จากหยางเฉิงถึงซางตู ระยะเวลาการเดินทางมากกว่าจากปักกิ่งถึงซางตูเป็เท่าตัว กอปรกับตั๋วรถที่ทั้งสองคนซื้อมานั้นค่อนข้างช้า พอหลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนมาถึง ‘หลานเฟิ่งหวง’ พวกเขาก็พบว่ามีคนก่อกวนพอดิบพอดี
หลี่ต้งเหลียงตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว
เขารับค่าตอบแทนมาตั้งเท่าไรแล้ว กลับไม่มีโอกาสได้แสดงฝีไม้ลายมือเลยสักครั้ง เขาจะรับเงินอย่างเดียวโดยไม่ปฏิบัติงานได้หรือ?
หลี่ต้งเหลียงและเก่อเจี้ยนสอบถามทางตามที่อยู่มาจนถึงหลานเฟิ่งหวง ยังไม่ทันได้เจอผู้ว่าจ้าง ‘คุณผู้หญิงเซี่ย’ ของพวกเขา ก็เห็นเหล่าชายหนุ่มท่าทางเสเพลเจ็ดแปดคนยืนอยู่บริเวณประตูร้านเสื้อผ้า
พวกเขายืนราวกับเป็เทพแห่งโรคระบาด [1] เสแสร้งเลือกหาเสื้อผ้า ทว่าทำให้ลูกค้าผู้หญิงหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าร้าน
ใครจะยินดีได้ทั้งที่กำลังถูกชายหนุ่มหนึ่งกลุ่มใช้สายตากลัดมันจับจ้อง?
อย่าว่าแต่ลูกค้าผู้หญิงเลย กระทั่งพนักงานร้านสาวหม่าเวยก็กลัวแทบแย่แล้ว
หลี่เฟิ่งเหมยใจดีสู้เสือถามพวกเขาว่าจะซื้ออะไร พวกชายหนุ่มพูดไปด่าไป ดึงเสื้อผ้าจากบนชั้นสินค้ามาใส่ พวกเขาไม่ได้ขโมยเสื้อผ้า พวกเขาแค่ลองเสื้อผ้าไม่หยุดหย่อน จับตรงนั้นทีลูบตรงนี้ทีอยู่ภายในร้าน ขัดขวางการค้าขายของหลานเฟิ่งหวงโดยสิ้นเชิง
หลี่เฟิ่งเหมยโดนคนพวกนี้ปั่นประสาทจนเกือบเป็บ้า มาซื้อเสื้อผ้าที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่ามาหาเื่แก้แค้นด้วยเจตนาร้ายนี่นา?
เธอไม่เคยขัดใจใครเสียหน่อย นี่ต้องเจอพวกมาเก็บค่าคุ้มครองเข้าแล้วหรือ? เซี่ยเสี่ยวหลานเคยบอกไว้ ถ้ามีคนมาเก็บค่าคุ้มครอง เรียกร้องไม่มากก็สามารถให้ได้ คิดว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ หากเกินจำนวนที่กำหนด ให้ติดต่อสถานีตำรวจทันที
หลี่เฟิ่งเหมยลองเชิงโดยเตรียมสินบนและยื่นให้ชายหนุ่ม เขานับธนบัตรด้านใน จากนั้นก็ถุยบุหรี่ที่คาบในปากลงบนพื้น
“พี่สาว เธอดูจะเข้าใจอะไรๆ มากทีเดียวนะ แต่เงินแค่นี้ไม่พอให้พวกพี่น้องฉันแบ่งกันหรอก... พอฉันรับเงินเธอไว้ ฉันกลับไปเธอก็ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ พวกฉันไม่จบเห่หรือ?”
ชายหนุ่มรู้สึกสนใจมากแท้ๆ แต่กลับโยนซองแดงให้หลี่เฟิ่งเหมยแทน
ไม่เอาแม้แต่เงิน ถ้าอย่างนั้นก็เป็การหาเื่แล้ว
หลี่เฟิ่งเหมยโมโหมาก สงสัยว่าเป็เพื่อนร่วมอาชีพมาก่อความวุ่นวาย ทว่าบริเวณใกล้เคียงหลานเฟิ่งหวงนอกจากห้างสรรพสินค้า ไม่มีร้านค้าเสื้อผ้าอื่นๆ แล้ว ห้างสรรพสินค้าคงไม่ถึงขั้นอิจฉายอดขายของหลานเฟิ่งหวงหรือเปล่า?
หากไม่ใช่การก่อความวุ่นวาย เป็ใครบางคนกำลังแก้แค้นพวกเธอสินะ?
มิเช่นนั้น... ก็เป็ตระกูลฝาน หลิวฟางไปบอกตระกูลฝานใช่หรือไม่ ว่าเสี่ยวหลานจะไม่แต่งงาน ตระกูลฝานจึงมาเพื่อหาเื่?
พออยากแจ้งความ คนเขาไม่ได้พังร้านหรือรีดไถเงิน เธอเปิดกิจการค้าขาย ในร้านก็จำหน่ายเสื้อผ้าบุรุษด้วยซ้ำ จะไม่ยอมให้พวกเขาเข้ามาได้หรือ คนพวกนี้เป็อันธพาลโดยแท้ หลี่เฟิ่งเหมยหมดสิ้นหนทางโดยสิ้นเชิง เดิมทีอารมณ์เธอยังรู้สึกเบิกบาน เพราะฟังจากหลิวเฟินว่าโจวเฉิงมาถึงั้แ่เมื่อวาน หลิวเฟินเล่าด้วยว่าโจวเฉิงมีตำแหน่งในหน่วยงาน หลานสาวได้เจอคนรักแสนดีขนาดนี้ หลี่เฟิ่งเหมยจะไม่ดีใจได้หรือ!
แต่ดูตอนนี้สิ ดันเจอพวกอันธพาลเสเพล การค้าขายวันนี้จะทำอย่างไรเล่า
มาแค่วันนี้ หรือจะมาทุกๆ วัน? หากยืนหน้าร้านหลานเฟิ่งหวงสักหนึ่งเดือน ร้านเสื้อผ้าก็ทำได้เพียงปิดกิจการ
ขณะกำลังคร่ำเครียด ก็มีคนสองคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นมีใบหน้าที่คุ้นเคย เธอเคยพบกับหลี่ต้งเหลียง ไปหยางเฉิงคราวก่อนนั่นเอง หลี่ต้งเหลียงร่างผอมสูงกับอีกคนที่อ้วนเตี้ยไปยังสถานีรถไฟเพื่อรับเธอและเสี่ยวหลาน
“สวัสดีครับ คุณผู้หญิงเซี่ยส่งโทรเลขแจ้งให้พวกเรามายังซางตู”
ไม่รู้ว่าหลี่เฟิ่งเหมยตาฝาดหรือเปล่า บุรุษร่วมแซ่ตรงหน้าราวกับกำลังสะกดความตื่นเต้นเอาไว้ คนหยางเฉิงช่างทันสมัยยิ่งนัก หลี่ต้งเหลียงเรียก ‘คุณผู้หญิงเซี่ย’ หลี่เฟิ่งเหมยคิดในใจว่าเวลานี้ ‘คุณผู้หญิงเซี่ย’ อ่านหนังสืออยู่ที่ห้องสมุดน่ะ ถ้าพวกก่อกวนเหล่านี้ถูกส่งมาโดยบ้านฝาน จะให้พวกเขาได้ยินว่าเสี่ยวหลานอยู่ที่ไหนไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“สหายต้งเหลียง คุณดูสภาพในร้านตอนนี้สิ...”
จะปล่อยให้นายจ้างเดือดร้อนได้อย่างไรกัน หลี่ต้งเหลียงหันไปส่งสัญญาณกับเก่อเจี้ยน
“ระวังหน่อยล่ะ อย่าทำลายข้าวของในร้านพัง ต้องพอเหมาะพอควร”
เอาแค่าเ็แต่ไม่พิการ เอาแค่พิการแต่ไม่ตาย สิ่งที่หลี่ต้งเหลียงหมายถึงคือความพอเหมาะพอควรเช่นนี้ ต้องคิดแก้ไขความวุ่นวายแทนผู้ว่าจ้าง ไม่ใช่เพิ่มความกดดัน แม้แต่จะเล่นงานคนพวกนี้จนพิการก็ไม่ได้ ความแตกต่างระหว่างพวกนอกคอกกับผู้เคยร่ำเรียนวิชานั้น หลี่ต้งเหลียงขอให้ศิษย์น้องอวดมันออกมาด้วยความสง่าผ่าเผย
ชายหนุ่มที่ปาอั่งเปาคืนให้หลี่เฟิ่งเหมยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเก่อเจี้ยนถีบออกไปอย่างไม่เร่งร้อนและไม่อืดอาด ชายหนุ่มเห็นเท้านั้นชัดเจน คิดจะถอยหลัง ทว่าหลบไม่พ้น เห็นเท้านั่นประทับบนท้องน้อยของเขากับตาตนเอง ชายหนุ่มโดนเตะออกมาจากในร้าน กุมท้องพลางคุกเข่าอยู่นอกประตู เหมือนกำลังก้มศีรษะคำนับยอมรับผิด
หลี่ต้งเหลียงหิ้วคอเสื้อของอีกสองคน ราวกับกำลังถือลูกเจี๊ยบ
โยนพวกเขาทุกคนออกไปนอกร้านในคราวเดียว จะสู้กันหน้าประตูร้านไม่ได้ มิเช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อธุรกิจตั้งขนาดไหน มีพื้นที่โล่งอยู่ตรงกลางหลานเฟิ่งหวงและห้างสรรพสินค้า หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนลากพวกเขาเจ็ดแปดคนมาจัดการยังพื้นที่โล่ง
ไม่ทนมือทนเท้าเอาเสียเลย ไม่ทันไรก็นอนกองกันบนพื้นเสียแล้ว
หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนปัดมือ ดูท่าทางไม่ได้ออกแรงเท่าไรด้วยซ้ำ
ในห้างสรรพสินค้า หลิวฟางปิดปากของเหลียงฮวนผู้เป็ลูกไว้แน่น “อย่าร้องนะ ระวังพวกเขาได้ยิน”
ใบหน้าเล็กของเหลียงฮวนแดงก่ำจากการกลั้นหายใจ เธอพยักหน้าอย่างเอาเป็เอาตาย หลิวฟางถึงยอมคลายมือ
“แม่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”
หลิวฟางไม่รู้เช่นกันว่าจะทำอย่างไร
คิดไปคิดมา ที่พึ่งหนึ่งเดียวที่ช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานได้ ก็คือหลิวหย่งกับภรรยา แล้วใครกันที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่เฟิ่งเหมย สนับสนุนให้เธอเปิดร้านนี้? เหลียงปิ่งอันไม่อยากลงมืออย่างบุ่มบ่าม ก่อนหน้านี้เขาประมาทเกินไป ไม่รู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีนิสัยเช่นนั้น พอลองคิดดูอีกที เซี่ยเสี่ยวหลานเอาความเก่งกล้านั้นมาจากไหน เหลียงปิ่งอันจึง้าเค้นนายใหญ่เื้ัหลานเฟิ่งหวงออกมา
หลิวฟางฟังสามีตนเองว่าจะสร้างความวุ่นวายให้ร้านเสื้อผ้า เธอคิดว่าสามารถระบายอารมณ์โกรธได้
แม้ร้านไม่ใช่ของเซี่ยเสี่ยวหลานกับมารดา แต่เหลียงฮวนบอกว่าป้าสะใภ้ก็อยู่ด้วยตอนที่เซี่ยเสี่ยวหลานขังเธอไว้ในห้องแคบ หลี่เฟิ่งเหมยไม่ได้ขังเหลียงฮวน อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้ห้าม หลิวฟางจึงเกลียดชังพี่สะใภ้ไปด้วย ต้องสร้างปัญหาให้หลี่เฟิ่งเหมย ถึงจะทำให้หลิวฟางได้ปลดปล่อยความโกรธ และอีกอย่าง ถ้าความวุ่นวายนี้ถูกนำเข้ามาโดยเซี่ยเสี่ยวหลาน สร้างเื่หลายๆ วันเข้า หลี่เฟิ่งเหมยยังจะโปรดปรานเซี่ยเสี่ยวหลานผู้เป็ตัวปัญหาได้อีกหรือ?
อย่าว่าแต่ให้เงินทองแก่เซี่ยเสี่ยวหลานใช้ ทางที่ดีคือไล่ออกกระทั่งหลิวเฟินผู้ทำงานภายในร้าน
ที่หลิวฟางทำเช่นนี้เพราะเธอไม่ทราบว่าเถ้าแก่อีกคนของร้านเสื้อผ้าก็คือเซี่ยเสี่ยวหลานนั่นเอง แม้วิธีนี้มิอาจทำให้หลิวเฟินตกงานได้ แต่ก็กระทบต่อการค้าขายของร้านได้จริงๆ เหลียงปิ่งอันสมกับเป็คนทำงานในฐานะข้าราชการ เข้าใจหลักการตีลูกเฉียดขอบ [2] ดียิ่งนัก ไม่ทำลายหรือไม่ขโมย แค่เลือกเสื้อผ้าตามปกติ ประวิงเวลานานสักนิด พาคนมามากสักหน่อย ไม่พูดจาแทะโลมสุภาพสตรี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลงไม้ลงมือ เพียงแต่ใช้สายตาคุกคามคนอื่น
สถานีตำรวจคงจับพวกเขาไปไม่ได้สินะ
หลิวฟางอยากพาลูกสาวมาชมความคึกคักเพื่อระบายอารมณ์ ตอนแรกยังดีอยู่แท้ๆ เชียว เธอถึงขนาดจินตนาการออกว่าหลี่เฟิ่งเหมยนั้นร้อนใจเพียงใด
ทว่าคนที่จ้างมาอยู่ในหลานเฟิ่งหวงแค่สองชั่วโมงก็ถูกจับโยนออกมาเสียแล้ว ชายสองนายทำร้ายคนเจ็ดแปดคน สภาพไม่ต่างจากผู้ใหญ่กำลังรังแกเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง คนพวกนี้ไร้น้ำยาโต้กลับโดยสิ้นเชิง! หลิวฟางปิดปากเหลียงฮวนไว้แน่น เพราะกลัวว่าชายโหดทั้งสองจะสังเกตมาทางนี้และทำร้ายพวกเธอ
จะเผยตัวไม่ได้ ถ้าเผยตัว ก็จะรู้ว่าเป็คนที่บ้านเหลียงจ้างมา
เหลียงปิ่งอันและหลิวฟางปรึกษากันเรียบร้อยแล้วว่าจะทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจผิดว่าคนพวกนี้ถูกส่งมาโดยบ้านฝาน จะทำให้เธอได้เห็น ‘ลูกเล่น’ ของฝานเจิ้นชวนเสียบ้าง! และลูกเล่นของฝานเจิ้นชวนเองไม่มีทางอ่อนโยนขนาดนี้ ทุกวันนี้เหลียงปิ่งอันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พยายามหาหนทางมีชีวิตรอดในสถานการณ์อันยากลำบาก ย่อมต้องระมัดระวังทุกอย่างเป็ธรรมดา
มีคนต่อยตีกันที่จัตุรัสเอ้อร์ชี สถานีตำรวจมาถึงอย่างว่องไว
ผู้นำกลุ่มคือจั๋วเว่ยผิง เธอได้ยินว่ามีคนก่อกวนที่หลานเฟิ่งหวง ปฏิกิริยาแรกจึงคิดว่าเป็คนของฝานเจิ้นชวนเหมือนกัน
พอมาตรวจสอบยังสถานที่เกิดเหตุ คนมากมายร่วงลงกองบนพื้นเรียบร้อย หลี่เฟิ่งเหมยเห็นว่าเ้าหน้าที่จั๋วมาแล้ว เธออ้าปากจะอธิบาย แต่หลี่ต้งเหลียงกลับชิงตอบก่อนขณะกำลังถูมือ
“คุณตำรวจ พวกเขาขโมยกระเป๋าเงินของผม ผมอยากแย่งกระเป๋าคืนมา เลยชนพวกเขาล้มโดยไม่ได้ตั้งใจ”
เชิงอรรถ
[1]瘟神 เทพแห่งโรคระบาด คือ เทพผู้ควบคุมโรคระบาด ใช้เปรียบเทียบกับคนที่นำความชั่วร้ายมาให้
[2]打擦边球 ตีลูกเฉียดขอบ มีที่มามาจากการตีลูกปิงปองลงขอบโต๊ะ ซึ่งยังถือว่าได้คะแนนอยู่ จึงนำมาเปรียบเทียบกับการเลือกใช้วิธีอันแยบยลหลบหลีกช่องโหว่ของกฎเกณฑ์เพื่อกระทำการบางอย่าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้