ไม่รอให้อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยสิ่งใด เขาพลันหยิบจอกน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาด้วยความคุ้นเคยอย่างยิ่ง หลังจากรินน้ำชาให้ตนหนึ่งจอกจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “เมื่อครู่ข้าแอบดูอยู่ครู่หนึ่ง แม่นางน้อยผู้นั้นหน้าตาน่าเอ็นดูทีเดียว เ้าไปเข้าใจเื่รักๆ ใคร่ๆ ั้แ่เมื่อใด? นึกไม่ถึงว่าจะซ่อนสตรีไว้ในห้อง”
ดวงตาของอวี๋ฉี่เจ๋อฉายแววเย็นเยียบเมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่เหมือนอวี๋เจียวจะผลัดอาภรณ์อยู่ในห้อง เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเ็าว่า “หยุดกล่าววาจาเหลวไหล ไม่พบกันหนึ่งปี เ้าก็ยังไม่พัฒนาเช่นเดิม ยังแอบดูกระทั่งสตรี”
ครั้นเห็นว่าสีหน้าของเขาฉายแววขุ่นเคือง ลู่จิ่นรีบคลี่ยิ้มอธิบาย “ศิษย์น้องอย่าเพิ่งมีโทสะ ข้าแค่มองเพียงครู่เดียว หรือว่าเ้าแต่งงานแล้ว? เหตุใดจึงไม่ให้คนส่งจดหมายไปบอกข้าสักคำเล่า?”
บนใบหน้าของอวี๋ฉี่เจ๋อยังคงเ็าพลางปรายตาชำเลืองมองเขา “มองครู่เดียวจริงหรือ?”
ลู่จิ่นกับอวี๋ฉี่เจ๋อเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องกันมานานปี ย่อมรู้นิสัยของอีกฝ่ายดียิ่ง เพราะกลัวว่าเขาจะมีโทสะขึ้นมาจริงๆ ทั้งยังเห็นความใส่ใจที่ศิษย์น้องมีให้แก่สตรีนางนั้น ลู่จิ่นจึงรีบตอบออกไปอย่างสัตย์จริงไม่กล้าเหลวไหล “มองเพียงประเดี๋ยวเดียวจริงๆ หลังเห็นว่าเ้าถูกแม่นางน้อยผู้นั้นไล่ออกไปจากห้อง ข้าก็ไม่กล้ามองอีก นางคงไม่ใช่น้องสะใภ้จริงๆ กระมัง?”
อวี๋ฉี่เจ๋อแค่นเสียงหยัน สีหน้าดูดีขึ้นไม่น้อย ถึงอย่างไรเขากับลู่จิ่นก็ห่างกันไปสามปี ภายในใจยังลอบยินดีอยู่บ้าง ดูแล้วถึงเขาจะตัวคล้ำขึ้นกว่าแต่ก่อน ทว่ารูปร่างกลับดูกำยำ มีชีวิตชีวามากขึ้นทีเดียว คาดว่าตลอดสามปีมานี้คงใช้ชีวิตโดยไม่ตกระกำลำบากอะไร อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยขึ้นว่า “นางเป็น้องสาวของข้า”
ลู่จิ่นขยับเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วยกยิ้มเอาอกเอาใจ “ที่แท้ก็เป็น้องสาวของเ้า มิน่าดูแล้วยังเป็เพียงเด็กผู้หญิง” ทว่าภายในใจยังรู้สึกไม่ชอบมาพากล เขาเกาหัวแล้วพูดต่อ “แต่ข้าจำได้ว่าเ้ามีพี่สาวแค่คนเดียว เหตุใดถึงมีน้องสาวเพิ่มเข้ามาเสียแล้ว? ข้าไปเมืองหลวงเพียงสามปี นี่ไม่ถูกต้อง การที่เ้ามีน้องสาวอายุเท่านี้ ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
อวี๋ฉี่เจ๋อไม่อยากพูดถึงเื่อวี๋เจียวกับเขามากนักจึงเอ่ยถามออกไปว่า “ท่านรับตำแหน่งในเมืองหลวงมิใช่หรือ เหตุใดถึงกลับมากะทันหันเล่า?”
ลู่จิ่นไม่เอ่ยวาจาหยอกล้ออีกเมื่อเห็นเขาถามเื่สำคัญ พูดด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “ท่านอาจารย์ส่งจดหมายไปบอกข้าว่าท่านล้มป่วย ข้าจัดการงานที่เมืองหลวงไว้เรียบร้อยแล้วถึงได้รีบกลับมา”
อวี๋ฉี่เจ๋อขมวดคิ้วหลังได้ฟัง ในดวงตาฉายแววกังวล “เมื่อสามเดือนก่อนข้าไปที่วัดฝ่าหวา ท่านอาจารย์ยังดูแข็งแรงดี เหตุใดจู่ๆ จึงล้มป่วยลงเสียแล้ว?”
ลู่จิ่นรีบร้อนเดินทางมา เขาไม่สนใจกลับวัดเป็อันดับแรกเพราะหมู่บ้านชิงอวี๋อยู่ใกล้กว่ากันมาก ดังนั้นจึงเดินทางมาหาอวี๋ฉี่เจ๋อเสียก่อน
เขาส่ายหน้า เอ่ยอย่างกระวนกระวาย “ข้าก็ไม่รู้ คาดว่าคงไม่ใช่การเจ็บป่วยเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นท่านอาจารย์ไม่มีทางส่งคนไปเรียกข้ามาจากเมืองหลวงแน่นอน”
กล่าวถึงความเจ็บป่วย ลู่จิ่นพลันนึกถึงสุขภาพของอวี๋ฉี่เจ๋อ หลังจากมองพิจารณาแล้วเห็นสีหน้าเขาดูดีกว่าแต่ก่อนจึงเอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือของอวี๋ฉี่เจ๋อมาจับชีพจร แล้วจึงพูดด้วยความยินดี “ศิษย์น้อง พิษในกายของเ้าถูกขจัดแล้ว? นึกไม่ถึงเลยว่าร่างกายของเ้าจะดีขึ้นไม่น้อย”
อวี๋ฉี่เจ๋อไม่หลบเลี่ยง ปล่อยให้เขาจับชีพจรตามใจแล้วค่อยพยักหน้า “น่าจะหายแล้วจริงๆ”
ลู่จิ่นเผยสีหน้ายินดี พูดอย่างตื่นเต้นว่า “เป็หมอเทวดาท่านใดช่วยถอนพิษให้เ้า? หากท่านอาจารย์รู้เข้าจะต้องยินดีมากแน่นอน”
อวี๋ฉี่เจ๋อไม่อยากบอกว่าคืออวี๋เจียว ได้แต่ลอบคิดกับตนเองว่าจะพาอวี๋เจียวไปที่วัดฝ่าหวาเพื่อนตรวจอาการให้ท่านอาจารย์สักหน่อย
ลู่จิ่นมัวแต่ดีใจที่ร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อหายเป็ปกติ เดินไปมาอยู่ในห้องกล่าวว่า “เดือนหน้าจะถึงวันสอบขุนนางระดับเซียงซื่อ ยามนี้ร่างกายของศิษย์น้องหายดีแล้ว เ้าควรไปอยู่ที่เมืองหลวงเป็เพื่อนข้าเสียที! เ้าไม่รู้อะไร ตลอดสามปีที่ข้าอยู่ในเมืองหลวงโดดเดี่ยวยิ่งนัก ไม่มีคนสนิทแม้แต่คนเดียว ตอนนี้ดียิ่ง เ้าจะได้ไปอยู่กับข้าที่เมืองหลวงแล้ว”
อวี๋ฉี่เจ๋อจะเชื่อวาจาเหล่านี้ของเขาได้อย่างไร ศิษย์พี่ผู้นี้ของเขามีนิสัยสบายๆ กอปรกับบุคลิกเปิดเผย ต่อให้เป็คนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่หลังจากกินข้าวเพียงหนึ่งมื้อก็สามารถทำให้ผู้อื่นกลายเป็สหายรู้ใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรับตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพร คงจะไปมาหาสู่กับผู้คนอยู่ไม่น้อย
อวี๋ฉี่เจ๋อได้ยินเสียงดังจากข้างนอก คล้ายว่าสตรีแซ่ซ่งและอวี๋เมิ่งซานกำลังจะกลับเข้าเรือนแล้ว เขาจึงกดเสียงต่ำเอ่ยกับลู่จิ่น “อยู่ที่นี่นานเกินไปคงไม่สะดวกนัก ข้าคงไม่รั้งเ้าให้อยู่กินข้าวและค้างแรม เ้ากลับวัดฝ่าหวาไปก่อน อีกสองวันข้าจะพาท่านหมอไปตรวจอาการให้ท่านอาจารย์”
ลู่จิ่นวรยุทธล้ำเลิศ เสียงความเคลื่อนไหวภายในลานเรือนล้วนแต่อยู่ภายใต้โสตประสาทของเขา เสียงฝีเท้าเ่าั้เขาได้ยินแต่แรกแล้ว เขาถอนหายใจเสียงเบา “ใช่ว่าเ้าจะไม่รู้ถึงวิชาหมอของท่านอาจารย์” เพียงแต่สายตาที่มองอวี๋ฉี่เจ๋อกลับเป็ประกายอยู่หลายส่วน “ในปีนั้นท่านอาจารย์ยังจนปัญญากับพิษในร่างของเ้า ยามนี้เ้าได้หมอเทวดารักษาจนหายดีแล้ว ท่านหมอที่เ้าจะพาไปด้วยคือหมอเทวดาท่านนั้น?”
อวี๋ฉี่เจ๋อพยักหน้า ใบหน้าของลู่จิ่นฉายแววยินดีออกมา ครั้นเสียงฝีเท้าด้านนอกใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงรีบเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้นข้าไปก่อน จะรอเ้าอยู่ที่วัด”
กล่าวจบก็ดีดตัวขึ้นไปข้างบนอย่างว่องไว อวี๋ฉี่เจ๋อเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน เอ่ยเสียงเบาว่า “เรียงแผ่นกระเบื้องกลับไปให้ดีด้วย หลายวันมานี้ฝนตกถี่นัก”
ลู่จิ่นที่ปลายเท้าเพิ่งแตะลงบนหลังคาหันมาแยกเขี้ยวถลึงตาใส่เขา แต่มือกลับจัดเรียงกระเบื้องเข้าตำแหน่งเดิมอย่างว่าง่าย หลังจัดกระเบื้องให้สนิทตามเดิมแล้วจึงทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว คิดในใจว่า ร่างกายของศิษย์น้องอ่อนแอ หากหลังคารั่วยามฝนตกคงต้องป่วยเป็แน่ ผู้เป็ศิษย์พี่อย่างเขาย่อมไม่ถือสาเื่เล็กน้อยเช่นนี้
ลู่จิ่นจากไปไม่นาน สตรีแซ่ซ่งเอ่ยถามผ่านประตู “ฉีเกอเอ๋อร์ อวี๋เจียวกับฝูหลิงอยู่ในห้องของเ้าหรือไม่?”
อวี๋ฉี่เจ๋อเปิดประตูออก “พวกนางไปซักผ้าที่ริมลำธารขอรับ”
เมื่อเช้าสตรีแซ่ซ่งเพิ่งจะรวบรวมเสื้อผ้าภายในเรือนไปซักที่ริมลำธาร ครั้นได้ยินว่าอวี๋เจียวกับอวี๋ฝูหลิงไปที่ลำธารอีกรอบ แม้จะรู้สึกประหลาดใจ แต่คิดเพียงแค่ว่าพวกนางผลัดเสื้อผ้าอีกชุดแล้วเอาไปซักเท่านั้น นางจึงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีก
อวี๋ฉี่เจ๋อรั้งสตรีแซ่ซ่งเอาไว้ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ หลายวันมานี้สุขภาพข้าดีขึ้นมาก อยากจะไปวัดฝ่าหวาสักครั้งขอรับ”
สตรีแซ่ซ่งพลันเอ่ยด้วยสีหน้ายินดีเมื่อได้ยินว่าร่างกายของเขาดีขึ้นมาก “จริงหรือ? อวี๋เจียวบอกเช่นนั้นหรือ?” เมื่อเป็เื่เกี่ยวกับความเจ็บป่วย ขอเพียงอวี๋เจียวบอกว่าหายย่อมต้องหายแล้วจริงๆ นางเห็นวาจาของอวี๋เจียวเป็ดังคำกล่าวของเทพเซียนโดยไม่ทันรู้ตัวเสียแล้ว
อวี๋ฉี่เจ๋อพยักหน้า สตรีแซ่ซ่งสองสามีภรรยาไม่รู้เื่ที่เขากระอักเืเมื่อวาน ย่อมไม่รู้ว่าร่างกายของเขาดีขึ้นมากแล้ว
ใบหน้าของสตรีแซ่ซ่งเต็มไปด้วยความลิงโลด กล่าวอย่างตื่นเต้นยินดี “ควรจะไปแก้บนที่วัดฝ่าหวา แม่มีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง เ้าเอาไปให้หมด ถวายเงินซื้อธูปซื้อน้ำมันเข้าวัด ขอบคุณเทพยดาที่ทำให้ลูกชายของข้าหายจากความเจ็บป่วยเสียที”
อวี๋ฉี่เจ๋อร่างกายอ่อนแอแต่เกิด สตรีแซ่ซ่งมักจะพาเขาไปจุดธูปขอพรที่วัดฝ่าหวา หลังจากสุขภาพแข็งแรงขึ้นบ้าง สตรีแซ่ซ่งจึงคิดว่าการขอพรจากเทพยดาบังเกิดผล เป็เช่นนี้ไปเรื่อยๆ กลายเป็สนิทชิดเชื้อกับพระในวัด ทั้งยังให้อวี๋ฉี่เจ๋อไปค้างแรมชั่วคราวที่วัดฝ่าหวาอีกด้วย
แต่หลังจากสอบขุนนางระดับต้น ร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อทรุดโทรมลงอย่างหนัก หาหมอที่ใดก็ไร้ประโยชน์ สตรีแซ่ซ่งที่เคยพาอวี๋ฉี่เจ๋อไปที่วัดฝ่าหวา นึกถึงว่าร่างกายของเขาทรุดโทรมลงทุกวัน กระทั่งไม่อาจทนเดินทางเหน็ดเหนื่อยอีกต่อไป การขอพรต่อเทพยดาก็ไร้ผล ไม่นานนักสตรีแซ่ซ่งจึงเลิกคิดเื่การขอพรเช่นนี้ไป
ครั้นได้ยินอวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยถึงวัดฝ่าหวา สตรีแซ่ซ่งคิดว่า์คงได้ยินสิ่งที่นางเฝ้าอ้อนวอน ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางส่งอวี๋เจียวมาช่วยสกุลอวี๋ของพวกนางและรักษาโรคของอวี๋ฉี่เจ๋ออย่างบังเอิญเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงตกปากรับคำให้อวี๋ฉี่เจ๋อไปแก้บนที่วัดฝ่าหวา
