“ผู้าุโซู่ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าที่นี่อยู่ห่างจากเทือกเขาจู่เสียมากเพียงใด”
ผู้าุโซู่วางถ้วยชาลง “เ้าจะไปแล้วหรือ”
อูิโยวพยักหน้า “ครอบครัวและสหายของข้าต่างก็อยู่ที่นั่นเพื่อต่อต้านการรุกรานของสัตว์ร้าย ข้าจะมานั่งดื่มชาแล้วพูดคุยอย่างสบายใจอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
“เ้าก็รู้ว่าหากไปแล้วจะไม่มีโอกาสให้หันหลังกลับ”
อูิโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดต้องหันหลังกลับ”
“เ้าไม่กลัวตายหรือ” ผู้าุโซู่เอ่ยถาม
อูิโยวส่ายหัว “ข้าบอกแล้วว่ากลัวแค่การถูกครอบครัวทอดทิ้งและกลัวสหายจะเดือดร้อน ความตายไม่ได้เป็สิ่งที่น่ากลัว”
ผู้าุโซู่หยิบกาน้ำชาขึ้นมาแล้วรินลงไปในถ้วยชาเบื้องหน้าอูิโยว ปากกาน้ำชาแตะขอบถ้วยกระเบื้องจนเกิดเสียงขึ้นเบาๆ
“จะไม่เสียใจภายหลังหรือ”
อูิโยวลิ้มรสชาในถ้วย “ไม่เสียใจ”
กริ๊ง~ พอเสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง อูิโยวก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ เปลือกตาหนักอึ้งจนไม่สามารถยกขึ้นได้ ก่อนจะได้ยินเพียงเสียงผู้าุโซู่ถอนหายใจด้วยความหนักอก
ลมพลิ้วผ่านมา พัดใบไม้ที่ร่วงหล่นปลิวปะทะใบหน้าของอูิโยว เขาจึงลืมตาขึ้น ท้องฟ้ายังคงมืดมิด มีเพียงดวงจันทร์ที่เคลื่อนคล้อยไปจากเดิม
เขาหันมองไปด้านข้าง ผู้าุโซู่ยังคงนอนอยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีว่าจะตื่น เหตุการณ์เมื่อครู่เป็เพียงความฝันอย่างนั้นหรือ
เขานอนลงและนึกถึงความฝันเมื่อครู่ ตัวเขาช่างน่าขันเสียจริง ระยะนี้อาจวิตกกังวลมากเกินไปจนทำให้ฝันแปลกๆ อยู่เสมอ
ผืนฟ้าทอแสง ค่อยๆ เปลี่ยนเป็รุ่งอรุณ ในที่สุดผู้าุโซู่ก็ตื่น เขาบิดตัวซ้ายขวาแล้วเดินไปข้างกายิโยว ยกเท้าขึ้นเตะอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “เ้าหนุ่ม เ้าควรไปได้แล้ว!”
“ท่านผู้าุโ!” ิโยวลุกลี้ลุกลนยืนขึ้น “ท่านผู้าุโยังไม่ได้บอกิโยวเลยว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร”
ผู้าุโซู่หยิบผ้าขาวที่ยาวและกว้างหลายนิ้วออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะมอบให้อูิโยว “การได้พบเ้าถือเป็โชคชะตา ข้าขอมอบผ้านำโชคผืนนี้ให้เพื่อเป็การแสดงน้ำใจ”
อูิโยวรับผ้านำโชคมา ััได้ถึงความเย็นเล็กน้อยที่แทรกซึมสู่ิั แต่ก็ยังไม่รู้ว่าของสิ่งนี้มีสรรพคุณอย่างไร
“ขอบพระคุณท่านผู้าุโ” เขานำผ้าผืนนั้นพันรอบข้อมือ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบว่าผู้าุโซู่กำลังมองตนด้วยรอยยิ้ม
“ผ้านำโชคนี้มีเพียงผืนเดียว จำไว้ อย่าเอาไปให้ผู้อื่น”
ิโยวพยักหน้า “ิโยวจะจำเอาไว้ขอรับ!”
“จำสิ่งที่เ้าพูดไว้ให้ดีและอย่าเสียใจภายหลัง!”
ไม้เท้าในมือของผู้าุโซู่กระแทกพื้น เสียงกระดิ่งดังไม่หยุด ทัศนวิสัยของอูิโยวมืดมัวลงก่อนจะหมดสติไป
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองอยู่ในบ้านมุงจาก ได้ยินเสียงแ่เบาดังอยู่ด้านนอก เขาลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีลนลานก่อนจะมองดูสิ่งต่างๆ รอบตัวซึ่งเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีฮุ่นตุ้นเตี้ยน ไม่มีผู้าุโซู่ ทุกอย่างก่อนหน้านี้เปรียบดั่งความฝัน อูิโยวตบหน้าผากตนเอง เกิดความสงสัยว่ายังฝันอยู่ใช่หรือไม่ เหตุการณ์ในความฝันและความเป็จริงทำให้เกิดความสับสน
ทันใดนั้นิโยวก็มองไปยังผ้านำโชคสีขาวบนข้อมือซ้ายของตนเอง สิ่งนี้ทำให้ตระหนักได้ว่า ทุกสิ่งก่อนหน้านี้คือเื่จริง เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งออกจากกระท่อม ด้านนอกมีแสงแดดเจิดจ้า ทำให้ลืมตาไม่ขึ้นอยู่พักหนึ่ง
“คุณชายฟื้นแล้วหรือ”
ยังไม่ทันที่ิโยวจะมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบกายได้ชัด ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดคุยสอบถาม อีกฝ่ายอุ้มทารกเอาไว้ในอ้อมแขน
“ที่นี่คือที่ใด เหตุใดข้าถึงอยู่นี่ ผู้าุโซู่ล่ะ”
หญิงสาวผู้นั้นสงสัยจึงเอ่ยถาม “ผู้าุโซู่? ใครกันหรือ” เมื่อเห็นอูิโยวมีท่าทีงุนงง นางก็แย้มยิ้ม “คุณชายคงจะหิวแล้ว ท่านนั่งลงและกินอะไรก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะบอกท่านเองว่าที่นี่คือที่ใด”
ิโยวไม่รู้สึกหิว แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธความเมตตาของนาง จึงนั่งลงและดื่มน้ำ รอฟังสิ่งที่คนผู้นี้จะบอก
หญิงสาวพูดไปด้วยและป้อนโจ๊กให้ลูกของนางไปด้วย “ที่นี่คือหมู่บ้านหนิวเจี่ยว เมื่อวานนี้ระหว่างที่สามีของข้าเดินทางกลับมา เขาก็พบท่านนอนหมดสติอยู่ในหุบเขา จึงพาท่านกลับมา”
“หมู่บ้านหนิวเจี่ยว...อยู่ห่างจากเทือกเขาจู่เสียเพียงใดกัน”
หญิงสาวผู้นั้นชะงัก เอ่ยพูดด้วยสีหน้าใ “คุณชายจะไปเทือกเขาจู่เสียหรือ ยามนี้สถานการณ์ที่นั่นไม่สงบ เมื่อวานสามีของข้าเพิ่งกลับมาจากนำของไปส่ง ได้ยินจากเขาว่ามีสัตว์ร้ายกำลังอาละวาดอยู่ที่นั่น ผู้คนจากตระกูลใหญ่าเ็ล้มตายกันมากมาย”
อูิโยวใและรีบถามอย่างร้อนรน “สามีของเ้าอยู่ที่ใด!”
หญิงสาวใกับการกระทำของเขา เด็กน้อยในอ้อมแขนนางก็เริ่มร้องไห้งอแง อูิโยวจึงรู้ว่าตนเองบุ่มบ่ามเกินไป แล้วรีบขอโทษขอโพย “ขออภัย ข้าทำให้ทารกน้อยใ”
อีกฝ่ายยิ้มให้ “ไม่เป็ไร ท่านเองก็ไม่ได้ดูเหมือนคนเลวร้ายอะไร”
เด็กน้อยยังคงร้องไห้ไม่หยุด สะอื้นไห้แต่ไม่มีเสียงร้องออกมา อูิโยวพลิกมือซ้ายขึ้น บนฝ่ามือปรากฏวงแสงสีเขียว ทันใดนั้นก็มีหญ้าเขียวขจีโผล่ออกมาจากตรงกลาง ไม่นานดอกไม้สีแดงก็เบ่งบาน ทันทีที่เด็กตัวจ้อยได้เห็นภาพอันน่าอัศจรรย์นี้ก็หัวเราะอย่างมีความสุข ไม่ร้องไห้อีก
ิโยววางดอกไม้ลงในมือของเด็กน้อย เขาเผยยิ้มและััใบหน้าเล็กๆ ของนางอย่างแ่เบา “สนุกใช่ไหม”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กน้อย ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง หญิงสาวที่อยู่ข้างกายมองดูอูิโยวด้วยความประหลาดใจ
“คุณชายมาจากหุบเขาไป่หลิงอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว” อูิโยวไม่ได้แปลกใจที่นางรู้ตัวตนของเขา เพราะความสามารถเฉพาะในการสร้างดอกไม้และพืชพรรณได้ด้วยมือเปล่านั้น ทั่วทั้งดินแดนเจ๋อมีเพียงคนจากหุบเขาไป่หลิงเท่านั้นที่มี การสร้างดอกไม้ดอกเล็กๆ นี้ทำให้หญิงสาวมองออกได้ หมายความว่านางคงรู้จักหุบเขาไป่หลิง
แต่หลังจากที่อีกฝ่ายรู้ตัวตนของเขา สีหน้าก็ดูหนักใจ
เมื่อเห็นว่านางมีท่าทีลังเลที่จะเอ่ย อูิโยวจึงถามว่า “พี่สาว หากเ้ามีอะไรจะพูดก็พูดเถิด”
หญิงสาวผู้นั้นจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ทราบว่าคุณชายรู้จักแม่นางอูจากหุบเขาไป่หลิงหรือไม่”
“ท่านพี่หญิงหรือ” ิโยวใและรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี “นางเป็อะไร”
“ท่านคือคุณชายตระกูลอูอย่างนั้นหรือ” ฝ่ายนั้นแสดงท่าทีประหลาดใจเมื่อรู้สถานะของิโยว แล้วเอ่ยต่อ “เมื่อวานนี้สามีของข้ากลับมาจากเทือกเขาจู่เสีย ได้ยินจากเขาว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก ก่อนจะกลับมาการต่อสู้กับสัตว์ร้ายได้ปะทุขึ้นอีก ศิษย์หลายคนจากตระกูลใหญ่ถูกขังอยู่ในป่าใต้พิภพ จะเป็หรือตายก็ยังไม่อาจรู้ หนึ่งในนั้นคือบุตรสาวของตระกูลอู”
ไม่ว่าข่าวลือนี้จะเชื่อถือได้หรือไม่ แต่อูิโยวก็นั่งไม่ติดที่อีกต่อไป เขารีบลุกขึ้นเตรียมจะออกไป ทว่าถูกหญิงสาวด้านข้างห้ามไว้เสียก่อน
“คุณชายอย่าเพิ่งใจร้อน ข้าจะให้สามีพาท่านไปที่นั่น”
ขณะที่กำลังจะเอ่ยบางอย่างก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้าประตูมา เมื่อคนคนนั้นเห็นอูิโยวก็รีบโพล่งขึ้น “คุณชายตื่นแล้ว!”
“พาข้าไปยังเทือกเขาจู่เสีย ตอนนี้เลย!”
ชายคนนั้นหันมองภรรยาด้วยความประหลาดใจ ฝ่ายหลังอธิบายได้เพียงไม่กี่คำ เขาก็พูดอย่างไม่ลังเลว่า
“คุณชายโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปนำม้าที่เร็วที่สุดในหมู่บ้านมา จากที่นี่ไปยังเทือกเขาจู่เสียยังต้องเดินทางอีกหลายลี้ หากไม่ขี่ม้าคงไม่ทันการณ์”
อูิโยวกำหมัดประสานคำนับชายตรงหน้า “ขอบคุณพี่ชายมาก!”
อีกฝ่ายรีบรุดไปนำม้ามา อูิโยวหันไปมองหญิงสาวและเด็กน้อย จากนั้นก็หยิบขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กออกมาจากในเสื้อ วางลงบนมือของนางแล้วพูดว่า
“ข้าสังเกตเห็นว่าเด็กคนนี้พยายามร้องอ้อแอแต่ไร้เสียงออกมา ยาในขวดสามารถแก้อาการเจ็บคอได้ เพียงรับประทานวันละหนึ่งเม็ดและดื่มน้ำอุ่มตามก็ช่วยได้มาก”
หญิงสาวรู้สึกตื้นตันใจจนไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนเช่นไรดี
“พี่สาวไม่ต้องตอบแทนอะไรหรอก ข้าเป็หมอ การช่วยเหลือผู้คนและรักษาโรคเป็หน้าที่ของข้า ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายเองก็ช่วยข้า แค่นี้ถือเป็เื่เล็กน้อย”
เมื่อหญิงสาวรับยามา สามีของนางก็นำม้ามารออยู่ที่หน้าประตูเรียบร้อยแล้ว
“คุณชาย!”
เดิมทีเขาคิดจะเดินทางไปพร้อมกับอูิโยว แต่ก็โดนห้ามเอาไว้เสียก่อน
“พี่ชายเพิ่งกลับมา ตัวท่านเองก็คงมีเื่ที่ต้องจัดการ แค่บอกทางแก่ข้าก็พอแล้ว”
ชายผู้นั้นคิดอยู่พักหนึ่งและไม่ได้ปฏิเสธ อันที่จริงก็มีสิ่งสำคัญที่ต้องทำอยู่ ดังนั้นจึงบอกเส้นทางกับอูิโยว ปล่อยให้เขาควบม้าไปยังเทือกเขาจู่เสียเพียงลำพัง
อูิโยวเดินทางไกลเป็ร้อยลี้โดยไม่หยุดพัก ขณะกำลังจะเข้าเขตเทือกเขาจู่เสีย ม้าที่ขี่มากลับน้ำลายฟูมปากด้วยความเหนื่อยล้า จึงทำได้เพียงต้องหยุดพักชั่วครู่
ทั้งๆ ที่เป็ตอนกลางวัน แต่ท้องฟ้ากลับอึมครึมไร้แสงแดด ต้นไม้และพืชพรรณโดยรอบเหี่ยวเฉา แตกต่างจากหมู่บ้านหนิวเจี่ยวที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้อย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นเวลาผ่านพ้นไปแต่ม้าก็ยังไม่ฟื้นคืนกำลัง ภายใต้ความสิ้นหวังเช่นนี้ อูิโยวจึงทำได้เพียงยอมทิ้งมันและออกเดินไปยังเทือกเขาจู่เสียอย่างไร้ทางเลือก
ครึ่งวันหลังจากนั้นก็มองเห็นูเาสูงตระหง่านอยู่ไกลๆ เทียบกับหลายปีที่ผ่านมา เทือกเขาจู่เสียที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร สิ่งที่แตกต่างก็คือเทือกเขาจู่เสียในปัจจุบันนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ทำให้ผู้คนที่มองจากระยะไกลรับรู้ได้ถึงภัยจนอยากจะถอยหลังกลับ
อูิโยวไม่คิดจะหยุด บุกเข้าไปในป่าทึบข้างหน้า เขารู้ว่าหลังจากผ่านป่าเขตนี้ไปแล้วก็จะเข้าสู่พื้นที่ของป่าใต้พิภพ
ยิ่งเดินลึกเข้าไป ดินสีดำที่เหยียบย่ำอยู่ก็ยิ่งเจือกลิ่นคาวเืหนาแน่น เดินไปสักพักก็จะพบศพของสัตว์ร้ายหนึ่งถึงสองตัวนอนตายอยู่ ยังไม่ทันที่อูิโยวจะไปถึงจุดหมายก็พบว่ารอบกายมีซากศพมากขึ้นเรื่อยๆ ปะปนไปกับศพของมนุษย์จากดินแดนเจ๋อ จากที่เห็นทั้งหมดมีเพียงแขนและขาที่ขาดวิ่นเพราะถูกสัตว์ร้ายฉีกกระชาก
คิ้วของอูิโยวขมวดมุ่นด้วยท่าทีเคร่งขรึม ก่อนจะเห็นสถานการณ์เบื้องหน้าเขาพยายามมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อเห็นของจริงกลับรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
ทำอย่างไรดี ท่านพี่หญิงจะไม่เป็อะไรใช่หรือไม่ เขาไม่อยากคิดในแง่ร้ายเลย
ในขณะที่ตกอยู่ในอารมณ์สับสน ก็มีเสียงต่อสู้ดังมาจากด้านหน้า เขาะโขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่งและซ่อนตัวอยู่ในความมืด เบื้องหน้าเต็มไปด้วยศพมนุษย์และสัตว์ร้าย ช่างน่าหวาดหวั่นจนยากจะข่มใจ บางศพยังมีเืไหลออกมาไม่หยุด บ่งบอกว่าเพิ่งเกิดการต่อสู้ขึ้นไม่นาน
ในเวลานี้ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากันในพื้นที่โล่ง คนทั้งสองที่เขาเห็นอยู่นั้นอูิโยวจดจำได้เป็อย่างดี คนหนึ่งคืออวิ๋นจวาบุตรชายคนรองของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน อีกคนคือหลินเจิ้ง บุตรชายคนโตของหลินเจียเป่า
“อวิ๋นจวา เ้ามันน่ารังเกียจ ไร้ยางอาย!” หลินเจิ้งะโใส่อวิ๋นจวา สถานการณ์ของเขาไม่สู้ดีนัก เพราะแขนขวาขาดหายไป คงจะถูกสัตว์ร้ายกัดกินไปแล้ว เืก็ไหลรินไม่หยุด หากปล่อยให้เป็เช่นนี้ต่อไปโดยไม่รีบรักษา คนผู้นี้คงจะเสียเืและตายในไม่ช้าเป็แน่
ในมือของอวิ๋นจวาถือดาบยาว ใบหน้าเปื้อนไปด้วยหยาดโลหิต เขาส่งเสียงเยาะเย้ยอย่างไร้ความปราณี “แล้วจะทำไม ตราบใดที่เ้าตายก็ไม่มีใครรู้เื่นี้”
“เ้าคิดจริงๆ หรือว่าสิ่งที่เ้าทำจะสามารถตบตาผู้อื่นได้ รอให้หลิ่วไป๋เจ๋อและอูิหลิงกลับมา พวกเขาต้องหั่นเ้าเป็ชิ้นๆ แน่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...” อวิ๋นจวาหัวเราะดังลั่น “เ้านี่มันหัวอ่อนจริงๆ คิดว่าพวกเขาจะได้กลับมาอย่างนั้นหรือ”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร”
ท่าทีของหลินเจิ้งเปลี่ยนไปทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“ก็ความหมายตามที่พูด” อวิ๋นจวาเช็ดเืออกจากมุมปาก ถ่มน้ำลายแล้วเอ่ยต่อ “น่าช่างเสียดายจริงๆ อูิหลิงผู้งดงามช่างไม่รู้เลยว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี หากนางตามข้ามาก็คงไม่เป็เช่นนี้”
ใบหน้าของหลินเจิ้งซีดเซียว มองดูก็รู้ว่าเริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไป “เ้าพาพวกเขาไปที่ใด” หลินเจิ้งถามจบก็ถูกอวิ๋นจวายกดาบในมือขึ้นแทง “หากเ้าอยากรู้ก็ไปถามพวกเขาเองสิ”
ดวงตาของอูิโยวเต็มไปด้วยความโกรธ ฝ่ามือปรากฏลำแสงสีเขียว ขณะที่กำลังจะจัดการอวิ๋นจวา จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งมาจากระยะไกล เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี อวิ๋นจวาจึงรีบเข้าไปซ่อนตัวในป่า
——————————————
