เขากลับบอกให้นางเลิกซน ต่อให้กู้เจิงหน้าหนาเพียงใดก็หมดหนทางจะลวนลามเขา นางทำใจข้านอน ั้แ่ได้รับาเ็พอหัวถึงหมอน ความรู้สึกเหนื่อยล้าก็โถมเข้ามาโดยเฉพาะที่ศีรษะ
ระหว่างที่กำลังสะลึมสะลือ นางได้ยินเสียงเด็กเรียกนางว่าอี๋เหนียง* เสียงใสกังวานไพเราะน่าเอ็นดูมาก
(*คำเรียกน้องสาวหรือพี่สาวของแม่ และเป็คำเรียกภรรยาน้อยของพ่อด้วย)
กู้เจิงเห็นภาพประหลาดบางอย่างอีกแล้ว นาง ตวนอ๋อง และกู้อิ๋งกำลังกินข้าวอยู่ด้วยกัน เหมือนกับตอนเที่ยงวันนี้ สามคนแต่มีอาหารสิบกว่าอย่าง มีแม่เฒ่าซุน ชิวจื้อ และชุนหงคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ไม่ห่าง แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ ยังมีเด็กน้อยเล่นกันอยู่แถวนั้นด้วย
กู้อิ๋งมองนางด้วยสายตาดูถูกดูแคลน เป็สายตาเดียวกับที่นายหญิงเว่ยซื่อเคยใช้มองหวังซู่เหนียง
“นี่ล้วนเป็อาหารโปรดของเ้า กินให้มากหน่อย” จ้าวหยวนเช่อคีบปลาให้นาง
กู้เจิงคนนั้นกินปลาที่เขาคีบให้อย่างเอร็ดอร่อย
“อี๋เหนียง ข้าอยากกินอันนั้น” จู่ๆ เด็กน้อยก็ปีนขึ้นไปบนตักของกู้เจิง และชี้ลูกชิ้นเนื้อตรงหน้านาง
“เ้ากินลูกชิ้นไปสามลูกแล้ว ถ้ากินอีกจะอ้วนเอานะ” กู้เจิงหยิกแก้มเด็กน้อย แม้จะพูดเช่นนี้ แต่มือก็ยังคีบลูกชิ้นให้เขา
นางดูเหมือนจะชอบเด็กคนนี้มาก และเด็กน้อยก็ติดนางมากเช่นกัน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ อี๋เหนียง ข้าจะออกไปเที่ยวแล้ว” หลังจากกินลูกชิ้นเสร็จ เด็กน้อยก็ปีนลงจากตักนาง แล้วคำนับให้ตวนอ๋อง กู้อิ๋ง และกู้เจิงก่อนจะวิ่งออกไปเที่ยวเล่น
แม่เฒ่าซุนรีบตามไป
“ปลาทอดจานนี้กับนกพิราบตุ๋นจานนั้น หม่อมฉันชอบกิน คราวหน้าให้พวกเขาทำเยอะๆ หน่อยนะเ้าคะ” กู้เจิงชี้ไปที่จานสองจานบนโต๊ะ
ตวนอ๋องส่งเสียงอืมเบาๆ
กู้อิ๋งมองกู้เจิงด้วยสายตาเ็า
ในตอนนั้นเอง เสียงร้องของเด็กก็ดังมาจากภายในห้อง ชิวจื้อรีบเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายรองตื่นแล้ว บ่าวจะไปดูสักหน่อยนะเพคะ”
ผ่านไปเพียงไม่นาน ชิวจื้อก็อุ้มเด็กน้อยอายุราวๆ สองขวบออกมา เมื่อเด็กน้อยเห็นกู้อิ๋งก็โผเข้าหา และร้องเรียกอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านแม่”
กู้อิ๋งรับเขามากอดปลอบ เขาผลอยหลับไปในอ้อมแขนของกู้อิ๋งได้พักหนึ่ง ก่อนจะตื่นตัวขึ้นมาใหม่ พอเขาสังเกตเห็นกู้เจิงก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง “อี๋เหนียงแย่ อี๋เหนียงไม่ดี”
กู้เจิงคนนั้น “...” สีหน้างุนงง
“เ้าทำอะไรเขา?” กู้อิ๋งมองพี่สาวแล้วถามอย่างหงุดหงิด
“อี๋เหนียงบอกว่าข้าอ้วนเหมือนลูกชิ้นเลย"
กู้เจิงหัวเราะเสียงดัง ยื่นมือไปหยิกแก้มเด็กน้อย “ดูแก้มนุ่มนิ่มอวบอ้วนนี้สิ ไม่เหมือนลูกชิ้นในจานหรอกหรือ”
กู้อิ๋งส่งลูกที่ร้องไห้เสียงดังให้ชิวจื้ออย่างปวดหัว นางมองกู้เจิงด้วยสายตาเ็าแล้วกินข้าวต่อ
มองดูภาพการกินข้าวของคนทั้งสามคน แล้วมองกู้เจิงที่หน้าตาเหมือนกันกับนางไม่มีผิดเพี้ยน ในใจกู้เจิงรู้สึกเ็ปแปลกๆ แม้กู้เจิงคนนั้นจะหัวเราะอย่างมีความสุข แต่นางกลับรู้สึกถึงความขมขื่น ยากจะอธิบายได้
เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่นางก็ฝันไป ในฝันนางเป็อนุของจ้าวหยวนเช่อ หนีจากเขาสองครั้งแล้วก็ยังหนีไม่พ้น นางยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้อยู่เลย
หลังจากที่นางตื่นขึ้นก็กลับลืมไปเสียอย่างนั้น แต่ตอนนี้นางนึกออกแล้ว
กู้เจิงมองเด็กน้อยที่ออกไปเล่นเมื่อครู่ เขาวิ่งกลับเข้ามาดึงกู้เจิงออกไปเที่ยวเล่นด้วย ผ่านไปครู่ใหญ่เด็กน้อยอีกคนก็มาเล่นด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เขายังเกลียดนางอยู่เลย
จ้าวหยวนเช่อหลังจากกินข้าวเสร็จก็ไปที่ห้องหนังสือ กู้อิ๋งนั่งมองดูพวกเขาเล่นกัน ภาพตรงหน้าดูเหมือนพวกเขาจะเข้ากันได้ดี ทว่าแววตาดูแคลนของกู้อิ๋งและรอยยิ้มประจบประแจงของกู้เจิง ราวกับเป็ตาข่ายขนาดใหญ่ที่ทำให้นางหายใจไม่ออก
“อาเจิง? อาเจิง?” เสียงของเสิ่นเยี่ยนดังเข้ามาในโสตประสาท
ใช่แล้ว นาง้าเจอสามี นาง้าเจอสามี กู้เจิงคิดเช่นนี้ นางอยากจะให้กู้เจิงในความฝันรีบไปเจอเสิ่นเยี่ยน
ตอนที่กู้เจิงใตื่นขึ้นมา ก็เป็่เวลาฟ้าสางพอดี แสงเทียนในห้องถูกเสิ่นเยี่ยนจุดขึ้น ตอนนี้เขากำลังมองนางด้วยความกังวล
“เ้าฝันร้ายหรือ?” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาตามหน้าผากให้นาง
“ข้าฝันไปหรือเ้าคะ?” นางปวดหัวเล็กน้อย ในหัวยังมีภาพการกินข้าวเ่าั้อยู่ ทว่าอย่างอื่นนางกลับจำไม่ได้แล้ว
“หลังเลิกงานข้าจะไปถามหมอหลวงว่าจะมีอาการอะไรตามมาหรือไม่” ตอนภรรยาหลับสู่ห้วงฝัน นางเอาแต่ะโว่า ‘นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้า้า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้า้า’
“เ้าค่ะ” กู้เจิงปวดหัวไม่หยุด “ท่านต้องไปทำงานแล้วใช่ไหมเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้า “ยังเช้าอยู่ เ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
กู้เจิงหลับตาลง เพียงไม่นานก็หลับไป พอนางตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าก็สว่างแล้ว
ชุนหงได้เตรียมน้ำอุ่นไว้ให้นางแล้ว หลังจากล้างหน้าหวีผมเสร็จนางก็ออกจากห้อง นางเห็นชุนหงเดินออกมาจากห้องครัวพอดี
“คุณหนู บ่าวทำอาหารเช้าไว้ให้เรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ ท่านป้ากับท่านพ่อเฒ่าไปช่วยงานที่บ้านท่านป้าใหญ่แล้ว ส่วนบ่าวต้องไปหอสมุดแล้วเ้าค่ะ แล้วจะกลับมาตอนเที่ยงนะเ้าคะ” ชุนหงบอกด้วยความกระตือรือร้น
“อื้ม”
“คุณหนูไม่ค่อยสบายหรือเ้าคะ?” ชุนหงเห็นคุณหนูหน้าขาวซีด
“ข้าปวดหัวน่ะ แต่ท่านพี่บอกว่าตอนบ่ายจะไปถามหมอหลวง เ้าไปทำธุระของเ้าเถอะ” กู้เจิงบอกก่อนจะเข้าไปในห้องครัวเพื่อทานอาหารเช้า
อาหารเช้าที่ชุนหงเตรียมไว้ให้เป็โจ๊กกับไข่เค็ม
“คุณหนูไม่สบาย บ่าวไม่ไปดีกว่าเ้าค่ะ” ชุนหงเดินตามนางเข้ามา
“ข้าไม่เป็ไร จริงสิ เขียนใบปลิวเสร็จหมดแล้วหรือยัง?” กู้เจิงถาม
“คนที่ลุงหม่ารับเข้าทำงานเขียนได้รวดเร็วและสวยงามมากเลยเ้าค่ะ ตอนนี้เขียนไปได้เยอะฉบับแล้ว” ชุนหงดูตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะตอนนี้นางรู้หนังสือแล้ว จึงเข้าใจว่าใบปลิวพวกนั้นเขียนว่าอะไร
“แล้วของขวัญเล่า เตรียมไว้พร้อมแล้วหรือ?”
“เ้าค่ะ คุณหนูวางใจได้”
หลังจากกินข้าวเสร็จ กู้เจิงก็ไม่อยากให้ชุนหงเสียเวลาอยู่บ้าน นางจึงไปหอสมุดด้วยกัน
ที่หอสมุดลุงหม่ากำลังทำความสะอาดอยู่กับคนงานสองคนที่เพิ่งรับมาใหม่ พอเห็นกู้เจิงมา เขาก็รีบพาคนงานมาแนะนำ ทั้งสองเป็เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปด คนหนึ่งชื่อ ‘หลิงชี’ อีกคนชื่อ ‘หลัวจิ่ว’ ล้วนแต่ใช้ตัวเลขเป็ชื่อ*
(*เนื่องจากในชื่อ ชี แปลว่าเจ็ด และ จิ่ว แปลว่าเก้า)
เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองเห็นว่าเ้านายงดงามถึงเพียงนี้ ต่างตกตะลึงอย่างโง่งมจนต้องถูกลุงหม่าสั่งสอนไปหนึ่งยกจึงค่อยได้สติ
การมาที่หอสมุดในครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อน เพราะบนชั้นหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือมากมายแล้ว ชั้นวางหนังสือแต่ละชั้นได้ทำเครื่องหมายเกี่ยวกับเนื้อหาหนังสือไว้ กู้เจิงยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือประเภทวรรณกรรมที่ยังมีหนังสือวางไว้เพียงไม่กี่เล่ม นางหยิบเล่มหนึ่งออกมาดู ล้วนเป็เื่ราวภาษาชาวบ้านทั่วไป อ่านไปแค่หน้าเดียวก็รู้สึกเบื่อแล้ว
นางบอกลุงหม่าให้เอาวรรณกรรมที่ชาวบ้านสมัยนี้อ่านมาใส่ไว้ ลุงหม่าคงรู้สึกว่าหนังสือพวกนี้คนไม่ค่อยนิยมนัก กู้เจิงคิดไปคิดมาก็คิดว่าช่างมันเถอะ รอเปิดหอสมุดแล้วค่อยดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน
“ลูกค้าท่านนี้ ตอนนี้หอสมุดของพวกเรายังไม่เปิดขอรับ แต่อีกไม่กี่วันก็จะเปิดแล้ว ท่านค่อยมาใหม่นะขอรับ” เสียงของหลิงชีดังขึ้นจากด้านนอก
กู้เจิงหันกายไปมอง นางเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามา ตัวเขาแผ่กลิ่นอายความน่าเกรงขาม เค้าหน้าแฝงไว้ด้วยความดุดัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
“แขกท่านนี้...” ลุงหม่ารีบยิ้มต้อนรับ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากเชิญเขาออกไป ผู้ติดตามข้างกายเขาก็เอ่ยเสียงเย็น “ท่านแม่ทัพของพวกเราเป็เ้าของตึกนี้”
เ้าของงั้นหรือ? หรือจะเป็แม่ทัพเยี่ยนจื่อเซี่ยนแห่งตระกูลเยี่ยน? กู้เจิงแปลกใจ นางเดินเข้าไปคารวะ “ข้าคือผู้ดูแลหอสมุดนี้ แซ่กู้ ทักทายท่านแม่ทัพเยี่ยนเ้าค่ะ”
องคาพยพบนใบหน้าของเยี่ยนจื่อนั้นดูเคร่งขรึม ทุกท่วงท่าของเขาแข็งแกร่งเยือกเย็น กลิ่นอายของเขานั้นคล้ายคลึงกับแม่ทัพเซี่ยอยู่เจ็ดส่วน แต่เทพาผู้นั้นค่อนข้างจะเก็บตัว
“ข้าเรียกเ้าว่าฮูหยินน้อยเสิ่นน่าจะดีกว่า” เยี่ยนจื่อเซี่ยนชำเลืองมองภายในหอสมุดแวบหนึ่ง
ตอนให้นางเช่าตึก แม่ทัพเยี่ยนผู้นี้คงน่าจะไม่รู้ เพราะถึงอย่างไรพ่อบ้านตระกูลเยี่ยนก็เป็คนจัดการรับผิดชอบทั้งหมด แล้วทำไมจู่ๆ เขาถึงมาที่นี่ได้เล่า? กู้เจิงรู้สึกงุนงง แต่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม “เกรงใจแม่ทัพเยี่ยนแล้วเ้าค่ะ”
“ดูไม่รู้เลยว่าหอสมุดนี้มีไว้สำหรับคนชนชั้นสามัญด้วย” เยี่ยนจื่อเซี่ยนยืนเอามือไพล่หลัง เขาทอดสายตามาหยุดอยู่ที่กู้เจิง เขาแปลกใจเล็กน้อยที่สตรีที่มาพัวพันกับหลานสาวของเขาจะมีหน้าตาที่ดูบอบบางเช่นนี้
กู้เจิงปล่อยให้แม่ทัพเยี่ยนผู้นี้ประเมินดู แต่ในใจของนางก็รู้สึกลนลานอยู่บ้าง เื่ของฟู่ผิงเซียงได้ผ่านไปแล้ว ไม่รู้ว่าแม่ทัพเยี่ยนผู้นี้จะโกรธแค้นนางหรือไม่
“การเปิดหอสมุดก็เป็การทำกำไรอย่างหนึ่ง ขอเพียงแขกที่เข้ามาสามารถจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือน เดือนละห้าสิบอีแปะได้ พวกเราก็ยินดีต้อนรับเ้าค่ะ” กู้เจิงยิ้มอ่อนโยน