อวิ๋นซีพูดเรียบๆ “บนโลกนี้มีคนมากมายที่ใน่ชี้เป็ชี้ตายเอาแต่สนใจตัวเอง คนเหล่านี้ ข้าจะไปว่าอันใดเขาก็คงไม่ได้” แต่ว่า ผู้เป็ขุนนางจะทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด คิดถึงตรงนี้ อวิ๋นซีก็พูดกับเว่ยซาน “ให้คนไปสืบดู ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาตัวข้าหลวงผู้ดูแลประจำอวี่โจวมาให้ได้”
เว่ยซานพยักหน้า เขารู้ดีว่า ั้แ่ที่พระชายาทรงทราบว่าข้าหลวงผู้ดูแลประจำอวี่โจวได้นำเงินทองที่ราชสำนักส่งมาให้เพื่อรับมือกับโรคระบาดหนีไปด้วย พระชายาก็กริ้วจนพูดไม่ออก อย่างไรเสีย ข้าหลวงผู้นั้นก็ได้หายตัวไปตอนที่กำลังจะปิดเมือง อีกทั้ง ่นี้ทุกคนต่างก็ลำบากเหนื่อยากกับสถานการณ์โรคระบาดนี้อยู่ จึงไม่มีเวลาไปสนใจคนเห็นแก่ตัวผู้นั้น
คนทั้งกลุ่มเดินทางกันได้สักพักก็ถึงอำเภอหนึ่งของอวี่โจวที่อยู่ใกล้กับเมืองเฟิงมากที่สุด สถานการณ์ที่นี่เรียกได้ว่าระบาดอย่างรุนแรง เพียงแต่ยังพอมีคนที่รอดชีวิตอยู่ เมื่ออวิ๋นซีไปถึงก็รีบนำคนเข้าช่วยรักษาผู้ที่ติดโรคระบาดทันที
โชคดีที่สมุนไพรที่้าไม่เคยขาด นางรู้มาจากพี่รองว่า สมุนไพรต่างๆ ที่ถูกส่งมาเหล่านี้ ส่วนมากได้มาจากตระกูลฉิน ตระกูลอวิ๋น รวมถึงผู้นำตระกูลเจียงอย่างเจียงเฉิงที่ก็ได้ให้คนนำมาส่งให้ด้วย
................................................................................................
ณ ตำหนักจินหลวน แคว้นหนานเย่า
เสี้ยวเหวินตี้มองบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ที่ยืนอยู่เบื้องล่าง สีพระพักตร์ดำคล้ำอยู่หลายส่วน “หลิ่วเก๋อเหล่า อ่านสารด่วนที่ส่งมาจากเมืองเฟิงให้บรรดาขุนนางทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังที”
เมื่อหลิ่วเก๋อเหล่าได้ยินรับสั่งก็รีบเปล่งเสียงอ่านถ้อยคำในสารด่วนจากเมืองเฟิงที่ส่งมาถึงเมื่อวานทันที จดหมายฉบับนี้เป็หลี่หรงเฉียวที่เขียนขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งส่งถึงหลิ่วเก๋อเหล่าที่มีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุดในเน่ยเก๋อ [1]
ทุกตัวอักษรที่ร้อยเรียงในจดหมายระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็ชายาหนิงอ๋องที่ทำเพื่อราษฎรในเขตโรคระบาด เมื่อทุกคนได้ยินแล้ว ทั้งตำหนักใหญ่ก็เงียบสงัด
เสี้ยวเหวินตี้มองเหล่าโอรสและข้าราชบริพาร แค่นเสียงเ็า “เขตโรคระบาดอันตรายเพียงใด โรคระบาดน่าหวาดกลัวเพียงใด แม้แต่องค์หญิงสามก็ยังหลีกหนีไม่พ้น แต่หนิงอ๋องและชายากลับไม่หวั่นเกรงในสิ่งใด มุ่งหน้าเข้าสู่เขตโรคระบาด แล้วพวกเ้าเล่า? พวกเ้ามัวทำสิ่งใดกันอยู่? ”
พูดถึงตรงนี้ เสี้ยวเหวินตี้ก็เหวี่ยงฎีกาที่อยู่ในมือตนไปทางโอวหยางเทียนซิงที่ยืนอยู่หน้าสุด โอวหยางเทียนซิงไม่กล้าหลบ จึงได้แต่ต้องยอมรับความเ็ปที่ตามมาไปเต็มๆ ขอบฎีกาฉบับนั้นกระแทกเข้ากับศีรษะของเขา ไม่นานเืสดๆ ก็ค่อยๆ ไหลหยด “เ้าสาม เก็บขึ้นมาสิ ดูสิว่าพวกเ้าเขียนฎีกาบ้าอะไรกันมาบ้าง? ”
โอวหยางเทียนซิงรีบคุกเข่าลง พูดว่า “เสด็จพ่อ ขออย่ากริ้ว...”
“อย่ากริ้ว? ” เสี้ยวเหวินตี้หัวเราะเ็า “อย่ากริ้วหรือ เ้าบอกมาสิว่า เื่เหล่านี้จะไม่ให้เจิ้นโกรธได้อย่างไร ลูกชายและลูกสะใภ้ของเจิ้นกำลังสู้สุดกำลังอยู่ในเขตโรคระบาด แล้วพวกเ้าในฐานะที่เป็ขุนนางในเมืองหลวงเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้ข่าวลือบ้าๆ ในเมืองหลวงแพร่สะพัดไม่หยุดจนทำลายชื่อเสียงของลูกชายและลูกสะใภ้ข้า”
บรรดาขุนนางในตำหนักจินหลวนต่างก็ไม่กล้าเปิดปากพูด อย่างไรเสีย การที่เสี้ยวเหวินตี้จะกริ้วก็ถือเป็เื่ปกติธรรมดาอย่างที่สุด หากตอนนี้โรคระบาดยังคงระบาดอย่างหนักอยู่ก็ยังถือว่าดี ทว่า เวลาไม่เคยคอยใคร ยามนี้เทียบยาของชายาหนิงอ๋องได้ผลสำเร็จ ทำให้โรคระบาดที่เกิดขึ้นถูกควบคุมไว้ได้แล้ว
ตอนนี้ดูท่า ฝ่าาคงตั้งใจจะมาคิดบัญชีแน่แล้ว ในใจของเหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็เริ่มไม่สงบ ด้วยกังวลว่าไฟนี้จะลุกไหม้มาบนร่างตน และเพราะเื่นี้ เหล่าขุนนางที่เป็ฝักฝ่ายเดียวกับโอวหยางเทียนหัวจึงได้พากันทำตัวสงบเงียบ ไม่แสดงท่าทีใด อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โอวหยางเทียนหัวยังคงพักรักษาตัวเพราะอาการาเ็อยู่เพียงในจวนรัชทายาทตามคำสั่งของหวงกุ้ยเฟย
ในบรรดาผู้ร่วมประชุม องค์ชายสามโอวหยางเทียนซิงเป็คนที่กระโตกกระตากมากที่สุดคนหนึ่ง สำหรับเื่นี้ เสี้ยวเหวินตี้ทราบดี ทำให้วันนี้ถึงได้กริ้วเพียงนี้ คนในฐานะที่เป็ลูกหลานตระกูลโอวหยางกลับไม่รู้จักแบ่งเบาภาระบิดา อีกทั้ง ในยามที่พี่ชายและพี่สะใภ้กำลังสู้เป็สู้ตายอยู่เพื่อราษฎร เขาก็เอาแต่สุมไฟอยู่เื้ั ช่างเป็เ้าสารเลวอย่างแท้จริง สมควรตายนัก
เสี้ยวเหวินตี้มองโอวหยางเทียนซิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ยิ้มเ็า “เ้าสามเอ๋ยเ้าสาม บิดาเ้ายังไม่ชรา หรือต่อให้จะชราแล้ว บางอย่างที่ไม่ควรเป็ของเ้า เ้าก็ไม่อาจจะได้ไป”
คำพูดของผู้เป็บิดา ทำให้โอวหยางเทียนซิงที่คุกเข่าอยู่ถึงกับตัวสั่นขึ้นมาทันที ประโยคนี้ของเสด็จพ่อหมายความว่าเช่นไร นี่พระองค์กำลังตัดความคิดที่จะแย่งชิงตำแหน่งสูงศักดิ์นี้ของตนอยู่อย่างนั้นหรือ? ไม่ เสด็จพ่อจะทำเช่นนี้ไม่ได้ เขาเองก็เป็โอรสคนหนึ่งของพระองค์เหมือนกัน แต่เหตุใดจึงต้องเลือกที่รักมักที่ชังถึงเพียงนี้ ตัวเขานั้น ไม่เคยด้อยไปกว่าพี่น้องคนไหน แต่เหตุใดเสด็จพ่อถึงไม่เคยมองเห็นเขาเลย?
หรือเป็เพราะพระมารดาของเขาเป็แค่นางกำนัลคนหนึ่ง?
เสี้ยวเหวินตี้ไม่ให้โอกาสโอวหยางเทียนซิงได้โต้แย่งใดๆ ทั้งสิ้น เขากล่าวต่อพร้อมมีบัญชาลงไป “เมื่อคืน เจิ้นฝันถึงฮ่องเต้องค์ก่อน ในฐานะที่เ้าเป็พระนัดดาของฮ่องเต้องค์ก่อน หลู่อ๋อง เ้าก็ไปเฝ้าสุสานหลวงแทนเจิ้นเสียเถอะ”
เพียงประโยคเดียวก็สามารถเตะหลู่อ๋องไปเฝ้าสุสานหลวงได้ในทันที ทำให้เหล่าขุนน้ำขุนนางที่ติดตามหลู่อ๋องต่างตกตะลึงกันไปหมด ขณะที่โอวหยางเทียนซิงกลับทำเพียงโขกศีรษะรับราชโองการ ความสงบนิ่งนี้ของเขา ทำให้เสี้ยวเหวินตี้เป็ต้องชายตามอง
เสี้ยวเหวินตี้มองบรรดาขุนนางที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ จากนั้นจึงพูดกับถงไห่ “ถ่ายทอดราชโองการของเจิ้น ่ที่หนิงอ๋องและชายาหนิงอ๋องอยู่ในเขตโรคระบาด ให้มีอำนาจในการกระทำการทุกอย่างโดยอิสระ”
ประโยคสุดท้ายนี้ ทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งตกตะลึงเสียยิ่งกว่าตอนที่ได้ยินว่าให้หลู่อ๋องไปเฝ้าสุสานหลวง สิ่งที่ต้องรู้ก่อน อำนาจในการกระทำการทุกอย่างได้โดยอิสระเช่นนี้ แม้แต่รัชทายาทก็ยังไม่เคยได้รับ สิทธิ์นี้เทียบเท่ากับเป็ตัวแทนของฝ่าาโดยแท้จริง สามารถตัดสินใจกระทำสิ่งใดก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลังได้
แม้เื่นี้จะมีคนใ ผิดหวัง เสียใจไปบ้าง แต่เ้ากรมอาญา เ้ากรมคลัง รวมถึงอวี๋อ๋องกับโอวหยางเทียนหลานกลับยืนอยู่ในกลุ่มคนด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อเป็เช่นนี้ก็ย่อมหมายความว่า สองสามีภรรยาคู่นั้นสามารถทำอะไรต่อมิอะไรในเขตโรคระบาดได้สะดวกขึ้นแล้ว
................................................................................................
ทางด้านจวินเหยียน เมื่อได้รู้ว่าภรรยาตนควบคุมโรคระบาดในเมืองเฟิงได้แล้ว แต่ยังออกเดินทางไปอวี่โจวต่อ...สีหน้าของเขาก็ดำคล้ำขึ้นมาทันที เขามองคนข้างกายด้วยท่าทีที่คล้ายจะพูดอะไร แต่กลับได้ยินเสียงรายงานจากองครักษ์ด้านนอก บอกว่าหลินหรงเว่ยขอพบ
จวินเหยียนขมวดคิ้ว หลินหรงเว่ยมาทำอันใด?
สงสัยอยู่เพียงชั่วครู่ เขาก็นึกถึงคำพูดของหลินหลานซินขึ้นมาได้ หรือว่าสถานะของเขาจะถูกหลินหรงเว่ยสืบรู้ ตอนนี้จึงได้มาที่นี่ด้วยหวังจะนำเื่นี้มาข่มขู่? คิดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มเ็า คนคิดว่าเขาจะถูกรังแกได้ง่ายๆ เพียงนั้นจริงหรือ
“พาเข้ามา” เขาพูดเรียบๆ
จวินเหยียนสาดสายตามองหลินหรงเว่ยอย่างเกียจคร้าน “หลินจวิ้นหม่า เชิญนั่ง”
ยามที่หลินหรงเว่ยได้ยินจวินเหยียนเรียกตนว่าจวิ้นหม่า สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็สามารถกลับเป็ปกติได้อย่างรวดเร็ว เขายิ้มอ่อนโยน “ผู้นำตระกูลฉินพูดให้ขำแล้ว ตอนนี้ผู้น้อยแซ่หลินมิใช่จวิ้นหม่าอีกแล้ว”
“อ้อ ต้องขออภัยด้วย วันๆ ผู้น้อยมีเื่ยุ่งมากมาย จึงหลงลืมไปว่าบรรดาศักดิ์ของฮูหยินหลินถูกริบไปแล้ว” หากไม่เจ็บไม่คันก็คงจะไม่ใช่จวินเหยียน เขาอยากจะดูเสียหน่อยว่า คนผู้นี้จะสงบนิ่งจริงหรือไม่
เพียงแต่ ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องผิดหวังแล้ว เพราะหลินหรงเว่ยสงบนิ่งมากจริงๆ ราวกับว่าสถานะจวิ้นหม่าอะไรนั่นจะมีหรือไม่มีก็ได้
“ผู้นำตระกูลฉินมีเื่มากมายให้ต้องทำ ผู้น้อยสามารถเข้าใจได้” พูดจบ เขาก็จดจ้องไปยังจวินเหยียน “เพียงแต่ ผู้น้อยสงสัยนัก ผู้นำตระกูลฉินคนเดียวแสดงเป็สองบทบาท ไม่เหนื่อยจริงหรือ? ”
จวินเหยียนยิ้มเงียบๆ จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ผู้น้อยเองก็สงสัยเช่นกัน คำกล่าวของท่าน อะไรที่เรียกว่าคนเดียวแสดงเป็สองบทบาท? ”
“ไม่ใช่หรอกหรือ? ” หลินหรงเว่ยหัวเราะหึหึ “ดูสิ ผู้น้อยแซ่หลินควรจะเรียกขานท่านว่าหนิงอ๋องถึงจะถูก”
“หนิงอ๋อง? ” จวินเหยียนหัวเราะฮ่าฮ่า ก่อนจะพูดต่อ “หากนายท่านหลินคิดจะพบหนิงอ๋อง ตอนนี้ควรจะต้องไปที่เขตโรคระบาดมากกว่ากระมัง ผู้น้อยได้ยินมาว่า ตอนนี้หนิงอ๋องและชายาหนิงอ๋องต่างก็เข้าไปในเขตโรคระบาดแล้ว”
--------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เน่ยเก๋อ (内阁) หมายถึง คณะรัฐมนตรีาุโ