ฟู่ถิงเย่เดินมาถึงห้องโถงด้านหน้า หาม้านั่งไม้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลง โดยไม่พูดอะไร
เพียงแต่มีบางเื่ แม้จะทำเป็มองไม่เห็น แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ได้ยิน
เขามีหูดีเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงน้ำไหล ดังมาจากในห้อง...ในตอนแรก เสียงนั้นใสดังกังวานดุจหยดน้ำกระทบแผ่นหยก จากนั้นเสียงก็ค่อยๆ ดังต่อเนื่องกัน ราวกับสายน้ำที่ไหลรวมกัน ไหลรินออกมาจากหุบเขาอย่างไม่ขาดสาย
แผ่นหลังของฟู่ถิงเย่เหยียดตรง ความรู้สึกอึดอัดใจทำให้เขาร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก เขาพยายามจะเพิกเฉยต่อเสียงนั้น แต่กลับรู้สึกว่าเสียงนั้นยิ่งดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะในยามค่ำคืนที่เงียบสงบเช่นนี้...
ฟู่ถิงเย่กำลังคิดว่าตนเองควรจะออกไปข้างนอกดีหรือไม่ ออกไปให้ไกลกว่านี้อีกหน่อย...
ในขณะนั้น เสียงน้ำในห้องก็ค่อยๆ เบาลง จนในที่สุดก็เงียบหายไป
ฟู่ถิงเย่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในขณะเดียวกันก็คิดว่าตนเองใส่ใจมากเกินไป มนุษย์ย่อมมีธุระส่วนตัว ตอนนี้สถานการณ์คับขัน ต้องอยู่ร่วมห้องนอนด้วยกัน เื่แบบนี้จะมีอะไรน่าแปลกใจ!
เขาได้ยินเสียงหวาชิงเสวี่ยเรียกเบาๆ จากในห้อง “ท่านแม่ทัพ...ข้า...ข้าเสร็จแล้ว เชิญท่านเข้ามาได้เลยเ้าค่ะ...”
ฟู่ถิงเย่ก้าวเข้าไปในห้อง
ค่ำคืนต่อจากนั้น เงียบสงัดไร้เสียงใดๆ
...
วันรุ่งขึ้น หวาชิงเสวี่ยตื่นสายโดยไม่คาดคิด
ช่วยไม่ได้ นางหลับสบายเกินไป เตียงเตาอุ่นสบาย ผ้าห่มหนานุ่ม นางฝันว่าตัวเองนอนอาบแดดอยู่บนก้อนเมฆ อบอุ่นเสียจนไม่อยากลืมตา
พอนางตื่นขึ้นมา ก็พบว่าฟ้าสางแล้ว จึงลุกขึ้นนั่งด้วยความใ!
มองไปรอบๆ ฟู่ถิงเย่ไม่อยู่แล้ว อีกทั้งในห้องก็ยังมีเสื้อผ้าของทหารเหลียวกองอยู่เป็ตั้งๆ
นั่นหมายความว่า ฟู่ถิงเย่ตื่นขึ้นมานานแล้ว? เขาไม่เพียงแค่ตื่นขึ้นมาแล้วเท่านั้น แต่ยังออกไปเอาของพวกนี้กลับมาให้นางอีก...
เมื่อคิดว่าตัวเองหลับสนิทขนาดนี้ หวาชิงเสวี่ยก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย นางแต่งตัวแล้วลงจากเตียงเตาด้วยใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นเดินออกไปด้านนอกเพื่อวนดูรอบๆ
ไม่มีใครอยู่ในห้องพัก ในลานเรือนก็เช่นกัน หวาชิงเสวี่ยจึงเดินไปที่ห้องพักทางฝั่งซ้าย ที่นี่ก็ไม่มีใครเช่นกัน
ห้องพักทางซ้ายเป็พื้นที่โล่งกว้าง ตรงกลางกั้นด้วยกำแพงดินครึ่งหนึ่ง ด้านหนึ่งเป็ห้องครัว อีกด้านหนึ่งเป็ห้องเก็บฟืน ซึ่งวางสิ่งของต่างๆ กองไว้
อย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของตัวเอง หวาชิงเสวี่ยจึงไม่กล้าเดินเพ่นพ่าน ยืนมองอยู่ที่หน้าประตูแล้วก็เดินถอยกลับออกมา
ฟู่ถิงเย่ไม่อยู่ หวาชิงเสวี่ยไม่มีความคิดอะไรในหัว จึงยืนอยู่ในลานเรือน ไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอะไรดี...
หรือว่า...ทำอาหารเช้าก่อนดี?
เมื่อครู่เห็นว่าหม้อและเตาถ่านยังเย็นอยู่ ฟู่ถิงเย่คงยังไม่ได้กินอะไรก่อนออกไป...
หวาชิงเสวี่ยยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เสื้อผ้าของนางน้อยชิ้น พอลมพัดมาจากด้านนอกก็ตัวสั่น นางกอดอกแล้วถูแขนไปมา ตัดสินใจต้มน้ำร้อนก่อน จึงหันหลังเดินเข้าไปในครัว
ก่อไฟต้มน้ำ ล้างหน้าล้างตาให้สะอาดก่อน จากนั้นจึงต้มโจ๊กธัญพืชหลายชนิดหม้อหนึ่ง เป็อาหารเช้าง่ายๆ
จริงๆ แล้วนางเห็นข้าวสารขัดสีถุงหนึ่งอยู่ที่มุมห้อง แต่เป็ของบ้านคนอื่นนางไม่กล้าใช้ตามใจชอบ จึงได้แต่เลือกวัตถุดิบราคาถูกมาใช้...
หวาชิงเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่ในครัว เมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตูลานเรือน ก็รีบวิ่งออกไปดู
ฟู่ถิงเย่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึม
หวาชิงเสวี่ยเห็นสีหน้าของเขา หัวใจก็เต้นแรงขึ้น นางยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูครัวด้วยความงงงวย
ฟู่ถิงเย่มองไปที่นาง สายตาเ็าและคมกริบ เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ทหารเหลียวพบเสื้อนวมใยฝ้ายที่ทำขึ้นสำหรับราชวงศ์ในโรงรับจำนำแล้ว ตอนนี้กำลังค้นหาไปทั่วเมือง”
ใบหน้าของหวาชิงเสวี่ยซีดเผือดในทันที...
“ท่านแม่ทัพ...เรา...ตอนนั้นพวกเราใจร้อน...”
หวาชิงเสวี่ยอยากอธิบายว่า ตอนนั้นนางสูญเสียความทรงจำ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย พวกเขาทั้งสองเข้ามาในเมืองก็ไม่มีอะไรกิน ไม่มีอะไรใช้ จึงนำเสื้อนวมใยฝ้ายของหลี่จิ่งหนานไปจำนำเพื่อแลกกับเงินโดยไม่ได้คิดอะไร!
หลังจากนั้นนางก็กังวลมาโดยตลอด กลัวว่าเสื้อผ้าตัวนั้นจะถูกคนอื่นจำได้ เพียงแต่เวลาผ่านไปนาน จึงเริ่มผ่อนคลายความกังวลลง คิดไม่ถึงว่าเื่นี้จะแดงขึ้นมาใน่เวลาสำคัญเช่นนี้!
สีหน้าของฟู่ถิงเย่ดูย่ำแย่มาก
เนื่องจากในเมืองเกิดเหตุจลาจล ทหารเหลียวจึงปิดประตูเมืองอย่างแ่า การจะออกจากเมืองนั้นยากลำบากมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังปิดเมืองค้นหาอีก...ชาวบ้านธรรมดาอาจจะไม่รู้ แต่เขารู้ดีว่า ชาวเหลียวกำลังตามหาที่อยู่ขององค์รัชทายาท!
“พวกเขาจะค้นหาไปทุกบ้าน และมาถึงที่นี่ในไม่ช้า” ฟู่ถิงเย่กำชับนางทีละคำ “หากทหารเหลียวมาค้นที่นี่ จำไว้ว่า พวกเราเป็สามีภรรยากัน ครอบครัวเลี้ยงชีพด้วยการเก็บของป่ามาขาย”
“แต่...” หวาชิงเสวี่ยใบหน้าซีดเซียวพร้อมกับพูดเสียงสั่น “ในบ้านไม่มีของป่า...แบบนี้จะถูกเปิดโปงหรือไม่?”
“ในห้องเก็บฟืนยังมีถั่วเจินจื่อ [1] ครึ่งถุงกับเกาลัดหนึ่งถุง ่นี้ประตูเมืองปิด ไม่สามารถออกไปหาของได้ การที่ในบ้านไม่มีของมากนักก็เป็เื่ปกติ” ฟู่ถิงเย่หยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริม “อีกอย่าง ต่อไปนี้อย่าเรียกข้าว่าท่านแม่ทัพ ให้เรียกว่าสามี”
สีหน้าของหวาชิงเสวี่ยแข็งทื่อไปชั่วขณะ รู้สึกพูดไม่ออก แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ นี่เป็เพียงวิธีเดียวที่ทำได้แล้ว!
“...ถ้าอย่างนั้น...หากพวกเขาถามชื่อล่ะเ้าคะ?” หวาชิงเสวี่ยเอ่ยปากถาม
ในเมื่อต้องแสร้งเป็สามีภรรยา จะไม่รู้ชื่อของกันและกันได้อย่างไร?
นามของท่านแม่ทัพฟู่ไม่อาจพูดออกไปได้แน่นอน
“โจวจิ่นจือ” ฟู่ถิงเย่ตอบอย่างเด็ดขาด “ต่อไปนี้เ้าต้องเรียกตัวเองว่าฮูหยินตระกูลโจว”
หวาชิงเสวี่ยพยักหน้าอย่างยากลำบาก “ั้แ่เมื่อไหร่...ถึงจะเริ่ม?”
“เล่นละครก็ต้องเล่นให้สมบทบาท การเรียกขานเริ่มั้แ่ตอนนี้เลย จะได้ชินั้แ่เนิ่นๆ” ฟู่ถิงเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าการทำเช่นนี้เหมือนเป็การล่วงเกินหวาชิงเสวี่ย จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป ตอนที่ไม่มีทหารเหลียว ก็ทำเหมือนเดิมทุกอย่าง เื่ออกจากเมือง...ข้าจะหาวิธีเอง”
“ขอบคุณเ้าค่ะท่านแม่ทัพ...” หวาชิงเสวี่ยกัดริมฝีปากแน่น หายใจติดขัดเล็กน้อย ตั้งสติได้จึงเปลี่ยนคำพูด “ขอบคุณ...สามี...”
“...” ฟู่ถิงเย่ละสายตาจากนาง คงไม่ชินเช่นกัน เขาพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง
หวาชิงเสวี่ยยืนอยู่ที่ลานเรือน ทั้งรู้สึกกังวลและหวาดหวั่น...
รับบทเป็สามีภรรยานี่...ยากเสียจริง...
การนำเสื้อนวมบุใยฝ้ายตัวนั้นไปจำนำ เป็ความคิดของนางกับหลี่จิ่งหนาน ปัญหาที่ซ่อนอยู่ตอนนั้นกลับทำให้เกิดเื่ใหญ่โตเช่นนี้ นางต้องรับผิดชอบอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
เอาเถอะ ก่อเื่แล้วยังทำให้ท่านแม่ทัพต้องมาลำบากอยู่ที่นี่กับนาง ทั้งยังต้องมาแสดงบทบาทเป็สามีภรรยากัน หากสวมบทได้ไม่ดีอีก ต่อให้นางตายหมื่นครั้งก็คงชดใช้ความผิดไม่ได้!
ถึงจะยากแค่ไหนก็ต้องทำ! ต้องเผชิญหน้าและผ่านไปให้ได้!
หวาชิงเสวี่ยยกโจ๊กเข้าไปในห้องพัก พูดด้วยน้ำเสียงแ่เบา “สามี ทานข้าวก่อนเถอะ...”
ฟู่ถิงเย่ที่อยู่ในห้องรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว...
เขาสงสัยว่าตนเองให้โอกาสสตรีผู้นี้ใช้ประโยชน์จากเขามากเกินไปหรือไม่!
ถึงแม้ว่าตอนนี้จำเป็ต้องแสร้งเป็สามีภรรยากัน แต่นางก็ปรับตัวเร็วเกินไปหรือไม่?
ด้วยฐานะของเขา มีสตรีมากมายที่้ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วย ฟู่ถิงเย่มักจะรังเกียจสตรีประเภทนี้! แต่เมื่อเจอกับดวงตาใสซื่อของหวาชิงเสวี่ยในตอนนี้...ฟู่ถิงเย่ก็ระงับความโกรธในใจเอาไว้!
ช่างเถอะ ช่างเถอะ!
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหาทางออกจากเมือง การติดอยู่ที่นี่นานวันก็ยิ่งอันตรายขึ้นอีกวัน!
...
ตอนเที่ยง หวาชิงเสวี่ยทำอาหารสองอย่างและข้าวกล้องกับมันเทศหม้อใหญ่อย่างทุลักทุเล
ไม่รู้ว่าสมองของนางเป็อย่างไร แม้จะจำอะไรไม่ได้เลย แต่บางครั้งหากพยายามคิด ก็จะมีอะไรหลายอย่างลอยเข้ามาในหัว
ตัวอย่างเช่น ตอนที่นางยืนอยู่หน้าเตาด้วยความกังวล สมองของนางก็เหมือนกับพลิกหนังสือไปทีละหน้า มีสูตรอาหารมากมายผุดขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอันไหนใช้ได้เลย แกงกะหรี่เนื้อสไตล์อินเดีย อกไก่ย่างสไตล์อเมริกัน พาสต้าชีสสไตล์อิตาลี...
พวกนี้มีประโยชน์อะไร?
มีประโยชน์อะไรกัน?!
ตอนนี้นางแค่อยากผัดผักกาดขาวให้สำเร็จ!
ในที่สุดอาหารก็เสร็จ ผัดผักกาดขาวจานหนึ่ง ไข่ผัดจานหนึ่ง ส่วนรสชาติ...ก็เหมือน กับหน้าตาของมัน ไม่ได้แย่ถึงขนาดกินไม่ได้ แต่ก็ถือว่าพอไปได้
ขณะรับประทานอาหาร หวาชิงเสวี่ยสังเกตสีหน้าของฟู่ถิงเย่อย่างระมัดระวัง
นับว่ายังโชคดี
เขากินหมดโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
นางนึกถึงคำพูดของหลี่จิ่งหนานที่เคยบอกว่า ฟู่ถิงเย่เคยอยู่ในบึงพิษนานถึงสามวันสามคืนเพื่อล่าอสรพิษพันปี สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายขนาดนั้นยังทนได้ ดังนั้นอาหารที่นางทำ...สำหรับท่านแม่ทัพก็คงเป็เื่เล็กน้อยมากใช่หรือไม่?
หวาชิงเสวี่ยคิดเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
บางครั้งก็นึกแปลกใจ นางสามารถให้รัชทายาททานอาหารแปลกๆ ที่นางทำได้อย่างหน้าชื่นตาบาน แต่พอต้องเผชิญหน้ากับท่านแม่ทัพ นางกลับรู้สึกผิดยิ่งนัก...
ฟู่ถิงเย่พบว่าสตรีผู้นี้กำลังแอบมองเขาอีกแล้ว...
เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ สตรีผู้นั้นก็เหมือนใ ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างหวาดกลัว
ฟู่ถิงเย่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรนางดี
เขารู้ว่าการพูดตรงๆ จะทำให้สตรีเสียหน้า ฟู่ถิงเย่หวังว่านางจะรู้จักยอมถอยห่างไปเองเมื่อรับรู้ถึงความยากลำบากในการเข้าหาเขา
มื้ออาหารผ่านไปเงียบๆ และก็รวดเร็วอย่างยิ่ง
หวาชิงเสวี่ยไม่เห็นว่าฟู่ถิงเย่กินอย่างตะกละตะกลาม แต่ข้าวในชามของเขากลับลดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็วางตะเกียบลง
“เอ่อ...ให้ข้าตักข้าวเพิ่มให้หรือไม่เ้าคะ?” หวาชิงเสวี่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ
ฟู่ถิงเย่ตอบไม่ตรงคำถาม “มีคนมา”
หวาชิงเสวี่ยอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ฟู่ถิงเย่เห็นนางตื่นตระหนก ก็ขมวดคิ้ว “ยิ่งตื่นตระหนก ยิ่งทำให้คนอื่นจับผิดได้ง่าย ไปเก็บจานชามเถอะ นอกนั้นไม่ต้องสนใจ”
“อืม...” หวาชิงเสวี่ยพยักหน้าตอบรับ
มองดูข้าวที่เหลืออยู่ครึ่งถ้วยของตัวเอง นางไม่มีความอยากอาหารแล้ว แต่เพราะสถานการณ์ที่ต้องเผชิญมาตลอดนางถึงได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของอาหาร จึงเก็บอาหารที่เหลืออย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยกชามของนางกับฟู่ถิงเย่ไปล้างในครัว
ระหว่างที่ทำสิ่งเหล่านี้ นางได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาทีละคนๆ จากไกลมาใกล้ พร้อมกับเสียงอึกทึกครึกโครมที่ดังระงม
น่าจะเป็ทหารเหลียวที่เริ่มตรวจค้นผู้อาศัยในตรอกนี้แล้ว
อีกไม่นานก็จะถึงตาที่นี่...
หวาชิงเสวี่ยคิดเช่นนี้ มือของนางก็ยิ่งเคลื่อนไหวช้าลง และเงี่ยหูฟังเสียงจากด้านนอก
ปัง ปัง ปัง!
ปัง ปัง ปัง!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเร่งรีบ!
“เปิดประตู! ตรวจค้นหาผู้ต้องสงสัย! ผู้ที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องสงสัยจะถูกปะาอย่างไร้ปรานี!” ทหารเหลียวที่อยู่ด้านนอกะโเสียงดัง!
หวาชิงเสวี่ยเดินไปที่ประตูด้วยความหวาดกลัว ไม่ทันเห็นฟู่ถิงเย่เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินหลังโค้งไปที่ประตูลานเรือนอย่างรวดเร็ว
นางเกือบจำเขาไม่ได้!
ฟู่ถิงเย่ไม่เพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ชุดเก่าๆ สกปรกเท่านั้น บนใบหน้ายังเปื้อนบางอย่างดำๆ เทาๆ ดูสกปรกมาก! และสิ่งที่แตกต่างที่สุดคือท่าทางของเขา ท่าทางที่สง่างามนั้นหายไปในพริบตา คิ้วตก หลังโค้งงอ เขากลายเป็ชาวไร่ที่ดูเชื่องช้าใช่หรือไม่?!
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่าช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
แม้คนยังหน้าตาเหมือนเดิม แต่เพราะเสื้อผ้า สีหน้า ท่าทาง และการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน ทำให้เขากลายเป็คนละคนไปเลย!
—————————————————————————————————
[1]เจินจื่อ(榛子)ถั่วเฮเซลนัท