ด้วยการตัดสินใจเลือกผลลัพธ์ของมู่จื่อหลิง ในยามนี้นางกำลังจะโจมตีไปที่ปากอันน่าขยะแขยงของมู่อี๋เสวี่ย
ทันใดนั้น ใน่เวลานั้น...
‘ปัง!’ ได้มีเสียงโครมครามดังขึ้น ดังก้องไปทั่วในทันที!
กระแสลมแรงผันผวนมาจากรถม้าที่อยู่ไม่ไกล มันมาจากภายในสู่ภายนอก...ก่อนจะปะทะจนเกิดเสียงโครมคราม!
รถม้าคันเล็กที่มู่จื่อหลิงนั่งอยู่ ซึ่งทำมาจากไม้พะยูงหอม [1] ทั้งคันจึงทั้งแข็งแรงและทนทาน...มันได้แตกออกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที!
การเคลื่อนผ่านของสายลมมีความผันผวนเป็อย่างมาก พื้นดินทั้งหมดก็ล้วนเกิดความปั่นป่วน
เพียงไม่นานก็มีฝุ่นปลิวฟุ้ง เขม่าควันลอยออกมาคลายเกลียวคลื่น ฟุ้งกระจายอยู่เนิ่นนาน...
เศษไม้จากรถม้าลอยไปมา
ในเวลาเดียวกัน ไม่มีผู้ใดเห็นว่าในที่เกิดเหตุซึ่งมีควันเป็ลูกคลื่นทั้งยังมีฝุ่นคลุ้ง ได้มีเศษไม้สามชิ้นที่มีความยาวและขนาดเท่ากัน เศษไม้ที่เรียวยาวราวกับไม้ไผ่ ได้ลอยมุ่งตรงไปยังทิศทางของมู่อี๋เสวี่ยอย่างแม่นยำ
ม้าที่ใช้ลากรถดูเหมือนจะตื่นกลัวเป็อย่างมาก
ทันใดนั้นมันก็ยกกีบเท้าขึ้น ร้องออกมาดังสนั่น ปล่อยเสียงฮี้ออกมายาวๆ ในเวลาถัดมา ควบกีบเท้าทั้งสี่ของมันพร้อมกับลากเศษซากที่ถูกทำลายออกไป...
เมื่อม้าสีนิลดำและขาวทั้งสองตัวของรถม้าคันใหญ่ได้ยินเสียง พวกมันก็ทำเพียงถอยหลังหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ เพื่อหลีกเลี่ยงเศษไม้ที่พุ่งเข้าหาพวกมันอย่างชาญฉลาด
จากนั้นม้าสองตัวก็ยืนหยุดนิ่งอยู่กับที่อีกครั้ง ราวกับว่าเสียงดังนั้นไม่มีผลใดๆ กับพวกมัน
หากมีผู้ใดที่สามารถสังเกตเห็นภาพที่เกิดขึ้นในเวลานี้ได้ พวกเขาจะอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจเป็แน่
เพราะไม่ว่าม้าจะฉลาดหลักแหลมเพียงใด มันก็ยังเป็เพียงสัตว์ร้ายที่ไม่รู้จักคิด
และแม้ว่าพวกมันจะใกล้ชิดกับมนุษย์มากเพียงใด แต่ด้วยเสียงที่ดังเช่นนี้ มันเป็ไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะไม่มีการเคลื่อนไหวที่น่ากลัวแม้แต่น้อย
มันทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่ออย่างแท้จริง!
แต่...จู่ๆ ก็มีเสียงะเิที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ดังขึ้น ทั้งยังเป็สิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ใดคาดคิด มันจึงสายเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะดูแลตนเอง เช่นนี้แล้วจะมีเวลาไปสนใจผู้อื่นได้อย่างไร
ทุกคนใกับเสียงดัง หูของพวกเขาอื้ออึง ทุกคนใมากจนหน้าซีด ขาและเท้าของพวกเขาอ่อนแรง ทั้งหวาดกลัว หวาดระแวง และกระสับกระส่ายอยู่ในใจ
ยังมีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงอีกหลายเสียง และดูเหมือนว่าจะมีเสียงคร่ำครวญอย่างน่าสลดใจดังขึ้นมาอย่างแ่เบา...
แม้แต่มู่จื่อหลิงซึ่งนั่งอย่างสงบอยู่บนรถม้า ก็ยังใกับเสียงที่ดังถึงเพียงนี้ นางยกมือขึ้นปิดหูของตนโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังหดศีรษะเข้าไปในรถม้า
เกิดอะไรขึ้น รถม้าะเิ!!!
รถม้าคันเล็ก? ะเิ? จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็นึกถึงบางสิ่ง จึงยื่นศีรษะออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอีกครั้ง เพ่งสายตาไปยังตำแหน่งที่มีรถม้าจอดอยู่
รถม้าหายไปนานแล้ว ด้านนอกเหลือเพียงเศษไม้ อีกทั้งฝุ่นก็ยังตลบอบอวลไปทั่วท้องฟ้า
ตรงที่ตั้งที่เคยมีรถม้าจอดอยู่ในยามนี้มีเพียงหลงเซี่ยวเจ๋อผู้เดียวเท่านั้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นและสิ่งสกปรก ผมของเขาไม่เป็ทรง และเขาก็กำลังทรุดตัวลงกับพื้นอย่างตะลึงงัน
ใบหน้าของเขาแลดูงุนงง ดูเหมือนเขาจะใ ปากของเขาอ้ากว้าง ราวกับต้องมนตร์สะกด และยังอยู่ในอาการใ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูดวงตาที่เปิดกว้างของเขา ดูเหมือนว่าจะเป็เพราะทราย หางตาของเขาจึงเอ่อล้นด้วยของเหลวใส และเขาก็ไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นเพื่อเช็ดมันออก ดูเหมือนว่าจะไม่เป็ไร
เมื่อได้เห็นภาพตลกๆ นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้คนดูรู้สึกอยากจะหัวเราะ ในยามนี้มู่จื่อหลิงไม่ได้กังวลมากนักเกี่ยวกับหลงเซี่ยวเจ๋อเด็กผู้โชคร้ายผู้นั้น
เพียงแต่...แล้วหลงเซี่ยวอวี่เล่า?
มู่จื่อหลิงไม่สนใจผู้หญิงสองสามคนที่อยู่นอกรถม้า ซึ่งกำลังนั่งเบียดเสียดกันด้วยความหวาดกลัว...สายตากวาดมองไปรอบๆ อีกครั้ง
มู่จื่อหลิงคุกเข่าลงเล็กน้อย แล้วเอนกายออกไปนอกหน้าต่างรถม้า นางไม่เห็นหลงเซี่ยวอวี่ ทันใดนั้นนางก็เกิดความรู้สึกกังวลเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะร้องเรียกออกมา
ไม่ทราบว่าหลงเซี่ยวอวี่เข้ามาในรถม้าั้แ่เมื่อใด เขานั่งอยู่บนเบาะนุ่ม แล้วมองผู้หญิงตัวเล็กที่โผล่หัวออกไปด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานี้ นอกจากชายของชุดคลุมที่ถูกย้อมด้วยสีแดงของเหล้าผูเถาแล้ว ร่างกายที่เหลือของเขายังคงปราศจากฝุ่นผง ยังขาวราวกับหิมะ และทั่วทั้งร่างของเขายังคงเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันสูงส่งที่ไม่อาจต้านทานได้
เมื่อเทียบกับหลงเซี่ยวเจ๋อที่หน้ากลายเป็สีเทาอย่างน่าอับอายอยู่ข้างนอกนั้นแล้ว มันไม่อาจเปรียบเทียบได้เลยสักนิด!
รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าข้างกายในฝั่งที่อ่อนนุ่มของนางนั้นกำลังยุบลงลึก เสียงเรียกของมู่จื่อหลิงที่เพิ่งมาถึงริมฝีปากจึงย้อนกลับลงไปในทันที
นางดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง จึงรีบดึงศีรษะของตนเองกลับเข้ามาในรถม้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองคนที่อยู่ข้างกาย
มู่จื่อหลิงดูกังวลเล็กน้อย และก่อนที่นางจะมีเวลามองสำรวจเขา นางก็เอ่ยปากถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ท่าน...ท่านไม่เป็อะไรใช่ไหม? เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้น?”
หลงเซี่ยวอวี่เหยียดแขนเรียวยาวของตนมาโอบรอบตัวมู่จื่อหลิงดึงเข้ามาไว้ในอ้อมแขน เชยคางเรียวแหลมของนางขึ้นมา มองลงมาที่นางด้วยรอยยิ้ม “มู่มู่คนโง่เป็ห่วงเปิ่นหวางหรือ?”
ใบหน้าของมู่จื่อหลิงแดงระเรื่อ นางตระหนักได้ว่า่เวลาเมื่อครู่นี้ที่นางมองไม่เห็นหลงเซี่ยวอวี่ นางมีความกระวนกระวายใจและห่วงใยเขา...
เมื่อเผชิญหน้ากับหลงเซี่ยวอวี่ที่จ้องมองมาด้วยสายตารักใคร่ มู่จื่อหลิงจึงมองออกไปอีกทางอย่างเชื่องช้า
นางพึมพำเบาๆ “ใครเป็ห่วงท่านกัน? จู่ๆ ข้างนอกก็เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ถึงเพียงนั้น ข้าก็แค่สงสัยก็เพียงเท่านั้น”
หลงเซี่ยวอวี่หัวเราะเบาๆ เกาจมูกสวยของนางซึ่งยังคงมีเสียงกรนออกมาเบาๆ แล้วพูดช้าๆ ว่า “ปากแข็งอีกแล้ว ดูสิ เมื่อครู่นี้ไม่ใช่เพราะมองไม่เห็นเปิ่นหวางหรอกหรือ เ้าจึงร้อนรนถึงเพียงนั้น ยืดคอออกไปเสียยืดยาว ทั้งตัวแทบจะหลุดออกไปนอกหน้าต่างแล้ว”
มู่จื่อหลิงก็กระแอมไอในทันที
ยืดคอออกไปเสียยืดยาวอะไรกัน? นางแทบจะหลุดออกไปนอกหน้าต่างมันหมายความว่าอย่างไร? นางจะทำเื่โง่ๆ ทั้งสองอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?
แต่ด้วยความสัตย์จริง เมื่อครู่นี้มันไม่ใช่เพราะนางกังวลเกินไปหรือ ความรู้สึกแรกคือนางอยากดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น
นั่นเป็เหตุผลที่นางเลือกหน้าต่างรถม้าฝั่งที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุดโดยไม่รู้ตัว แล้วยืดตัวออกไปสำรวจ ไม่ได้ตั้งใจจะลงจากรถม้าเลย...
“เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น รถม้าที่ได้รับการตกแต่งอย่างดีจะะเิได้อย่างไร? มันน่ากลัวมาก!”
“อ๊าย...องค์หญิง องค์หญิง ท่านเป็อย่างไรบ้าง”
“ฮึก ฮือ...ฮือ ฮือ”
มีเสียงรบกวนดังมาจากภายนอก และเสียงร้องก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง...ในยามนี้ คนสองคนที่ซุกตัวโอบกอดกันอยู่ในรถม้าดูเหมือนจะปิดกั้นเสียงภายนอกไปแล้ว
แต่...เสียงเมื่อครู่ทรงพลังมากเพียงนั้นเชียวหรือ? จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็คิดได้ว่า รถม้าคันใหญ่นี้จะยังจอดนิ่งอยู่จุดเดิมได้อย่างไร มันควรวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนกไปแล้วไม่ใช่หรือ?
มู่จื่อหลิงละสายตาจ้องมองไปที่ประตูรถม้า มองดูม้าซึ่งไม่ธรรมดาทั้งสองตัวที่ยืนอยู่ข้างนอกตรงจุดเดิม
ม้าดำนิลและขาวทั้งสองตัวที่อยู่ข้างนอกยังคงสงบนิ่ง ยืนตรงนิ่งด้วยความสงบ ส่วนม้าตัวนั้นที่เคยอยู่ที่รถม้าคันเล็กได้วิ่งเตลิดหายไปนานแล้ว
ให้ตายสิ! นี่มันม้าอะไรกัน? มู่จื่อหลิงแอบใ
ทุกคนกลัวจนฉี่แทบราด แต่ม้าก็ยังสงบนิ่งและไม่ขยับเขยื้อน
แน่นอนว่าเ้านายเป็เช่นไรก็เลี้ยงสัตว์ออกมาเป็เช่นนั้น ม้าตัวนี้เป็ม้าที่ต้องมีไว้สำหรับออกไปข้างนอกอย่างแน่นอน!
ไม่ว่านางจะนึกอย่างไร ก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าทั้งหมดนี้ถูกใครบางคนคำนวณไว้ก่อนแล้ว? มู่จื่อหลิงงงงวยเป็อย่างมาก
มู่จื่อหลิงดึงฝ่ามือใหญ่อันแสนจะอบอุ่นที่ยังคงบีบแก้มของนางออก กะพริบตาที่เป็ประกาย มองไปยังหลงเซี่ยวอวี่อย่างสับสน “เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น รถม้าจะแตกเป็เสี่ยงๆ ได้อย่างไรในเมื่อมันยังดีอยู่?”
ยามที่รถม้าแตกออกเป็เสี่ยงๆ ก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ปมของปัญหาคือ...รถม้าทำจากไม้ทั้งหมด แล้วมันส่งเสียงดังได้อย่างไร?
เสียงสั่นะเืและฝุ่นตลบราวกับะเิขนาดใหญ่ มันน่าใและน่าสะพรึงกลัวเกินไป!
หลงเซี่ยวอวี่ออกแรงเชยคางของมู่จื่อหลิงขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเม้มริมฝีปากเบาๆ จ้องมองนางด้วยรอยยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง
เวลาดูเหมือนจะหยุดลงชั่วขณะหนึ่ง
แสงอาทิตย์แสนอบอุ่นสีทองส่องกระทบใบหน้าอันหล่อเหลาผ่านม่านหยก ราวกับเงาที่ส่องประกายระยิบระยับ ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาและเรียบเนียนของเขาเต็มไปด้วยแสงที่งดงามและนุ่มนวล มันช่างอบอุ่นและมีเสน่ห์
ในสถานการณ์เช่นนี้ มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงบทกวีบทหนึ่ง คนงามเปรียบดั่งดอกไม้ท่ามกลางหมู่เมฆ เบื้องบนมีท้องฟ้าสีครามทอดยาวไร้ขอบเขต [2]
เมื่อได้มอง หัวใจของมู่จื่อหลิงก็เต้นไม่เป็จังหวะ นางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะคำรามอย่างแรง แล้วปัดมือใหญ่ที่จับคางนางออก
นางไอเบาๆ และผลักหน้าอกที่แข็งแกร่งของเขาออกด้วยความโกรธ “มีอะไรน่ามองกัน บอกมาเร็ว เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?”
“อาจเป็เพราะรถม้าเล็กเกินไป และมันก็เกิดะเิออกโดยไม่ได้ตั้งใจ” หลงเซี่ยวอวี่พูดเบาๆ ด้วยรอยยิ้มสบายๆ ที่มุมปาก
รถม้าเล็กเกินไป จนเกิดะเิโดยไม่ได้ตั้งใจหมายความว่าอย่างไร?
ทันใดนั้นเส้นสีดำสามเส้นก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของมู่จื่อหลิง
แม้ว่ารถม้าของนางจะไม่สำคัญเมื่อเทียบกับรถม้าใหญ่คันนี้ แต่ก็ไม่แออัดเกินไปที่จะรองรับคนได้มากถึงสามหรือสี่คนไม่ใช่หรือ?
แม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนวรยุทธ์ภายในนั้น แต่ก็ไม่ได้เกิดการต่อสู้ขึ้น มันจะะเิด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?
มู่จื่อหลิงหรี่ตาลง มองไปที่หลงเซี่ยวอวี่อย่างสงสัย เหตุใดนางถึงรู้สึกว่ามันไม่เรียบง่ายเช่นนั้น?
คนที่อยู่ด้านข้างััแก้มสีชมพูและอ่อนนุ่มของมู่จื่อหลิงด้วยฝ่ามืออุ่นขนาดใหญ่ของตน ใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆ ราวกับกำลังลูบสิ่งล้ำค่า ก่อนจะถามว่า “หือ? มู่มู่คนโง่ของเปิ่นหวาง เมื่อครู่ที่ถูกข่มขู่เ้าหวาดกลัวหรือไม่?”
การจ้องมองของเขาลึกล้ำและทำให้มึนเมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนสุดจะพรรณนา เสียงของเขาต่ำและมีเสน่ห์ คำพูดที่นุ่มนวลและอบอุ่นของเขาสามารถพุ่งตรงไปถึงหัวใจที่อ่อนนุ่มของคนได้
นี่เป็การห่วงใยผู้อื่น หรือเป็การยั่วยวนใจคนกันแน่?
จู่ๆ มู่จื่อหลิงรู้สึกว่าการพูดคุยกับชายเ้าเล่ห์ผู้นี้เป็อันตราย ดังนั้นนางจึงตบมือใหญ่ที่กำลังลูบแก้มของนางอย่างโกรธเคือง
“มันก็แค่ะเิ ไม่มีอะไรต้องกลัว” มู่จื่อหลิงพูดออกมาอย่างหยิ่งยโส แสร้งทำเป็สงบ เอนศีรษะลงแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า
ดวงตาคู่งามของหลงเซี่ยวอวี่ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน มันทั้งสดใสและเป็ประกาย จับจ้องอยู่ที่มู่จื่อหลิงอย่างลึกซึ้งและทรงเสน่ห์ มีส่วนโค้งตื้นๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
ท่าทางดื้อรั้นและเขินอายของหญิงโง่ผู้นี้ช่างหาได้ยากจริงๆ!
ในยามนี้ อาจกล่าวได้ว่าภายนอกได้เกิดเื่โกลาหลขึ้นแล้ว ทำให้ดูเหมือนสถานที่ที่เกิดการะเิจริงๆ
ไม่ไกลจากด้านนอก ทหารยามทั้งสองแถวที่คอยเฝ้าประตูวังหลวงยังคงนั่งยองๆ ตัวสั่นด้วยความกลัว มือกุมหัวของตนไว้แน่น แสดงท่าทางป้องกันตนเต็มที่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่เกิดเสียงดังมากเพียงใด
อีกด้านหนึ่งหลงเซี่ยวเจ๋อยังคงนั่งลงบนพื้นโดยไม่เหลือภาพลักษณ์ใดๆ ลูบหน้าอกของตนด้วยความกลัว ปากยังคงพร่ำเพ้ออยู่ตลอดเวลา
“โอ๊ย ใหมดเลย ใหมด...”
หลงเซี่ยวเจ๋อ ซึ่งค่อยๆ กลับสู่สภาพปกติของตน ค่อยๆ นึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
ในตอนแรกพี่สามของเขาอยู่ในรถม้าเพื่อช่วยเขาไล่ลมออกจากร่างกาย ในขณะที่หญิงที่น่ารังเกียจที่อยู่ข้างนอกเอาแต่ร้องะโและดูถูกพี่สะใภ้สามของเขา พวกเขาล้วนได้ยินมันอย่างชัดเจนจากข้างในนี้
แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะไม่ได้จริงจังกับมัน แต่เมื่อหลงเซี่ยวเจ๋อได้ยินใครบางคนด่าว่าพี่สะใภ้สามของตน ความโกรธในใจของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่ลดละ
หากไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สามารถหยุดใน่เวลาวิกฤตินี้ได้ เขาคงวิ่งออกไปฉีกปากของหญิงที่น่ารังเกียจผู้นั้นไปนานแล้ว
์รู้ดี ในที่สุดเขาก็จดจ่ออยู่กับการฝึกจนเสร็จสิ้น เขากำลังเตรียมที่จะเก็บเกี่ยวผลตอบแทนอย่างใจเย็น ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าหลงเซี่ยวอวี่ผู้ซึ่งคอยช่วยเขาอยู่ด้านหลัง จู่ๆ ก็รวมกระแสพลังอันแข็งแกร่งไว้ในมือทั้งสอง
ก่อนที่หลงเซี่ยวเจ๋อจะตอบสนอง ก็เกิดเสียงโครมครามดัง ‘ปัง’ จากนั้นรถม้าก็ะเิออกด้วยกระแสพลังนั้นในทันที
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ไม้พะยูงหอม (黄梨花木) ถือว่าเป็ไม้จักรพรรดิในอดีตของประวัติศาสตร์จีน เป็ไม้ที่มีเนื้อไม้ละเอียดเหนียว มีความแข็งแรงทนทาน และชักเงาได้ดี จึงนิยมนำมาใช้ในการทำเครื่องเรือน เครื่องใช้ ทำสิ่งประดิษฐ์ งานแกะสลัก ไม้ถือและด้ามเครื่องมือ
[2] คนงามเปรียบดั่งดอกไม้ท่ามกลางหมู่เมฆ เบื้องบนมีท้องฟ้าสีครามทอดยาวไร้ขอบเขต (美人如花隔云端,上有青冥之高天) เป็ท่อนหนึ่งของบทกวี 《长相思》โดยท่อนนี้เป็การพรรณนาถึงความงามที่งดงามมากที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้