เสียงครวญครางสะอื้นอ่อนหวานราวกับกำลังอดกลั้นและลุ่มหลงได้หวีดร้องดังขึ้นทุกขณะ
คลอเคล้ากับเสียงหอบหายใจหนักหน่วงของบุรุษ เยี่ยนเจาเจาไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนเองกับหนานิเหอจะเข้ามาขัดฉากรักของคนอื่น
เยี่ยนเจาเจารู้เพียงว่าตนเองกำลังหน้าแดง อีกทั้งซอกหินระหว่างูเาจำลองนี้ก็เล็กแคบ พวกเขาจึงได้แต่เบียดตัวแน่นจนแทบหายใจไม่ออกเพื่อป้องกันไม่ให้โดนเห็นเข้า
ชาติก่อนตอนที่นางละทิ้งฐานะของตนเพื่อไปอยู่กับเหลียงอิน ในขณะที่ชีวิตระหกระเหินข้นแค้นถึงขีดสุด ข้างบ้านนางตอนนั้นก็คือถนนเหยาย่านเก่าที่ทรุดโทรมที่สุดในเมืองเซียงเฉิง
แม้นเหลียงอินจะไม่เคยแตะต้องนางแม้แต่ปลายนิ้ว ทว่าเยี่ยนเจาเจาที่ได้เห็นเื่ราวระคายตามากมายจากถนนเหยาข้างบ้าน ย่อมรู้ว่ายามนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกเพียงว่าช่างกำเริบเสิบสานนัก
เห็นชัดว่าไม่ควรเกิดเื่เยี่ยงนี้ขึ้นในวังของท่านป้า อีกทั้งตอนนี้ท่านป้ายังจัดการกิจธุระในตำหนักฉางหยางอยู่เลย ถ้าอย่างนั้นนกยวนยางป่า[1] ที่ลอบพลอดรักกันขณะนี้ เกรงว่าคงไม่ได้มีฐานะชอบธรรมอะไร
ที่แห่งนี้น่าจะใกล้กับเขตของตำหนักเย็น สมัยอดีตฮ่องเต้ไม่มีนางสนมในวังหลัง ตำหนักเย็นจึงไม่ได้ใช้งาน ใยมีคนมากระทำเื่ไร้ยางอายที่นี่ได้?
เยี่ยนเจาเจาพลันโกรธทันที
เมื่อนึกได้ว่านางเป็สาวแก่ที่กลับมามีชีวิตใหม่ แต่หนานิเหอยังเป็เด็กหนุ่มวัยเยาว์ที่วันๆ นอกจากอ่านตำราก็เงียบสงบ หญิงรับใช้ยุ่มย่ามข้างกายยังไม่มีสักคน เยี่ยนเจาเจาเลยรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งที่เขาต้องมาได้ยินเื่สกปรกเช่นนี้
นางพยายามดันตัวเองขึ้นจากอ้อมแขนของหนานิเหอ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดหูเขาอย่างสุดแรง
หนานิเหอคาดไม่ถึงว่านางจะลุกขึ้นมาเพียงเพื่อ้าปิดหูของตน สีหน้าตึงเครียดจึงอดยกยิ้มไม่ได้
ทว่าสีหน้าอึดอัดและรังเกียจของแม่หนูน้อยที่ปรากฏเมื่อสักครู่นั้น แม้นเพียงแวบเดียวแต่เขากลับเห็นพอดี
เมื่อรู้สึกได้ว่าเยี่ยนเจาเจาไม่พอใจ ั์ตาของหนานิเหอจึงดำมืดยิ่งกว่าเดิม
เขาหลุบตาซ่อนแววเยาะเย้ยในดวงตาของตน มือหนึ่งแทบจะกอดเยี่ยนเจาเจาที่กำลังใช้แรงเกือบทั้งตัวมาปิดหูให้เขา ส่วนมืออีกข้างก็หยิบก้อนฝ้ายจากที่ไหนไม่รู้ออกมาอุดหูของเยี่ยนเจาเจาเหมือนกัน
เมื่อฝ้ายเข้าหูก็ได้ยินเสียงวุ่นวายข้างนอกไม่ชัดเจนอีกต่อไป แต่กลับมีเสียงหัวใจที่เต้นระรัวเล็กน้อยของตนดังขึ้นมาแทน
เยี่ยนเจาเจาตกตะลึง
หนานิเหอเองก็กังวลว่าเยี่ยนเจาเจาจะได้ยินเสียงแปดเปื้อนหูพวกนี้ ถึงได้ตั้งใจปิดหูให้นาง
เบ้าตานางพลันแดงก่ำขึ้นมา พี่ชายที่คิดเผื่อนางทุกเื่คนนี้ ในชาติก่อนกลับต้องหายไปเช่นนั้น
เยี่ยนเจาเจาถูกหนานิเหอกดไว้ในอ้อมแขนเขา อีกทั้งในหูยังมีก้อนฝ้ายอยู่ด้วย จึงได้ยินเสียงรบกวนจากข้างนอกเพียงรางๆ
นางไม่ได้เงยหน้าเลยไม่เห็นแววถากถางเ็าที่เล็ดลอดออกมาจากั์ตาหนานิเหอ ทั้งยังไม่ทันสังเกตว่าปลายนิ้วของเขาขยับเล็กน้อย
ไม่นานเยี่ยนเจาเจาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแสบหูดังมาจากข้างนอก เสียงสตรีที่ก่อนหน้านี้ยังหวานหยาดเยิ้ม บัดนี้มีแต่ความหวาดกลัวราวกับเจอผี
เยี่ยนเจาเจาได้ยินคำว่า “งู” ดังแว่วมาเบาๆ ตามด้วยเสียงร้องลั่นและเสียงทุบตีสับสนวุ่นวาย ก่อนที่ทุกสรรพเสียงจะเงียบหายไปในที่สุด
ครู่ต่อมาหนานิเหอจึงอุ้มเยี่ยนเจาเจาออกมาจากูเาจำลอง ลานเล็กที่เคยก้องไปด้วยเสียงครวญคราง ยามนี้มีเพียงประตูที่เปิดอ้ากว้างบ่งบอกว่าเ้าของเสียงน่าจะออกไปแล้ว
หนานิเหอเขียนอักษรบนฝ่ามือของเยี่ยนเจาเจาเพื่อบอกให้นางปิดตา คงกลัวนางจะเห็นอะไรเข้าจนเป็ตากุ้งยิง
แต่เยี่ยนเจาเจาได้เหลือบไปเห็นเห็นสิ่งของเล็กๆ แวววาวชิ้นหนึ่งในพงหญ้าข้างๆ จึงตบมือบอกใบ้หนานิเหอเป็นัยว่านางอยากไปเก็บ
ทว่าหนานิเหอกลับบังคับให้เยี่ยนเจาเจายืนอยู่ห่างๆ แล้วเขาก็เป็คนควักผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อเพื่อหยิบสิ่งที่ตกในพงหญ้าออกมาเอง
มันเป็หยกพกคุณภาพเยี่ยมที่แสดงให้เห็นถึงความเป็คนใหญ่คนโตของผู้เป็เ้าของ
เดิมทีเยี่ยนเจาเจาคิดว่านกยวนยางป่าเมื่อครู่คงเป็คู่รักนางกำนัลกับขันทีที่เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย แต่พอเห็นของสิ่งนี้ก็เกรงว่าเื่ราวคงสกปรกว่าที่นางคิดเสียแล้ว
หยกพกนี้ยังเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจากเ้าของ และเชือกสีแดงสำหรับห้อยก็มีรอยขาด
แม้เยี่ยนเจาเจาจะไม่เคยเห็นหยกพกอันนี้มาก่อน ทว่าก็ไม่ได้สนใจมันนัก แค่รู้สึกขยะแขยงอย่างยิ่งเท่านั้น
ทันใดนั้นภาพเนื้อแนบเนื้อขาวๆ พลันปรากฏขึ้นในสายตานางจนท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมา นางรู้สึกคลื่นไส้ไม่หยุดจึงจับมือหนานิเหอไว้แน่น
ใบหน้าเท่าหนึ่งกอบมือของนางซีดเผือดราวกับได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
หนานิเหอกำหยกพกในมือแน่น ขณะที่ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดแม้แต่น้อย
เขาลูบหลังปลอบนางอย่างอ่อนโยน ทว่าั์ตากลับเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
หนานิเหอไม่ได้สนใจว่าเหตุใดเด็กอายุน้อยอย่างเจาเจาถึงรู้ว่าสองคนนั้นกำลังทำเื่ต่ำช้าอะไรกันอยู่
นางถูกเลี้ยงดูมาอย่างสูงส่ง อีกทั้งครอบครัวของนางยังอบรมสั่งสอนเข้มงวด นางย่อมไม่ทราบเื่น่ารังเกียจนี้ด้วยตนเอง เขาจึงสรุปว่าต้นเหตุมาจากจวนเยี่ยน
นั่นสินะ บ้านสามจวนเยี่ยนเป็สถานที่สกปรกอยู่แล้ว กระทั่งองค์หญิงยังเคยบอกว่าแม้แต่สิงโตหินในบ้านสามก็ยังแปดเปื้อน หากเจาเจาเสียคนเพราะบ้านสามก็พอเข้าใจได้
เพียงแต่เขาทนไม่ได้ที่มีคนมาทำให้เด็กน่ารักบอบบางอย่างเจาเจาต้องเสียหาย โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงสภาพยุ่งเหยิงวุ่นวายของบ้านสามและใบหน้าปู่ในนามของเขา สีหน้าของหนานิเหอก็เ็ายิ่งกว่าเดิม
แม้ว่าเยี่ยนเจาเจาจะไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้านี้ของหนานิเหอ ทว่ากลับเป็เื่ปกติที่นางจะไม่เห็น เพราะใบหน้าพี่ชายรองของนางเพียงเหยเกเล็กน้อยเท่านั้น มุมปากของเขาเม้มแน่นจางๆ ราวกับขยะแขยงสิ่งสกปรกทั้งสอง จนอึดอัดไปทั้งตัว
เยี่ยนเจาเจาไม่อยากมีเอี่ยวในเหตุการณ์นี้ และนางก็ไม่ใช่คนชอบยุ่งเื่ชาวบ้าน อีกทั้งยังรู้สึกว่าชีวิตตนมีค่าเกินกว่าจะเอามาทิ้งเพราะความรังเกียจอยู่ในสถานที่เช่นวังหลวงแห่งนี้
นอกจากนี้ ชายหนุ่มผู้บริสุทธิ์สูงส่งอย่างหนานิเหอต้องมาโดนล่วงเกินเข้า ไม่รู้ว่าจิตใจจะเป็อย่างไรบ้าง
ประจวบเหมาะกับที่เยี่ยนเจาเจาเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ตนเองกำลังอยู่ในวัยที่ไม่ควรเข้าใจเื่จำพวกนี้
คงไม่โดนพี่ชายรองจับได้หรอกนะ?
เจาเจากระวนกระวายใจ แต่หนานิเหอไม่ได้แสดงความระแวงใดๆ ต่อเื่นี้ ทั้งยังปลอบโยนนางตลอดเวลา นางเลยโล่งใจขึ้น
ดังนั้นหลังจากตั้งสติได้ นางจึงบอกให้หนานิเหอโยนหยกพกนั่นทิ้งไป เมื่อเขามองนางด้วยความสงสัย นางก็แสร้งทำท่าขนลุกแล้วเอ่ยอย่างคลุมเครือ “มันน่าขยะแขยง ไม่อยากเห็นเ้าค่ะ”
หนานิเหอครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยัดผ้าเช็ดหน้าในมือตนเข้าไปในหินูเาจำลองที่ทั้งสองเพิ่งซ่อนตัว
“โธ่ คุณหนู ให้นู๋ไฉหาตั้งนาน ฝ่าากริ้วใหญ่แล้ว ท่านรีบไปดูเร็วขอรับ!”
ซวงฝูเดินมาถึงพอดี เมื่อนางได้ยินว่าท่านป้าโกรธจัด เลยกังวลว่าท่านจะโมโหจนร่างกายาเ็ เพราะระหว่างเยี่ยนเจาเจากับท่านป้าผู้นี้มีความจริงใจให้กันอยู่มาก นางจึงรีบลากหนานิเหอเดินออกไปทันที
เชิงอรรถ
[1] นกยวนยางป่า หมายถึง คู่รักที่ไม่ได้แต่งงานกันอย่างเป็ทางการ