“ขอบคุณ...” พ่อเฒ่าอันยื่นมือเหี่ยวย่นจับมือใหญ่หนาของจางเจิ้นอันไว้แน่น กล่าวเสียงเครือว่า
“ต่อไปภายหน้า ซิ่วเอ๋อร์ก็ขอฝากไว้กับเ้าด้วยนะ นางเกิดมาก็ลำบากมาก ข้ากับแม่ของนางถึงจะรักจะเอ็นดูนางเพียงใด แต่หลายครั้งก็ยังดูแลได้ไม่ทั่วถึง ตอนนางอายุสามขวบ ป่วยหนัก หมอในหมู่บ้านก็รักษาไม่ได้ ข้าจนปัญญา ทุกวันต้องอุ้มนางเข้าเมืองไปฝังเข็ม รองเท้าขาดไปไม่รู้กี่คู่ พอตอนนางอายุเจ็ดขวบ ก็...”
พ่อเฒ่าอันจับมือจางเจิ้นอันไว้ไม่ปล่อย พร่ำเล่าเื่ราวความทุกข์ยากของอันซิ่วเอ๋อร์ั้แ่เล็กจนโตให้ฟังอย่างละเอียด เหลียงซื่อที่ฟังอยู่ข้างๆ ได้แต่หันหลังไปแอบซับน้ำตา ส่วนอันซิ่วเอ๋อร์นั้น น้ำตาก็ไหลรินอาบแก้มแล้ว
กู้หลินหลางกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มที เขาอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ ค่อยๆ ถอยหลังออกไปสองสามก้าว แล้วหลบฉากจากไปอย่างเงียบเชียบ
เนิ่นนานกว่าพ่อเฒ่าอันจะเล่าเื่ราวทั้งหมดจบลง แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจางเจิ้นอัน พอเห็นว่ากู้หลินหลางไม่อยู่แล้ว ก็แอบกระซิบกระซาบต่ออีกสองสามคำว่า
“คุณชายจาง ข้าพูดได้เต็มปากเลยว่าซิ่วเอ๋อร์ลูกข้าไม่ใช่คนที่จะเอาเื่ของเ้าไปพูดลับหลัง ข้าพูดแบบไม่กลัวว่าเ้าจะโกรธเลยนะ ตอนข้ากับแม่ของนางเผลอเรียกเ้าตามที่ชาวบ้านเรียกกัน นางยังตำหนิพวกข้าเลย”
“ใช่แล้วๆ นางบอกพวกเราว่า แต่งกับไก่ก็ต้องตามไก่ แต่งกับหมาก็ต้องตามหมา ต่อไปพวกเราก็ถือเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว” เหลียงซื่อรีบกล่าวเสริม
“ข้ารู้ ไม่ต้องอธิบาย” พ่อเฒ่าอันพร่ำพูดไปเกือบครึ่งชั่วยาม แต่จางเจิ้นอันเพียงตอบรับสั้นๆ ไม่กี่คำ
“แฮ่ๆ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่พูดแล้ว กลัวแต่ว่าเ้าจะเข้าใจผิดไป” พ่อเฒ่าอันอธิบายอีกครั้ง
“ไม่หรอก” จางเจิ้นอันยังคงตอบเสียงเรียบเ็า
“เพิ่งเกิดเื่วุ่นวายขึ้น ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว สู้กินข้าวเย็นที่นี่สักมื้อก่อนไม่ดีกว่าหรือเ้าคะ?” เหลียงซื่อเอ่ยชวนอีกครั้ง
“ไม่ล่ะ” จางเจิ้นอันยังคงปฏิเสธ เขาโค้งศีรษะให้พ่อเฒ่าอันและคนอื่นๆ เล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไปทันที
หลังจากจางเจิ้นอันเดินจากไปแล้ว แม่สื่อฮวาจึงมีโอกาสได้พูดบ้าง ท่าทีของนางเปลี่ยนไปจากตอนแรกที่ดูชื่นชมและเขินอายต่อหน้ากู้หลินหลางโดยสิ้นเชิง นางบ่นออกมาอย่างไม่พอใจนักว่า “ว่าไปแล้ว ท่านอาจารย์กู้คนนี้ก็ช่างชอบยุ่งไม่เข้าเื่จริงๆ เื่แบบนี้จะพูดจาส่งเดชได้อย่างไรกัน?” เกือบจะทำให้นางอดได้ค่านายหน้าอยู่แล้วเชียว น่าชังนัก!
ในสายตาของแม่สื่อฮวา ถึงแม้กู้หลินหลางจะหน้าตาดี แต่จะเทียบอะไรได้กับเงินทองเล่า?
“นั่นสินะ แต่เขาก็คงหวังดีนั่นแหละ” เหลียงซื่อกล่าวแก้ต่าง “เพียงแต่ใช้วิธีผิดไปหน่อย”
ต่งซื่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้แต่เม้มปากเงียบ แต่ในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น นางเคยบังเอิญเห็นอันซิ่วเอ๋อร์อยู่กับกู้หลินหลางตามลำพังที่ริมแม่น้ำครั้งหนึ่ง ตอนนั้นแววตาของอันซิ่วเอ๋อร์เต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด ไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด ดูท่าแล้ว น้องสามีคนนี้คงตัดใจได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ รู้จักคิดถึงภาพรวมเป็สำคัญ
“ซิ่วเอ๋อร์ ท่านอาจารย์กู้เขาอุตส่าห์อยากจะช่วย เ้ากลับไม่เอาเอง จางเจิ้นอันคนนี้เป็คนที่เ้าเลือกเองนะ ต่อไปภายหน้าเกิดอะไรขึ้น อย่าได้มาโทษพ่อโทษแม่ก็แล้วกัน” เหลียงซื่ออดคิดไม่ได้ว่าอันซิ่วเอ๋อร์ช่างโง่เขลาเสียจริง ตอนนั้นหากนางยอมโอนอ่อนตามสถานการณ์สักหน่อย บางทีอาจจะได้ลงเอยกับกู้หลินหลางจริงๆ ก็เป็ได้ ในสายตาของเหลียงซื่อ ลูกสาวของนางงดงามปานนี้ ย่อมเหมาะสมกับกู้หลินหลางอย่างยิ่ง แต่ลูกคนนี้กลับซื่อตรงเกินไปจริงๆ
นางถอนหายใจออกมา แล้วซับน้ำตาอีกครั้ง “ในเมื่อตกลงกันแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแต่งงาน ่นี้เ้าก็ไม่ต้องไปส่งข้าวให้หรงเหอแล้ว อยู่บ้านตัดเย็บชุดแต่งงานเสียหน่อยเถอะ”
วันต่อมา เหลียงซื่อไปหาผ้าสีแดงมาจากไหนก็ไม่ทราบ นำมาให้อันซิ่วเอ๋อร์ตัดเย็บชุดด้วยตนเอง
เนื่องจากเวลากระชั้นชิด ทั้งฐานะทางบ้านตระกูลอันก็ยากจนข้นแค้น พอถึงวันแต่งงาน นอกจากชุดสีแดงที่อันซิ่วเอ๋อร์สวมใส่อยู่บนตัวแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ในเรือนจำพวกผ้าห่มที่นอน ซึ่งหญิงสาวทั่วไปควรมีติดตัวไป กลับไม่มีเลยแม้แต่ชิ้นเดียว พี่ชายคนรองซึ่งพอจะมีฝีมือทางช่างไม้อยู่บ้าง คิดจะตัดต้นไม้ใหญ่ในลานบ้านมาทำเครื่องเรือนให้น้องสาว แต่อันซิ่วเอ๋อร์ก็ห้ามไว้
พี่ชายรองเป็เรี่ยวแรงหลักของบ้าน ตอนนี้เป็่เพาะปลูกสำคัญ จะให้เขามาเสียเวลาทำนาอันมีค่าใน่ฤดูใบไม้ผลิเพียงเพื่อทำเครื่องเรือนให้นางไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อขัดใจอันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ สุดท้ายพวกเขาจึงทำได้เพียงรีบร้อนขึ้นเขาไป ตัดไม้มาสองท่อน ทำเป็ถังไม้และกะละมังที่พอใช้สอยได้จริงสองสามใบ กับเสื้อผ้าเก่าๆ ที่อันซิ่วเอ๋อร์ใส่เป็ประจำตอนอยู่บ้านเดิม รวมทั้งหีบไม้สองใบที่เหลียงซื่อนำติดตัวมาตอนแต่งเข้าบ้านตระกูลอัน เพียงเท่านี้ก็ถือเป็สินเดิมทั้งหมดแล้ว
ข้าวของเหล่านี้ แม้แต่ในสายตาชาวบ้านชนบทด้วยกัน ก็ยังถือว่าดูขัดสนเกินไปนัก ญาติสนิทมิตรสหายต่างก็พอได้ยินมาบ้างว่านางจำใจต้องแต่งงานกับจางเจิ้นอันเพราะเื่เงินทอง สีหน้าแต่ละคนจึงดูไม่ค่อยดีนัก ในวันแต่งงานจึงเพียงรีบร้อนมา มอบไข่ไก่หรือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ พอเป็พิธี กินอาหารเสร็จก็รีบร้อนกลับไป
จางเจิ้นอันเองก็แทบไม่คบค้าสมาคมกับผู้ใดในหมู่บ้านอยู่แล้ว ดังนั้น คนหาบเกี้ยวสองสามคนในหมู่บ้านจึงเพียงรีบร้อนมาส่งเกี้ยวไว้ที่หน้าประตูบ้าน แม่สื่อฮวาก็รีบนำตัวนางเข้าบ้าน ทำพิธีไหว้ฟ้าดินกับจางเจิ้นอันอย่างลวกๆ แล้วจัดแจงให้อันซิ่วเอ๋อร์นั่งรอในห้องหอ จากนั้นก็รีบร้อนจากไปทันที
อันซิ่วเอ๋อร์นั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง ฟังเสียงประทัดที่ดังขึ้นอย่างประปรายแว่วมาจากข้างนอก มุมปากค่อยๆ ยกขึ้น เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาอย่างเงียบงัน
คิดว่าตนเองทำใจเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ความอัตคัดขัดสนของงานแต่งงานครั้งนี้ กลับยังคงเกินกว่าที่นางคาดคิดไว้มากนัก พอนึกถึงคำพูดที่แม่กำชับตอนออกจากบ้าน นางก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอขึ้นมา
“ลูกสาวที่แต่งออกไป ก็เหมือนน้ำที่สาดทิ้งไปแล้ว”
ผู้หญิงคนหนึ่ง นอกจากบ้านเดิมแล้ว ก็มีแต่บ้านสามี แล้วที่ใดเล่า จะเป็บ้านของตนเองได้อย่างแท้จริง?
ความขุ่นข้องหมองใจก่อตัวขึ้น นางจึงกระชากผ้าคลุมหน้าเ้าสาวออกอย่างแรง แต่เป็จังหวะเดียวกับที่จางเจิ้นอันเดินเข้ามาพอดี
นี่เป็อีกเื่ที่อันซิ่วเอ๋อร์รับไม่ได้ เขาศีรษะล้านหรือมีเหตุผลอื่นใดกันแน่? ทำไมถึงต้องสวมงอบใบลานตลอดเวลา? แม้กระทั่งวันแต่งงาน การแต่งกายของเขาก็ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ นางมองไม่ออกเลยว่าเขาให้ความสำคัญกับงานแต่งงานครั้งนี้แม้แต่น้อย
แต่การที่จางเจิ้นอันเข้ามาเห็นนางดึงผ้าคลุมหน้าออกเองเช่นนี้ นางก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ถือเป็การเสียมารยาทอย่างหนึ่ง
“คลุมผ้าแล้วมันร้อนอบอ้าว ข้ารู้สึกหายใจไม่ออกน่ะเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์กลัวเขาจะคิดมาก จึงรีบอธิบาย
“ไม่เป็ไร” ใครเลยจะรู้ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็รู้ดีว่านิสัยของเขาเป็เช่นนี้ การที่เขาไม่ตำหนินางเื่นี้ ก็นับว่าดีมากแล้ว
เป็คู่สามีภรรยากันหมาดๆ ที่ก่อนหน้านี้แทบไม่เคยรู้จักกัน การต้องมานั่งอยู่ด้วยกันตามลำพังจึงมีแต่ความเงียบงันและอึดอัด ไม่นานนัก จางเจิ้นอันก็หันหลังเดินออกไป อันซิ่วเอ๋อร์กำลังสงสัยอยู่พอดี ก็เห็นเขายกถาดอาหารที่มีชามข้าวและกับข้าวสองอย่างเข้ามา กล่าวว่า “วันนี้เ้าคงหิวแล้ว กินอะไรรองท้องก่อนเถิด”
“ขอบคุณเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ถึงได้รู้ว่าเขาออกไปหาของกินมาให้นาง นางรับชามข้าวมา ค่อยๆ ตักกินทีละคำอย่างระมัดระวัง
ข้าวสวยหุงได้หอมนุ่มมาก เคี้ยวในปากแล้วละมุนลิ้น บ้านตระกูลอันนั้นยากจน แค่มีข้าวกินก็ดีถมไปแล้ว ข้าวสารขาวๆ เช่นนี้ จะมีก็แต่ตอนเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นถึงจะกล้าหุงกินกันสักครั้งสองครั้ง อันซิ่วเอ๋อร์แทบจะลืมรสชาติของข้าวสวยหอมๆ เช่นนี้ไปแล้ว
จางเจิ้นอันยืนอยู่ข้างๆ มองดูนางใช้ตะเกียบคีบข้าวเข้าปากอย่างนุ่มนวลสง่างาม คางเรียวได้รูป ริมฝีปากเล็กๆ ขยับขึ้นลงอย่างน่าเอ็นดู เขารู้สึกเพียงว่าเสี้ยวหน้าด้านข้างของนางช่างดูอ่อนหวาน งดงามชวนมองยิ่งนัก
พอกินข้าวเสร็จ อันซิ่วเอ๋อร์วางชามและตะเกียบลง ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง นางเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนากับเขาอย่างไรดี จึงเอ่ยถามออกไปว่า “ท่าน...กินข้าวแล้วหรือยังเ้าคะ?”
“เมื่อครู่กินกับพวกชาวบ้านมาแล้ว” จางเจิ้นอันตอบ เขาเห็นอันซิ่วเอ๋อร์ดูทำตัวไม่ถูก จึงหาข้ออ้างว่าต้องไปทำความสะอาดบ้าน แล้วเดินเลี่ยงออกไปก่อน
จางเจิ้นอันไม่มีเพื่อนฝูงในหมู่บ้านนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครมาอยู่เป็เพื่อนหรือหยอกล้อคู่บ่าวสาวในคืนส่งตัว พอคนที่มาส่งเ้าสาวกลับไปหมดแล้ว บริเวณบ้านก็เงียบสงัดจนน่ากลัว
อันซิ่วเอ๋อร์ลองเดินออกมาสำรวจบ้านหลังเล็กนี้ดูอย่างละเอียด ตัวบ้านไม่ใหญ่นัก มีเพียงกระท่อมมุงฟางเก่าๆ สามหลังเท่านั้น กระท่อมเหล่านี้เดิมทีเป็ของครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านซึ่งทิ้งร้างไปนานแล้ว ต่อมาพอจางเจิ้นอันย้ายมา ้าที่พักอาศัย จึงซื้อต่อมาในราคาถูกๆ ซ่อมแซมเล็กน้อยพออยู่ได้ แล้วทำรั้วเตี้ยๆ ล้อมรอบบริเวณไว้
บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ พอยืนอยู่นอกตัวบ้าน ก็ััได้ถึงลมเย็นๆ ที่พัดมาจากแม่น้ำ พร้อมกับไอชื้นที่แผ่ซ่านไปทั่ว
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่เห็นจางเจิ้นอันอยู่ในบริเวณบ้าน กลัวว่าหากเขาเห็นตนเองออกมาเดินเพ่นพ่านแล้วจะดูไม่เหมาะสม จึงรีบกลับเข้าไปในห้อง
ห้องนอนห้องนี้ถูกใช้เป็ห้องหอของพวกเขา มันช่างดูซอมซ่อและขัดสนเสียเหลือเกิน เดิมทีอันซิ่วเอ๋อร์คิดว่าบ้านตระกูลอันของนางก็ยากจนมากแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็บ้านดินหลังคามุงกระเบื้องที่ยังพอเก็บกวาดให้ดูสะอาดสะอ้านได้ แต่ห้องนี้ หากเงยหน้ามอง ก็จะเห็นฟางมุงหลังคาห้อยรุ่งริ่งลงมา
หน้าต่างก็เก่าคร่ำคร่า กระดาษขาวที่ใช้ปิดกันลมในฤดูหนาวยังไม่ได้ฉีกออก พอถูกลมพัดก็ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ ตัวอักษรซวงสี่ สีแดงขนาดใหญ่ที่ติดเบี้ยวๆ บนผนังนั้นดูเก่าซีดจนน่าใจหาย ไม่รู้ว่าใครใจดีช่วยติดไว้ให้ อย่างน้อยก็พอจะเพิ่มบรรยากาศมงคลให้กับห้องนี้ได้บ้าง
ในห้องนี้นอกจากหีบไม้สองใบที่นางนำติดตัวมาแล้ว ก็มีเพียงเตียงที่ก่อขึ้นง่ายๆ จากอิฐและแผ่นไม้ โต๊ะไม้เก่าๆ ตัวหนึ่ง กับม้านั่งอีกสองตัว นอกจากนี้ก็มีตู้เสื้อผ้าเก่าๆ อีกใบหนึ่งเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย
อันซิ่วเอ๋อร์ถอนหายใจ หากเขาไม่ต้องใช้เงินก้อนนั้นแต่งงานกับนาง บางทีอาจจะนำเงินมาปรับปรุงซ่อมแซมบ้านหลังนี้ให้ดีขึ้นได้กระมัง แต่ไม่เป็ไร ต่อไปภายหน้านางจะต้องช่วยเขาดูแลบ้านหลังนี้ให้ดีขึ้นให้ได้ เมื่อครู่นี้ เขายังอุตส่าห์นึกถึงว่านางอาจจะหิว แล้วนำข้าวมาส่งให้ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้นางรู้สึกมีความหวังมากขึ้น นางเชื่อมั่นว่าตนเองจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ดีอย่างแน่นอน
นางพยายามสะกดใจไม่ให้ลุกขึ้นไปเริ่มปัดกวาดจัดห้องเสียเดี๋ยวนั้น นั่งตัวตรงอยู่บนเตียง ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด ความมืดมิดก็ค่อยๆ โรยตัวลงมาปกคลุมไปทั่ว
จางเจิ้นอันไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยว่าวันนี้เป็วันแต่งงานของตนเอง เขานั่งอยู่บนเรือ ในมือถือคันเบ็ด ข้างกายมีปลาที่ตกได้วางกองอยู่จำนวนหนึ่ง
พอเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาจึงเก็บคันเบ็ด ลุกขึ้นยืน เดินถือตะกร้าปลาขึ้นจากเรือ กลับบ้านอย่างไม่รีบร้อน
ระหว่างทางก็เจอชาวบ้านเดินสวนไปมาบ้างเป็ครั้งคราว พอเห็นรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ พลางนึกในใจว่าคนผู้นี้ช่างประหลาดเสียจริง วันแต่งงานของตัวเองแท้ๆ กลับออกมานั่งตกปลา
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่รู้เื่ราวเหล่านี้เลย นางยังคงนั่งตัวตรงนิ่งอยู่ที่เดิม พอได้ยินเสียงประตูไม้ดังเอี๊ยดอ๊าด นางก็เม้มริมฝีปากแน่น คาดเดาว่าจางเจิ้นอันคงจะกลับมาแล้ว หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นมาทันที
จางเจิ้นอันกลับมาถึงก็ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนกลิ่นคาวปลาออกไปอาบน้ำเย็นในครัว แล้วนำอาหารที่เหลือจากตอนกลางวันมาอุ่นร้อน จากนั้นจึงยกเข้ามาในห้อง
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาเดินเข้ามา หัวใจที่เต้นระรัวเมื่อครู่ก็ค่อยๆ สงบลง นางลุกขึ้นยืน ช่วยย้ายกาน้ำชาบนโต๊ะออกไป แล้วช่วยหยิบถ้วยชามอาหารลงจากถาดมาวางบนโต๊ะ
ทั้งสองนั่งลงเผชิญหน้ากัน อันซิ่วเอ๋อร์ถึงเพิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง เดิมทีเขาได้ถอดงอบใบลานออกแล้ว แม้แต่ผ้าสีดำที่ใช้ปิดตาไว้ก็ถูกถอดออกไปด้วย นางค่อยๆ ตักข้าวเข้าปากทีละคำ พลางลอบชำเลืองมองเขาเป็ระยะ จางเจิ้นอันสังเกตเห็นท่าทีของนาง จึงหันมาสบตานางแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถาม “อาหารไม่ถูกปากหรือ?”
“อร่อยมากเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวเสียงเบา
“แล้วเหตุใดเ้าถึงเอาแต่มองข้าอยู่เรื่อย?” จางเจิ้นอันถามอย่างสงสัย
