เซี่ยโม่ขี่จักรยานออกจากร้านของเก่า พอถึงจุดปลอดคน เธอเอาของทั้งหมดใส่ไว้ในโกดังสินค้า จากนั้นปั่นจักรยานไปที่โรงเรียนประถมต่อ
เมื่อมองดูเวลา วันนี้เธอมาช้ากว่าปกติสิบกว่านาที ไม่รู้ว่าน้องชายกับสือโถวจะยังรออยู่ที่โรงเรียนหรือไม่
เธอปั่นให้เร็วขึ้นราวกับจะเหินไป พร้อมทั้งใช้ความคิดไปด้วย เธอจำได้ว่าในโกดังสินค้ามีเครื่องตัดหินที่ใช้ในการก่อสร้างอยู่ ไม่รู้ว่าถ้าเอามาตัดหยกดิบจะได้หรือไม่
พอไปถึงโรงเรียนประถมเธอพบว่า ภายในโรงเรียนยังคงมีเด็กเล่นอย่างสนุกสนานอยู่พอประมาณ
มองไปเห็นน้องชาย สือโถว และโฉ่วหวากำลังเล่นด้วยกันอยู่ไกลๆ เธอจึงะโเรียก “เฉินเฟิง สือโถว กลับบ้านได้แล้ว”
เด็กชายทั้งสามคนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน พอได้ยินเสียงะโเรียกต่างหันไปมองตามเสียง
โฉ่วหวาเอ่ยออกมาว่า “เฉินเฟิง พี่สาวนายมารับแล้ว พวกเราสมควรแยกย้ายกันกลับบ้านได้แล้ว”
เซี่ยเฉินเฟิงกับสือโถวสะพายกระเป๋านักเรียนวิ่งเข้าไปหาเซี่ยโม่ “พี่ครับ…”
เธอถามอย่างเป็ห่วง “ทั้งคู่รอพี่จนร้อนใจแย่แล้วใช่ไหม ขอโทษทีนะที่วันนี้พี่มารับช้า”
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยทำหน้าสงสัย “พี่ครับ พี่มาช้าเหรอ ผมไม่เห็นรู้สึกเลย ปกติพี่ก็มาเวลานี้ไม่ใช่เหรอครับ”
เธอรีบแทบตาย แต่น้องชายกลับไม่รู้สึกรู้สา เซี่ยโม่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
เวลาต่อมาเธอขี่จักรยานพาเด็กชายทั้งสองกลับบ้าน
ตกเย็นขณะนอนบนเตียง เซี่ยโม่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่เอาเครื่องตัดหินออกมาลองตัดหยกดิบ เพราะพรุ่งนี้เธอยังต้องไปโรงเรียนอีก
เธอตั้งใจว่าวันหยุดสุดสัปดาห์เมื่อไรเธอค่อยลองดู หากลองจนเหนื่อยล้า เธอยังสามารถนอนตื่นสายได้
ทว่าจู่ๆ ภาพตอนที่พี่ซ่งถักเปียให้ก็ดันโผล่มาในหัว
เพียงแค่นึกถึง หน้าของเธอก็ซับสีแดงไปทั่วทั้งใบหน้า
ั้แ่กลับชาติมาเกิดใหม่ เธอมักจะคิดว่าตัวเองคือเด็กสาวอายุสิบสี่ปีที่ไม่มีเื่ให้ทุกข์ร้อน ลืมไปเสียสนิทว่าแท้จริงแล้วตัวเองคือผู้ใหญ่ที่อายุมากแล้ว
เวลาที่อยู่กับพี่ซ่ง เธอมักจะคิดว่าตัวเองคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
เธอลืมตัวเกินไปหรือเปล่า?
แต่ถ้าให้คิดเื่รักๆ ใคร่ๆ กับพี่ซ่งในตอนนี้ เธอก็ทำไม่ได้
เซี่ยโม่ยังอยากเป็เด็กที่ไม่มีเื่ให้ทุกข์ใจ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวันๆ อีกสักหลายปี
อย่างไรเสียก็ได้พูดเื่นี้กับพี่ซ่งให้เข้าใจแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบตกลง เธอเลยไม่ต้องรู้สึกกดดัน
คิดได้ดังนั้นถึงค่อยนอนหลับลง
สองวันต่อมา ซ่งมู่ไป๋ไปหาเซี่ยโม่ที่โรงเรียนใน่พักระหว่างคาบของตอนเช้าเพื่อนำเงินมาให้
“พี่ซ่ง ทำไมเงินถึงเยอะแยะแบบนี้ล่ะคะ หักค่านายหน้าของพี่แล้วหรือยังคะ” เซี่ยโม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันไม่ได้โง่นะ ก็ต้องหักแล้วสิ”
เธอนึกว่าอีกฝ่ายพูดเื่จริงจึงเอาเงินเก็บใส่ในกระเป๋า แท้จริงแล้วคือใส่ไว้ในโกดังสินค้า
ซ่งมู่ไป๋เดาว่าของเ่าั้น่าจะเป็ของเด็กสาวเอง ก็เลยหักค่านายหน้าไปเพียงเล็กน้อย
“คือว่า ถ้าเธอยังมี เอ่อ ถ้าเพื่อนร่วมห้องของเธอยังมีของที่อยากฝากขายอีก ฉันช่วยได้นะ”
เงินที่ได้จากการขายครั้งนี้เป็จำนวนสามพันกว่าหยวน ในโกดังสินค้ามีเก็บอีกพันกว่าหยวน พอรวมกันแล้วเป็เงินไม่น้อยเลยทีเดียว
หากนำของไปขายบ่อยๆ จะทำให้พี่ซ่งสงสัยเอาได้ อีกอย่างนี่ก็ใกล้จะสอบกลางภาคแล้ว เธอต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี
คิดสะระตะแล้วเซี่ยโม่จึงเอ่ยออกไป “พี่ซ่ง ่นี้เพื่อนของฉันยุ่งกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบกลางภาคอยู่ค่ะ แล้วที่บ้านเธอก็ไม่มีอะไรจะขายแล้วด้วย ไว้ค่อยว่ากันหลังจากนี้นะคะ”
“ได้ เธอเองก็ตั้งใจเรียนนะ ถ้าสอบได้คะแนนดีเดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าว”
สองตาของเด็กสาวเป็ประกายในทันใด
ทั้งชาติที่แล้วและชาตินี้เธอเป็เด็กเรียน เรียนมาได้หลายเดือน สามารถพูดได้เลยว่า ตอนนี้ความรู้ของเธอแน่นมาก ตอนสอบย่อมได้คะแนนดีแน่นอน
เซี่ยโม่ยิ้มกว้างพร้อมกับพูดอย่างมั่นใจ “พี่พูดเองนะคะ พอถึงตอนนั้นห้ามกลับคำเด็ดขาด”
“ฉันไม่กลับคำแน่นอน พวกเราเกี่ยวก้อยสัญญากันก็ได้”
“ดีค่ะ” เธอยื่นนิ้วก้อยออกไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของชายหนุ่ม ตามด้วยประกบนิ้วโป้ง
เซี่ยโม่รับรู้ได้ว่านิ้วของชายหนุ่มกำลังแข็งเกร็ง เธอยิ้มพลางแกล้งหยอก “พี่ซ่ง พี่จะเกร็งทำไมคะ”
ซ่งมู่ไป๋ยกมือปาดเหงื่อที่ซึมลงมาตามหน้าผาก ทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกันความหอมหวานจากตัวเด็กสาวมักจะเล่นงานจนเขาเกิดอาการเกร็งขึ้นมาทุกที เขาไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไร จึงทำได้แค่ยิ้มอย่างโง่งม
“โม่โม่ ฉันชอบเกี่ยวก้อยกับเธอ”
เซี่ยโม่เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา กับเื่แค่นี้ ทำไมต้องชอบหรือไม่ชอบด้วย?
“พี่ซ่ง พี่เกี่ยวก้อยกับคนอื่นบ่อยไหมคะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “เกี่ยวก้อยเป็เื่ที่เด็กแบบพวกเธอชอบทำกัน คนที่ฉันใกล้ชิดส่วนมากเป็คนมีอายุ จะมาเกี่ยวก้อยสัญญากันได้ยังไง”
เธอลองคิดตามก็เห็นว่าจะจริง ก่อนจะถามต่ออย่างแปลกใจ “แล้วไม่มีผู้หญิงคนไหนเกี่ยวก้อยสัญญากับพี่บ้างเหรอคะ”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฉันชอบเกี่ยวก้อยกับเธอมากกว่า หากมีผู้หญิงคนไหนคิดจะมาเข้าใกล้ฉัน ฉันก็จะถีบผู้หญิงคนนั้นให้กระเด็นออกไปให้ไกลๆ รับรองว่าข้างกายฉันจะไม่มีผู้หญิงคนอื่นนอกจากเธอ”
พี่ซ่งนี่ตลกเหลือเกิน
ทันใดนั้นเองเธอนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าบุตรสาวของคุณป้าชายหนุ่มหน้าตาอย่างไร ไว้เธอค่อยหาเวลาไปแอบดู
หมู่บ้านตั้งกว้าง อีกทั้งเธอเพิ่งมาอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยายได้ไม่นาน เลยยังไม่เคยเจอผู้หญิงคนนั้น
เธอดึงความคิดกลับมา ก่อนจะมองนาฬิกาในโกดังสินค้า “พี่ซ่งคะ ฉันต้องกลับห้องเรียนแล้ว”
ซ่งมู่ไป๋มีท่าทีอาลัยอาวรณ์ “ไวขนาดนี้เลย? ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไงว่าควรต้องกลับไปแล้ว”
เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ เธอรีบหยิบนาฬิกาออกมาจากโกดังสินค้าแล้วมาใส่ไว้ที่ข้อมือ ก่อนจะยื่นไปตรงหน้าชายหนุ่ม เนื่องจากเรียวแขนของเซี่ยโม่เล็กมาก นาฬิกาจึงเลื่อนลงไปเกือบครึ่งแขน
ซ่งมู่ไป๋เห็นเช่นนั้นเลยเอ่ยออกมาว่า “แขนเธอเล็กเกินไปแล้ว”
เธอเอ่ยติดตลกเพื่อให้ชายหนุ่มสบายใจ “พี่ซ่ง ฉันยังอายุน้อย แต่รับรองว่าอีกไม่กี่ปีฉันต้องกลายเป็ยายอ้วนแน่ พอถึงตอนนั้นฉันจะดูสิว่าพี่จะรังเกียจฉันไหม”
ซ่งมู่ไป๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นประหนึ่งให้คำสัตย์สาบาน “ไม่มีทาง ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปยังไงฉันก็ชอบทั้งนั้น”
ทำให้เธอนึกถึงประโยคหนึ่งในชาติที่แล้วขึ้นมาได้ ถ้าเราเจอคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่ รอบตัวจะเต็มไปด้วยฟองอากาศสีชมพูซึ่งยากจะลืมเลือน
บางทีพี่ซ่งอาจจะคือคนคนนั้น
ชายหนุ่มหน้าตาดี ฐานะก็ดี จัดว่าเป็หงส์ในหมู่ผู้ชายทั้งหลาย
ผู้ชายแบบนี้อยากได้ผู้หญิงแบบไหนล้วนได้ทั้งนั้น แต่อีกฝ่ายกลับมาชอบเธอที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง
อีกทั้งเธอยังไม่ใช่คนที่เห็นความรู้สึกส่วนตัวมาก่อนสิ่งอื่น เธอให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็อันดับแรก
ยิ่งพอมองแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเขาที่มองมา เซี่ยโม่ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างใจร้ายเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ตอนนี้ใช้เื่อายุเป็โล่กำบังได้ แต่ไม่รู้เลยว่าอนาคตข้างหน้าเธอจะเปลี่ยนใจหรือไม่
เื่นี้ยังอีกนาน สองปีนี้เธอต้องตั้งใจเรียนก่อน
ในโรงเรียนเวลานี้ เนื่องจากใกล้ถึงวันสอบกลางภาค ไม่ว่าจะนักเรียนที่ตั้งใจเรียนอยู่แล้วหรือนักเรียนที่ปกติเอาแต่เที่ยวเล่น ตอนนี้ทุกคนต่างตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือ
นักเรียนทุกคนล้วนอยากได้ใบจบการศึกษา ถ้ามีใบนี้ถึงจะสามารถหางานทำได้
ยุคนี้ระดับชั้นมัธยมปลายเป็ระดับการศึกษาที่สูงที่สุด มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับการแนะนำให้เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องมีฐานะทางบ้านดี
ทุกคนจึงไม่เพียงอยากได้ใบจบการศึกษา แต่คะแนนที่สอบออกมาก็ต้องดีด้วย
เพื่อนร่วมห้องทุกคนเห็นเซี่ยโม่ไม่มีทีท่าว่าจะเคร่งเครียดแต่อย่างใดก็รู้สึกอิจฉา หลังจากการท้าแข่งเมื่อครั้งที่แล้ว ทำให้ทุกคนทราบว่าเซี่ยโม่เก่งวิชาคณิตศาสตร์มาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าวิชาอื่นเป็อย่างไร
แต่พอเห็นท่าทางไม่เดือดไม่ร้อนของเซี่ยโม่ เพื่อนร่วมชั้นบางคนแอบไปพูดคุยลับหลัง “เธอคงสนใจแต่วิชาเลข ไม่สนใจวิชาอื่น แต่คะแนนวิชาเลขดีวิชาเดียวแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
ไม่นานเื่นี้ก็ถูกลือไปทั่วจนทุกคนนึกว่าเื่จริง
“ก็อย่างว่า เธอคงรู้ตัวว่าตัวเองไม่มีทางสอบวิชาอื่นได้ดีนอกจากวิชาเลขก็เลยไม่เครียด”
“ถ้ายกคะแนนวิชาเลขให้กันได้ก็คงจะดีเนอะ คะแนนวิชาเลขฉันยิ่งไม่ค่อยดีอยู่ด้วย”
เพื่อนทุกคนคงคิดว่าเธอไม่ได้ยิน แต่เซี่ยโม่มีประสาทการรับฟังที่ดีเยี่ยม เธอแค่แกล้งทำเป็ไม่ได้ยินคำนินทา ขณะที่ในใจคิดว่า คนพวกนี้นี่ชอบพูดไปเรื่อยจริง
