บรรดาทหารของจวนตระกูลเยี่ยนและเยวี่ยปะทะกันกลางถนน เกือบทำให้หน้าตาของราชสำนักเสียหาย ฮ่องเต้เองก็ไม่ไยดี กลับเป็ท่านอ๋องที่ลงมือปราบปรามเื่ที่สร้างความโกลาหลไปทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่ทันถึงวันรุ่งขึ้น ทุกตรอกซอกซอยก็เกิดประเด็นร้อนขึ้น และแย่งกันประโคมข่าวอย่างครึกโครม
บ้างก็ว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเยี่ยนใช้อำนาจในบ้านมาแก้แค้นส่วนตัว เพื่อระบายความแค้นเคืองของตระกูลจึงเอาความโกรธมาลงกับหญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้ไร้ซึ่งกำลัง บ้างก็ว่านี่เป็เพราะคุณหนูตระกูลเยวี่ยจู้จี้ไร้เหตุผล โวยวายเรียกร้องขอ ‘หย่า’ ถึงได้ทำให้คุณชายตระกูลเยี่ยนลนลานจนลงมือกับนาง ในตอนนั้นไม่ได้มีนักเลงคีย์บอร์ดผู้ผดุงความยุติธรรม ที่จะใช้คำว่า ‘ยังไงการใช้ความรุนแรงในครอบครัวก็ไม่ถูกต้อง’ มาไกล่เกลี่ยให้ เื่นี้จึงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้
เยวี่ยเจาหรานไม่อาจอาศัยอยู่ในตระกูลเยี่ยนอีกต่อไป เขาทำตามที่ฮองเฮาสอน แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่า ‘หนึ่งร้องไห้ สองก่อเื่ สามแขวนคอ’ ที่นางสอนคืออะไร ไม่นึกว่าลูกผู้ชายคนนี้จะต้องเก็บข้าวของกลับบ้านพ่อแม่ไปด้วยความพ่ายแพ้!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็กลับไร้สำนึก ตีคนอื่นแล้วยังนอนหลับได้จนฟ้าสว่าง พอวันรุ่งขึ้นก็ยังคิดจะเล่าให้ทุกคนฟังอีกว่าตัวเองคว่ำผู้ชายร่างสูงเจ็ดฉื่อ [1] สลบเหมือดไปได้อย่างไร แต่เมื่อนึกถึงผลลัพธ์ของเื่ราวแล้ว ในใจก็สั่นเทิ้มและเก็บคำพูดร้ายกาจนั้นกลับมา
เช้าวันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้ที่หน้าดำคร่ำเครียดโมโหจนแทบจะคว่ำโต๊ะในห้องพิจารณาคดี! เดิมทีแบบแผนการปกครองแบบเสรีนิยมนั้นอ่อนแออย่างมาก ในาต่อเนื่องของตระกูลเยี่ยนและเยวี่ย ศักดิ์ศรีของฮ่องเต้ถูกเ้าสองคนนั่นที่เป็ดั่งกระดูกต้นแขนของกษัตริย์เอามาลากไถไปกับพื้น หากเขายังทนต่อไป คาดว่าพรุ่งนี้มะรืนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงคงได้พูดกันว่าฮ่องเต้องค์นี้นิสัยอ่อนโยนอยากตบหน้าตามอำเภอใจก็ได้!
พายุกริ้วของราชันนั้นรุนแรงจนเกิดเป็สายลมไกลถึงหนึ่งจั้ง ฎีกาหลายฉบับถูกพัดหล่นจากบัลลังก์ั ลงมากองอยู่ใต้ป้ายคำขวัญ “เที่ยงตรงทรงศักดา” ดีที่แม่ทัพเยี่ยนคล่องแคล่วว่องไวจึงสามารถหลบพ้นได้ แต่กับมหาบัณฑิตเยวี่ยผู้เป็เพียงบัณฑิตอ่อนแอกลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น จึงได้ใช้หัวรับไว้หลายฉบับอย่างสวยงาม จนหมวกขุนนางเอียงกระเท่เร่
“พวกท่าน! ดี... ดีมาก!” ฮ่องเต้ที่โมโหจนแทบลุกเป็ไฟยิ้มด้วยความโกรธเกรี้ยว แล้วปรบมือชมเชยให้กับบุตรธิดาที่ทั้งสองเลี้ยงดู “สมควรแล้วที่เป็กระดูกต้นแขนของจักรพรรดิ! บุตรของแม่ทัพเยี่ยนช่างห้าวหาญ... ห้าวหาญนัก!”
แม่ทัพเยี่ยนผู้เป็นักรบนั้น ยามนี้รู้สึกเหมือนใบหน้าส่องแสง เขาแหงนหน้าขึ้นเอ่ยอย่างไม่ได้สำนึก “ขอบพระทัยฝ่าา ทรงชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อคำพูดนั้นเอ่ยออกมา ฮ่องเต้จึงเพิ่งรู้ว่าตนพ่ายแพ้แล้วจริงๆ ไม่ทันได้ทำสีหน้าสับสนมึนงง ก็ได้แต่หันปลายดาบไปอีกทาง “ใต้เท้าเยวี่ย ท่านก็ดี! ธิดาของท่านเองก็...” เผยว่าตนไม่ได้รับความเป็ธรรมจนทำให้พวกบัณฑิตคร่ำครึที่หลีกเลี่ยงาโมโหได้! แน่นอนว่าคำพูดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ฮ่องเต้สมควรพูด จึงได้แต่เปลี่ยนเป็เอ่ยว่า “งามนัก!”
เมื่อนั้นความงุนงงสงสัยจึงย้ายมาที่มหาบัณฑิตเยวี่ยแทน แต่เขากลับไม่รู้จะระบายกลับไปเช่นไร ทำได้เพียงก้มหน้าลงอีกครั้ง ฮ่องเต้นั้นออกหมัดไปก็ไร้ผล จึงเก็บหมัดของตนกลับมาอย่างช่วยไม่ได้ ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา “เอาเถอะๆ เลิกประชุมได้!”
ขณะที่ทุกคนกำลังถวายบังคมลา ก็ได้ยินฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พวกท่านสองคน! อยู่นี่ก่อน!”
ภายในตำหนักจื่อเฉิน เหลือเพียงเยี่ยนและเยวี่ยสองคนกำลังคุกเข่าคำนับ ฮ่องเต้คิดไม่ตกจนหัวหมุน ยกมือปิดหน้าไม่อยากจะมอง แล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ในฐานะฮ่องเต้ การแต่งงานครั้งนี้เป็ฝีมือของเขา ทว่าตระกูลเยี่ยนและเยวี่ยกลับก่อเื่วุ่นวายจนเป็เช่นนี้ มิใช่เป็การฉีกหน้าจักรพรรดิอย่างเขาหรอกหรือ? แต่ทั้งเยี่ยนและเยวี่ยต่างก็เป็ดั่งกระดูกต้นแขนของเขา ลงโทษไม่ได้ ปลดออกไม่ได้ ลดขั้นไม่ได้ ทูตสันติคราวนี้ เห็นทีต้องให้ฮ่องเต้อย่างเขาออกหน้าเสียแล้ว
ฮ่องเต้ชี้แจงเื่ผลประโยชน์ ความผิดถูกของาทั้งสองตระกูลอย่างละเอียด และถือโอกาสจัดการทั้งสองตระกูลให้ชัดเจนในคราวเดียว “อีกสามวันให้หลังเป็ฤกษ์ดี ในวังจัดงานฉลอง ให้เรียกบุตรธิดาที่รักของพวกท่านมาร่วมงานด้วย ไม่เช่นนั้นจะมีความผิด!”
เยี่ยนและเยวี่ย ต่างคนต่างเร่งออกจากพระตำหนัก เบียดแย่งกันออกจากธรณีประตูอย่างไม่มีใครยอมใคร กระทั่งฮ่องเต้โยนฎีกาสองเล่มลงพื้น พวกเขาถึงได้แสร้งรู้มารยาทขึ้นมา หลังออกมาจากพระตำหนัก แม่ทัพเยี่ยนก็เก็บมือทั้งสองข้างเข้าในแขนเสื้อ เอ่ยอย่างเ็า “ความโกรธของคุณหนูใหญ่ตระกูลเ้าน่าจะพอได้แล้ว แม้แต่พระพักตร์ของฝ่าาเ้าก็ไม่ไว้หรือ?”
มหาบัณฑิตเยวี่ยยอมอ่อนข้อเสียที่ไหน เอ่ยกลับอย่างดูิ่ “พระพักตร์หรือ? ลูกชายของเ้ามาขอโทษด้วยตนเองวันไหน ลูกช... ลูกสาวของข้าถึงจะยอมกลับไป!”
“ถุย! ถุยๆๆ !” แม่ทัพเยี่ยนกลอกตาใส่มหาบัณฑิตเยวี่ย แม้ในใจจะยังโกรธเคือง แต่ก็คร้านจะพูดด้วย เขารีบสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกจากวังไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก เหลือเพียงมหาบัณฑิตเยวี่ยที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงฮึดฮัดกลับบ้านอย่างหงุดหงิด
ราชโองการถูกส่งไปยังจวนเยี่ยนและเยวี่ย ความว่าคุณชายตระกูลเยี่ยนวรยุทธ์เลิศล้ำ คุณหนูตระกูลเยวี่ยร่างบางแช่มช้อย มีคำสั่งให้ทั้งคู่สามีภรรยาร่วมกันรำกระบี่ในงานฉลองอีกสามวันให้หลัง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักใคร่ปรองดอง
ไม่ว่าจะโกรธแค่ไหน ราชโองการนี้ก็ไม่อาจเมินเฉยได้ ทั้งสองตระกูลจึงต้องก้มหน้ารับราชโองการ ทางฮูหยินเยี่ยนนั้นกล่อมแล้วกล่อมอีก ในที่สุดก็สามารถพูดให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปรับเยวี่ยเจาหรานที่จวนเยวี่ยกลับมาด้วยตนเองได้สำเร็จ
แต่สุดท้ายเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผู้มีความคิดและการกระทำตื้นเขิน เมื่อนางเห็นเยวี่ยเจาหรานที่เดินออกมาด้วยใบหน้าบูดบึ้งระคนเก้อเขินที่ยังไม่หายช้ำ ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“เ้าบอกว่าอย่างไรก็เป็ลูกผู้ชาย ทำไมถึงแพ้แล้วหนีกันเล่า?” บนรถม้าที่โคลงเคลง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกดเสียงเบาแล้วเยาะเย้ยถากถางเสียยกใหญ่ เยวี่ยเจาหรานกลอกตาแล้วเอ่ยอย่างเ็า “แล้วเ้าล่ะ? ทั้งตัวมีความเป็สตรีบ้างหรือไม่ เ้า... บ้าบิ่นเหมือนกับพ่อของเ้าไม่มีผิด ไร้อารยะ!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมุ่ยปากเอ่ย “ชิ! เ้าเองก็เหมือนพ่อของเ้า เป็พวกบัณฑิตคร่ำครึ!”
“เ้า!” เยวี่ยเจาหรานหน้าชา คิดอยากให้าครั้งนี้ดำเนินต่อไป แต่ยามนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นกลับแสดงออกราวกับชายหนุ่มใจกว้างคนหนึ่ง แล้วโบกมืออย่างขอคืนดี “ก็ได้ๆ ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรตีเ้า พอใจหรือยัง? รีบคิดเข้าเถอะ ว่าตอนรำกระบี่ที่งานฉลองในวังจะทำอย่างไรดี?”
เถียงกันไปมา ในที่สุดก็เปลี่ยนหัวข้อไปถูกทาง เยวี่ยเจาหรานถอนหายใจยาว แล้วเอ่ยขึ้น “ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน [2] ขุนพลอย่างเ้า คงไม่ยากเกินจะสอนข้ารำกระบี่หรอกนะ? ข้าน่ะเฉลียวฉลาดมากนะ!”
“ได้ๆ อย่าขี้โม้นักเลย!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเปิดม่านของรถม้าขึ้น เห็นว่าใกล้ถึงประตูจวนแล้ว จึงเอ่ยเสียงเบาอีกครั้ง “อีกเดี๋ยวกลับไป คงถูกอบรมหูชาอีกแน่”
ทั้งสองไม่เอ่ยอะไรมากความอีก ต่างตกอยู่ในความเงียบสงบ มีเพียงการเคลื่อนไหวของผู้คนมากมายนอกรถม้าและเสียงลม เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตาละห้อย ในที่สุดในใจก็เกิดความกังวลกับเื่ตลกไร้สาระนี้อย่างจริงจังขึ้นมา...
ชีวิตของทั้งสองตระกูลต่างขึ้นอยู่กับเื่นี้ ไม่ว่าใครก็ทำสะเพร่าไม่ได้
รถม้าหยุดอยู่ตรงหน้าประตูจวนเยี่ยน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วลงจากรถม้าก่อน พลันพบว่ามีชาวบ้านกินเผือกมายืนมุงอยู่ั้แ่เมื่อไหร่ไม่รู้ หัวสมองหมุนเคว้งอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้สติว่าตนเองควรแสดงละครฉากนี้อย่างไร ดังนั้นจึงเก็บความเคยชินที่จะสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าตามนิสัยเอาไว้ แล้วค้อมตัวอยู่นอกรถม้า ยื่นมือให้กับเยวี่ยเจาหรานที่กำลังจะลงจากรถม้าอย่างเป็มิตร
เยวี่ยเจาหรานในตอนแรกนั้นไม่เข้าใจ คิดว่าคงเป็การหลอกกันเล่น แต่เมื่อเห็น ‘ใบหน้า’ ของชาวบ้านกินเผือกที่อยู่ล้อมรอบแล้ว ถึงได้เข้าใจสถานการณ์ เขาบุ้ยปากอย่างแง่งอน เพื่อเป็สัญญาณให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอุ้มตนลงจากรถ
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอ๋ยเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ในที่สุดเ้าก็ตกอยู่ในกำมือของข้า!
แม้ในใจจะไม่สุขีนัก แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำหมัดแน่นอย่างโกรธเคือง ก็ทะยานตัวฉุดเยวี่ยเจาหรานลงมาด้วยรอยยิ้มกว้าง เยวี่ยเจาหรานอุทานออกมาเล็กน้อย แต่เพียงพริบตาก็ตกลงสู่อ้อมแขนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างมั่นคง
“เยวี่ยเจาหราน ตัวหนักชะมัดเ้ากามโรค!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่ายังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้ แทบอยากจะค้อมให้กับชาวบ้านผู้กระตือรือร้นรอบๆ นางเดินเข้าไปยังประตูจวนทีละก้าวด้วยฝีเท้าหนักหน่วง
หนึ่งก้าวสองก้าว หนึ่งก้าวสองก้าว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในใจก่นด่าไปพลาง เท้าก็เดินไปพลาง กระทั่งแผ่นหลังของ ‘คู่รักหวานชื่น’ ทั้งสองลับสายตาของเหล่าชาวบ้านกินเผือกไปแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถึงได้ะโเสียงเข้ม “ปิดประตูให้ข้า!”
เหล่าข้ารับใช้ย่อมไม่กล้าเมินเฉย เมื่อเสียงปิดประตูไม้อันหนักหน่วงดังขึ้น ตัวของเยวี่ยเจาหรานก็ลอยเคว้งราวกับกลุ่มควัน ก่อนจะ ‘พลั่ก’ ร่วงลงบนพื้น...
เชิงอรรถ
[1] 1 ฉื่อ (尺) = 1 ฟุต
[2] ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน (兵来将挡,水来土掩) เปรียบถึงไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการไหน ก็ย่อมมีวิธีที่สามารถรับมือได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้