง ไม่คิดว่าฉีเฉินจะมากะทันหันเช่นนี้ จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "เ้ามาวันนี้มีเื่อะไร?"
"ลูกมีเื่อยากจะหารือกับเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"
พระสนมกุ้ยเฟยประทับบนตั่งนุ่ม รอให้ฉีเฉินเอ่ยปาก
"วันนี้ลูกกับน้องเฟิงได้สนทนากัน เขาเอ่ยถึงองค์หญิงแคว้นหนานมู่ บอกว่าถ้าลูกสามารถชนะใจองค์หญิงได้ นางสามารถสนับสนุนลูกให้ขึ้นเป็ฮ่องเต้ในอนาคต หากเป็เช่นนี้โอกาสในชัยชนะของลูกก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น" ฉีเฉินกล่าว
พระสนมกุ้ยเฟยฟังแล้วก็ครุ่นคิด คิดมาคิดไปก็รู้สึกว่าวิธีนี้ไม่เลว แม้ว่าในเวลานี้ฉีเฉินจะมีฐานะเป็รัชทายาท แต่ใครจะคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้ หากจะทรงปลดเขาออกในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้ ตอนนี้หากมีที่พึ่งพาเพิ่มขึ้นหนึ่งอย่างก็ยิ่งเพิ่มโอกาสขึ้นอีกหนึ่งส่วน
นางกำจัดอคติที่มีต่อจวินหวงออกไปก่อน แต่ถึงกระนั้นแม้จะรู้สึกว่าวิธีการนี้ใช้ได้ แต่ก็ยังคงมีความกังวลอยู่เล็กน้อย "ใครๆ ก็บอกว่าองค์หญิงหนานมู่ผู้นั้นนิสัยเกเรเอาแต่ใจ แล้วเ้าจะกำราบนางอยู่หรือ?”
"เสด็จแม่โปรดวางพระทัย ลูกย่อมมีวิธี"
...
ในวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ อีกสองแคว้นย่อมจะส่งคนมาเข้าร่วม แคว้นหนานมู่ส่งองค์ชายใหญ่หนานจี๋หานและองค์หญิงหนานกู่เยว่ผู้ซึ่งเป็องค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด หลังจากที่ทั้งสองพระองค์เสด็จเข้าวังมาก็ตรงไปร่วมงานเลี้ยงขององค์ฮ่องเต้ทันที
ตอนที่ฉีเฉินได้เห็นองค์หญิงหนานกู่เยว่ก็ตกตะลึง ไม่คิดว่าหนานกู่เยว่ผู้ขึ้นชื่อเื่ความดื้อรั้นเอาแต่ใจจะมีรูปโฉมสะกดใจคนเช่นนี้ ถ้าจะเ้าอารมณ์สักหน่อยก็สมควรอยู่ เขาจึงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะอภิเษกหนานกู่เยว่เป็ชายา
ของขวัญที่ฉีเฉินเตรียมมาทำให้ฮ่องเต้ทรงปีติโสมนัสเป็อย่างยิ่ง ทรงกล่าวชื่นชมฉีเฉินต่อหน้าผู้คนทั้งหมด ฉีเฉินเพียงแค่ยิ้มเยือกเย็น สายตาของเขาไปเลื่อนไปตกอยู่ที่หนานกู่เยว่ อาจจะเป็เพราะว่าสายตาของเขาเปิดเผยเกินไป หนานกู่เยว่จึงสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วและถลึงตาใส่กลับมา
เมื่อถึงเวลาดื่มสุราเฉลิมฉลอง หนานกู่เยว่ถือจอกสุราเดินมาหาฉีเฉิน เขาตกตะลึงไปเล็กน้อยด้วยความดีใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะมอบรอยยิ้มให้แก่นาง สุราในจอกก็สาดมาที่เขา อาภรณ์แพรต่วนเปียกชุ่มจนกลายเป็ด่างดวง
ทุกคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นพากันตะลึงเพริดไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าหนานกู่เยว่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หนานจี๋หานเห็นน้องสาวของตนเองก่อเื่ขึ้น ก็รีบลุกขึ้นประสานมือคำนับและกล่าวว่า "ขอฝ่าพระบาทโปรดอภัย จริงๆ แล้วน้องหญิงมิได้มีเจตนาจะไร้มารยาทกับ..."
"ไม่ใช่เื่ใหญ่" ฉีเฉินยกมือขึ้นปรามไว้แล้วรับผ้าเช็ดหน้าที่ส่งมาจากด้านข้างมาเช็ดสุราบนใบหน้า
"เ้าเป็อะไรของเ้า? ถึงได้มองไปทางข้าอยู่ตลอด เ้าคิดจริงๆ หรือว่าแคว้นหนานมู่ของข้าจะให้รังแกได้ง่ายๆ เสียทีที่เป็รัชทายาท ไยจึงเป็คนต่ำช้าเช่นนี้" หนานกู่เยว่ยืนเท้าเอวด่ากราด ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ขมวดพระขนงด้วยทรงคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นจึงไม่ได้ตรัสสิ่งใด หนานจี๋หานหน้าซีดเผือดในชั่วพริบตา กระตุกให้หนานกู่เยว่คุกเข่าลง
"ใต้ฝ่าพระบาท น้องหญิงของกระหม่อมปากพล่อยไม่รู้จักกาลเทศะ ขอพระองค์โปรดละเว้นโทษ เจตนาเดิมของนางมิใช่เยี่ยงนี้" หนานจี๋หานพยายามอธิบาย
ฉีเฉินมองออกว่าสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ไม่สู้ดีนัก จึงรีบค้อมกายประสานมือกล่าวทันที "เสด็จพ่อโปรดละเว้นโทษด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ลูกเพียงนึกอยากรู้อยากเห็น ได้ยินผู้คนกล่าวขวัญกันว่าองค์หญิงหนานกู่เยว่ทรงสิริโฉมงดงามราวกับเทพธิดาฉางเอ๋อร์ เป็ลูกที่เสียมารยาทมองนางมากเกินไปหน่อย องค์หญิงสั่งสอนเช่นนี้นับว่าสมควรแล้ว"
หนานกู่เยว่แม้ว่าจะดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่ก็รู้หนักรู้เบา ตอนนี้นางจึงก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าใจร้อนก่อเื่อีก ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ตำหนิโทษอันใด
…………………………………………………………………………………………………………
[1] เฟิ่งหวง หมายถึงหงส์อัคคี