บทที่ 180 ศัตรูที่แข็งแกร่ง!
“เ้าเดรัจฉาน! เ้าทำสยงเอ๋อร์พิการจริงๆ หรือ?! เ้าตายแน่!”
“สยงเอ๋อร์แพ้แล้ว เ้าก็รู้ว่าเขาาเ็สาหัส รู้ว่าเขาไม่อาจต่อกรได้อีก แต่ก็ยังลงมือรุนแรงขนาดนั้น!”
“เ้าตั้งใจ ไอ้สารเลว! ไอ้ลูกสุนัขสารเลว!”
ผู้าุโและผู้คุ้มกันทุกคนของตระกูลตงฟางต่างรู้สึกขุ่นเคือง สบถก่นด่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง! ทั้งหมดรีบขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับดาบที่แวววาวและพลังอันดุเดือด สาบานว่าจะฆ่าเสวี่ยหานเฟยให้ได้
พวกเขาทนไม่ไหวจริงๆ เมื่อเห็นตงฟางสยงต้องพิการกับตา ้าล้างแค้นให้เขา!
“ควับ!”
ทันใดนั้น ไอสังหารก็พุ่งสูงขึ้นบนเวที แสงเย็นวาบวับ ก่อนที่เสวี่ยหานเฟยจะถูกรายล้อมเอาไว้ เขากำลังจะถูกฉีกเป็ชิ้นๆ ด้วยคลื่นพลังจำนวนมหาศาล นี่คือการโจมตีจากขั้นมหาสมุทรระดับสูง หรือถึงกระทั่งขั้นพื้นพิภพ
แต่เมื่อเผชิญกับการปิดล้อมอย่างกะทันหันนี้ คุณชายชุยเสวี่ยกลับไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด เขายืนนิ่ง และโบกพัดขนนกเบาๆ แสร้งทำว่าเป็ผู้บริสุทธิ์
รอยยิ้มที่โเี้และน่ากลัวฉายชัดที่มุมปากของเขา
“ปัง ปัง ปัง——”
ฉับพลัน!
ตอนที่ท้องฟ้ากำลังจะะเิ
ตรงกลางเวที มีแถบขนนกสีฟ้าลอยออกมา ดูเป็ระเบียบ พริ้วไหว ชวนฝัน และล่องลอย
ใน่เวลาวิกฤติ ขนนกสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพัดพาลมกระโชกแรงมา พาเสวี่ยหานเฟยลอยไปในอากาศ หนีการโจมตีที่น่ากลัวเ่าั้ได้สำเร็จ และหลบหนีออกจากวงล้อม
จากนั้น แสงดาบก็ตวัดเฉือนลงมา มันคมมาก ตัดผ่านความว่างเปล่า ก่อนที่จะโชยกลิ่นเืมาแตะจมูก ตงฟางเยี่ยนและคนอื่นๆ ตกตะลึง พวกเขาถอยกลับและแบ่งฟากสนามรบทันที
“โฮก!!!”
ทันทีที่แสงดาบตวัดลงมา ก็มีเสียงคำรามของัาอีกครั้ง ทำให้ผู้คนที่อ่อนแอหวาดกลัวจนตัวสั่น
ด้วยเสียง “ปัง ปัง” เพียงไม่กี่ครั้ง แสงหมัดัคำรามกว่ายี่สิบครั้งก็ปรากฏขึ้นบนเวที มันทรงพลังและน่าอัศจรรย์ กระแทกโดนสมาชิกทุกคนของตระกูลตงฟางในทันที ทำให้พวกเขาล้มลงจากเวทีและกระอักเื!
“ตั่ก-ตั่ก-ตั่ก-”
ในขณะที่ทุกคนตกตะลึง มีร่างสามร่างลอยขึ้นไปบนเวที พวกเขาล้วนเป็นักรบที่ทรงพลัง มีรัศมีอันแข็งแกร่งเปล่งออกมาจากร่างกาย ดูสง่างามและน่าสะพรึงกลัว
คนทั้งสามนี้หนึ่งเป็หญิงวัยกลางคนและอีกสองเป็ชายร่างใหญ่ที่มีรัศมีน่าเกรงขาม เห็นได้ชัดว่ามีสถานะที่ไม่ธรรมดา หลังจากที่เสวี่ยหานเฟยถูกส่งกลับไปที่พื้นด้วยขนนกสีฟ้า พวกเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขา คอยกันไม่ให้ใครเข้าใกล้แม้แต่ชุ่นเดียว
“แข็งแกร่งมาก!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าฉู่อวิ๋นก็ตกตะลึง สามคนนี้ที่เพิ่งมาถึง ย่อมไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับผู้าุโของตระกูลตงฟางแน่!
ในขณะเดียวกัน หลิงจื้อก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “ผู้มีพระคุณ ทั้งสามคนนี้เป็เ้าสำนักชางอวี่ซวน เขาหลงหยา และเผ่าาเื พวกเขาเป็ผู้แข็งแกร่งในขั้นพื้นพิภพ และเป็พันธมิตรกับตระกูลเสวี่ย”
“เมื่อครู่นี้ตอนที่เสวี่ยหานเฟยตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจึงออกมาช่วย”
ฉู่อวิ๋นกัดฟันและพูดอย่างเ็า “หึ! มีงูหนูอยู่เต็มรัง[1] เสวี่ยหานเฟยร้ายกาจเช่นนั้น คนพวกนี้ก็คงไม่ใช่คนดีอะไร”
“คนดีหรือไม่ข้าไม่อาจรู้ได้ แต่กองกำลังทั้งสามนี้เป็เพียงส่วนเล็กๆ ของพันธมิตรตระกูลเสวี่ย และมีลูกศิษย์ลูกหาของพวกเขาอีกหลายคน” หลิงจื้อถอนหายใจอย่างช่วยอะไรไม่ได้
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของฉู่อวิ๋นก็มืดมน ปรมาจารย์ทั้งสามของพันธมิตรตระกูลเสวี่ยปรามผู้าุโหลายคนของตระกูลตงฟางได้เสียอยู่หมัด
เห็นได้ว่า การที่ฉู่เจิ้นหนานเลือกที่จะแต่งงานกับจวนตระกูลเสวี่ย ไม่ใช่แค่ข้อตกลงง่ายๆ เื้ัเท่านั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมืองชุยเสวี่ยเป็ฐานของจวนตระกูลเสวี่ย ดังที่เรียกว่าัแกร่งไม่อาจปราบงูถิ่น[2] ไม่ว่าตระกูลตงฟางจะมากอำนาจเพียงใด แต่ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของพวกเขา
ผู้แข็งแกร่งของตระกูลตงฟางล้วนอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษของพวกเขาเอง กองกำลังพันธมิตรก็แทบจะไม่มี พวกเขาจะรับมือได้อย่างไร?
“ท่านเ้าสำนักทั้งสอง ผู้นำตระกูลท่านนี้ ตระกูลตงฟางไร้แค้นไร้คุณกับพวกท่าน เหตุใดจึงต้องเข้ามาขัดขวาง?!”
ตงฟางเยี่ยนกระอักเืและล้มลงกับพื้น โดยอุ้มตงฟางสยงไว้ในอ้อมแขนตัวเอง โกรธแค้นยิ่งนัก
“ทำไมถึงขัดขวาง? เชอะ คนในตระกูลเ้าผิดคำพูดก่อน ไม่เพียงแต่ไม่ยอมก้มหัวรับความผิดเท่านั้น แต่ยังคิดลอบโจมตีเสวี่ยหานเฟยอีกด้วย น่าละอายยิ่งนัก เ้ายังมาถามอีกว่าทำไมถึงขัดขวาง? น่าหัวร่อ”
เหยียนโจว ผู้นำแห่งเขาหลงหยาพูดประชด เขาสวมชุดเกราะและยกมือขึ้นกอดอก มีลายสลักรูปัคู่หนึ่งอยู่บนหมัดของเขา มันส่องแสงเย็นวาบ
“หึๆ ไร้ยางอายเช่นนี้ ไม่แปลกใจที่จะเลี้ยงดูลูกหลานออกมาได้น่ารังเกียจแบบนี้ ในฐานะพยานของการต่อสู้ครั้งนี้ เราไม่คิดถามหาความรับผิดชอบของตงฟางสยงก่อนก็ดีถมไปแล้ว แต่เ้ากลับเป็คนชั่วฟ้องศาลก่อน?”
เ้าสำนักหญิงแห่งชางอวี่ซวนรับคำมาพูดต่อ นางมีรูปลักษณ์ที่น่ากลัว คำพูดเฉียบคม นามว่าจินหลิง
เมื่อครู่ นางคือคนที่ใช้วังวนขนนกสีฟ้าพัดพาเสวี่ยหานเฟยลอยออกไปและช่วยให้เขาหลบหนี
หลังจากได้ยินคำโต้แย้งของทั้งคู่ ตงฟางเยี่ยนก็โกรธทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก เพราะตงฟางสยงผิดจริง แต่ไม่ยอมรับผิด ซ้ำยังลอบโจมตีอีก พฤติกรรมเช่นนี้ ไร้เกียรติเป็ที่สุด
ในความเป็จริง ผู้าุโของตระกูลตงฟางได้ตกลงกันก่อนหน้าแล้ว พวกเขาเชื่อว่าตงฟางสยงจะเอาชนะได้ แต่ไม่คิดว่าเสวี่ยหานเฟยนั้นจะเหนือกว่า ทั้งยังใช้กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำลายตงฟางสยง
ในขณะนี้ เหล่าชายชราต่างก็โกรธจัด ผู้คุ้มกันของตระกูลตงฟางต่างก็ตัวสั่นด้วยความโมโห รู้สึกว่าตัวเองได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่
“ออกไปจากจัตุรัสเสีย หรือยังอยากอยู่ให้ขายหน้าที่นี่อีก? พวกเราไม่ฆ่าพวกเ้า ก็บุญแล้ว”
อวี่เหวินจื้อ ผู้นำเผ่าาเืพูด โดยแบกดาบเปื้อนเืไว้บนหลัง เขาเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ และเป็คนที่จัดการกับตงฟางเยี่ยนและคนอื่นๆ เป็คนสุดท้าย
“ไปสิ! แพ้แล้วพาลหรือ? แอบโจมตีคุณชายเสวี่ยหรือ? ไร้มนุษยธรรมเสียจริง”
“ชายชราไร้ยางอายรังแกเด็ก เด็กร้ายกาจลอบโจมตี ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของพวกเ้า ออกไป!”
“อ๊ะ ก่อนหน้านี้ตระกูลตงฟางพูดว่าฉู่เจิ้นหนานสัญญาว่าจะยกคนงามให้แต่งงาน ดูท่าแล้วไร้สาระทั้งเพ ใครกันแน่ที่มีปัญหา”
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงะโสาปแช่งก็ค่อยๆ ดังขึ้นในจัตุรัสของศาลเ้า เกือบทุกคนต่างก็ชี้นิ้วไปที่ตระกูลตงฟาง คำพูดที่ไม่น่ายินดีเ่าั้ทำให้ตงฟางเยี่ยนและคนอื่นๆ โกรธจัดจนกระอักเื
ในที่สุด ตงฟางเยี่ยนก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและคำราม เขาทำได้เพียงะโเสียงดังภายใต้คำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน “คนตระกูลเสวี่ย ระวังตัวไว้เถอะ! ทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ ตระกูลตงฟางจะจดจำไว้!"
พูดจบ ตงฟางเยี่ยนก็ประคองตงฟางสยงขึ้น และพาสมาชิกตระกูลตงฟางทั้งหมดหันหลังกลับ เตรียมที่จะจากไป
และการเคลื่อนไหวนี้กระตุ้นคำสาปแช่งของผู้ชมทันที พร้อมๆ กับการขว้างเปลือกกล้วยและไข่เน่า
“ทำไมถึงเป็แบบนี้ล่ะ? คุณชายตงฟางอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชพอแล้ว หยุดด่าเขาเถอะ”
แต่เสวี่ยหานเฟยกลับพยายามหยุดพวกเขา โดยแกล้งชักชวนให้ตระกูลตงฟางอยู่ต่อ ทำให้หลายคนชื่นชมเขายิ่งขึ้น
ทุกคนรู้สึกว่าชายหนุ่มรูปงามคนนี้ ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่เขายังคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นอีกด้วย น่ายกย่องจริงๆ
และแม้ตระกูลตงฟางจะจากไปแล้ว เสวี่ยหานเฟยก็ยังคงเสแสร้งและโทษตัวเอง “เฮ้อ ไม่คิดเลยว่าความผิดพลาดที่ข้าไม่ตั้งใจจะทำให้เกิดเื่น่าเศร้าเช่นนี้”
“คุณชายตงฟางผู้น่าสงสาร ข้าไม่ได้ตั้งใจ! เฮ้อ เพราะต้องปกป้องตัวเองผนวกกับความใ ข้าเลยลงมือหนักไปหน่อย ไม่คิดว่าจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ เป็ความผิดของข้าเอง~”
เสวี่ยหานเฟยถอนหายใจและส่ายหัว ทำให้ทุกคนรู้สึกลำบากใจอีกครั้งและปลอบใจเขา
แต่ฉู่อวิ๋นกลับโกรธจัดและกัดฟัน หวังว่าเขาจะสามารถฉีกทึ้งเสวี่ยหานเฟยด้วยมือตัวเองได้
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประทับใจอะไรกับตระกูลตงฟาง แต่พฤติกรรมของเสวี่ยหานเฟยนั้นน่ารังเกียจและน่ากลัวมาก
“แมวร้องหนูแสร้งเห็นใจ[3] ผู้ชายคนนี้มันต่ำช้าจริงๆ!” ฉู่อวิ๋นสบถ กำหมัดแน่น เกลียดเสวี่ยหานเฟยมากขึ้นๆ และิญญายุทธ์ของเขาก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
และในขณะที่เสวี่ยหานเฟยยังคงพูดคุยกับผู้แข็งแกร่งทั้งสามนั้น ฉู่อวิ๋นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป อยากจะขึ้นเวทีไปสู้ใจจะขาด!
“ผู้มีพระคุณ ท่านอย่าบุ่มบ่ามเชียวนะ!”
แต่หลิงจื้อหลับกดไหล่เขาเอาไว้เพื่อให้เขานั่งลงและเตือน “เสวี่ยหานเฟยผู้นี้โดดเด่นทั้งในด้านการวางแผนและความแข็งแกร่ง ผู้มีพระคุณ ในตอนนี้ท่านยังไม่อาจเอาชนะเขาได้ ใจเย็นๆ ก่อน”
“ท่านผู้เฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ฉู่อวิ๋นกัดฟันและเริ่มมีน้ำโห “ข้าตกลงเข้าร่วมการประลองครั้งนี้แล้ว จะให้ถอยกลับตอนนี้หรือ? ไม่มีทาง!”
เพื่อช่วยฉู่ซินเหยาแล้ว ฉู่อวิ๋นต้องผ่านความยากลำบากทุกรูปแบบก่อนจะมาถึงที่นี่ ตอนนี้ ตราบใดที่เขาเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ ขอแค่เขามีโอกาสช่วยนาง เขาก็จะไม่มีวันยอมแพ้
ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิต แต่เขาก็พร้อมจะลองดู การประลองยุทธ์แบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หลิงจื้อขมวดคิ้ว หายใจเข้าแล้วกระซิบ “ผู้มีพระคุณ ท่านฟังข้านะ”
“เมื่อครู่นี้ข้าสังเกตการประลองอยู่ตลอด และพบว่าแม้ว่าเสวี่ยหานเายจะไม่ปล่อยความแข็งแกร่งอันทรงพลังออกมา แต่ข้าก็จับสังเกตได้ตอนที่เขาใช้ม่านน้ำแข็ง…”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ หลิงจื้อหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “เกรงว่าความแข็งแกร่งของเสวี่ยหานเฟยนั้นจะไม่ธรรมดาเหมือนระดับหกของขั้นมหาสมุทร! เมื่อคิดดูดีๆ เขาน่าจะเข้าสู่ขั้นปราณมหาสมุทรแล้ว และเป็นักรบขั้นมหาสมุทรระดับสูง!”
“อะไรนะ?! ทรงพลังขนาดนั้นเลย? ขั้นมหาสมุทรระดับสูงหรือ? หรือไม่เขาก็เป็นักรบระดับเจ็ดขั้นมหาสมุทรหรือ?” ฉู่อวิ๋นดูใจนอุทานออกมา
ต้องรู้ว่าครั้งสุดท้ายที่ฉู่อวิ๋นเอาชนะโม่ซิวซึ่งอยู่ในระดับห้าของขั้นมหาสมุทรในการประชันห้าัได้นั้น เขาเองก็แทบเอาชีวิตไม่รอด
แต่ท้ายที่สุดก็คว้าจับจุดอ่อนของโม่ซิวและทำให้ชายผู้หยิ่งผยองคนนั้นตะลึงได้ จากนั้นเขาก็โชคดีพอที่จะชนะ
แม้ว่าตอนนี้ฉู่อวิ๋นจะมีความก้าวหน้าอย่างมากทั้งในด้านทักษะกระบี่และระดับการฝึกฝนทางิญญา
แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะเอาชนะตงฟางสยงแบบซึ่งๆ หน้าได้ แล้วนับประสาอะไรกับเสวี่ยหานเฟย?
ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายผู้ร้ายกาจคนนี้ยังเ้าเล่ห์อย่างยิ่ง ทั้งยังแทบไม่มีจุดอ่อนเลย
“ข้าคิดว่าลักษณะของิญญายุทธ์ของคุณชายชุยเสวี่ยจะต้องน่ากลัวมากเป็แน่ เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ใช้งานมันอย่างเต็มที่ ดูเหมือนว่าพวกเราต้องรอให้เฟิงเอ๋อร์กลับมาก่อนจึงจะเริ่มประลองได้”
หลิงจื้อยังคงโน้มน้าวต่อไป เมื่อเห็นว่าฉู่อวิ๋นไม่มีโอกาสชนะ เขาจึงขอให้อีกฝ่ายยกเลิกการต่อสู้และรอจนกว่าซิวหลัวหน้าผีตัวจริงจะกลับมา
อันที่จริง มันเป็เื่บังเอิญทีเดียวที่หลิงเฟิงกำลังเตรียมงานแต่งและการสลับตัวเ้าสาวจึงยังไม่กลับมา
“ต่อให้เขากลับมาแล้วจะอย่างไร?” ฉู่อวิ๋นกัดฟันด้วยความกังวล “ตอนนี้ข้าก็คือ 'ซิวหลัวหน้าผี' คนที่ต้องรับคำท้า ย่อมต้องเป็ข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงจื้อก็ถอนหายใจซ้ำๆ เขาใกล้จะเป็ลมอยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าฉู่เจิ้นหนานจะกลับคำพูด ซึ่งขัดขวางแผนเดิมของเขาโดยสิ้นเชิง
ขณะที่ชายชราและชายหนุ่มกำลังทะเลาะกัน เสวี่ยหานเฟยก็เป็เพียงคนเดียวที่ยืนอยู่บนเวที
เขาสะบัดพัดขนนกเบาๆ และจ้องมองมาที่ฉู่อวิ๋นด้วยความดูถูก ทว่ายังแสร้งทำเป็สุภาพ “ซิวหลัวหน้าผี ถึงตาเ้าแล้ว ทำไมไม่ขึ้นมาล่ะ? กลัวข้าหรือ? ฮ่าๆ”
“ซิวหลัวหน้าผี? ว่ากันว่าเขาได้รับรางวัลการประชันห้าัมากกว่าสิบสองครั้งติดต่อกัน ทั้งยังเอาชนะนักรบระดับเก้าขั้นมหาสมุทรมาได้มากมาย แข็งแกร่งมาก เขาอาจชนะการประลองครั้งนี้ก็ได้นะ”
“แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมสู้ขึ้นมาล่ะ? ไม่ใช่ว่ากลัวหรือ?”
ทุกคนถกเถียงกันไม่หยุด ยามนี้ สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่ “ซิวหลัวหน้าผี” โดยเต็มไปด้วยความคาดหวังและความสงสัยบางประการ ทำให้ิญญายุทธ์ของฉู่อวิ๋พลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ
“ผู้เฒ่าหลิง ไม่ต้องห้ามแล้ว ศึกครั้งนี้ยากจะเลี่ยง!”
จู่ๆ ฉู่อวิ๋นก็ลุกขึ้นยืน สบตากับเสวี่ยหานเฟยที่ยืนอยู่กลางเวที ดูเหมือนจะมีประกายไฟพุ่งออกมา
นี่คือการต่อสู้ระหว่างิญญายุทธ์และพลังปราณ หากยังขี้อายขลาดเขลา ก็จะสูญเสียก้าวแรกไป
“ผู้มีพระคุณ อย่าไปเลย! หากไม่ระวังเพียงนิด ก็ถึงแก่ชีวิตได้เลยนะ!”
“ตอนนี้มีผู้แข็งแกร่งอยู่มากมาย หากเกิดอะไรขึ้นมา บรรพบุรุษของเราก็ช่วยท่านไม่ได้นะ!”
หลิงจื้อพูดย้ำซ้ำๆ เพราะ้าหยุดฉู่อวิ๋น ประการแรก ด้วยกลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา และเขาอาจจะถูกเสวี่ยหานเฟยปรามเอาได้ ประการที่สอง เพราะหลายคนที่นี่รู้ว่าซิวหลัวหน้าผีเป็นักรบระดับห้าขั้นมหาสมุทร
หากคนอื่นรู้ถึงระดับพลังยุทธ์ของฉู่อวิ๋นเข้า ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็จะถูกเปิดเผย
เมื่อถึงเวลา ไม่ต้องพูดถึงเื่ช่วยคนอื่นเลย แม้จะช่วยตัวเอง ต่อให้ติดปีกบินได้ก็ยังยาก!
“ท่านจะตายเอาได้นะ!” หลิงจื้อร้องขอครั้งสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก
แต่ภายใต้เสียงโห่ร้องอย่างท่วมท้นของผู้ชมและคำพูดอันโอบอ้อมของหลิงจื้อ ฉู่อวิ๋นก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีทีละก้าวด้วยสายตาที่แน่วแน่อย่างไม่เกรงกลัว
“ใช่แล้ว ข้าอาจตายได้ แต่ตราบใดที่คนที่ข้ารักยังตกอยู่ในอันตราย…”
“เช่นนั้นต่อให้จะเป็เทพ ข้าก็จะสู้!”
ฉู่อวิ๋นไม่เปลี่ยนใจ ดวงตาของเขาเป็ประกายสดใส พลังและเืของเขาพลุ่งพล่านดุเดือด
เพื่อฉู่ซินเหยา เขาจะสู้อย่างกล้าหาญ!
----------
[1] บรรยายถึงคนเลวที่สมรู้ร่วมคิดกัน
[2] เป็อุปมาว่าถึงแม้จะมีอำนาจ แต่ไม่สามารถปราบปรามกองกำลังที่ยึดที่มั่นในพื้นที่ได้
[3] หมายถึง การแสร้งทำเป็น่าสงสารเพื่อรับความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น เพื่อให้ตนบรรลุเป้าหมาย