เย่เช่อเพิกเฉยต่อคำทักทายของอีกฝ่ายและกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “นี่ก็ผ่านมาสามปีแล้ว เหตุใดเ้าไม่ไปที่ชายแดนบ้าง?”
ฮั่วฉีอวี่ยิ้ม “เข้ามาดื่มชาก่อน เหตุใดถึงมัวยืนตากลมอยู่นอกประตู?”
เย่เช่อกล่าวด้วยสีหน้าเ็า “ตอบข้ามา”
ฮั่วฉีอวี่ยังคงยืนกราน “เข้ามาก่อน ข้าจะบอกเ้าแน่ แต่นี่คือหน้าประตู”
สายตาของฮั่วฉีอวี่มองมาราวกับจะบอกว่า ‘เ้าไม่อาย แต่ข้าอาย’
เย่เช่อไม่ขัดขืนอีกต่อไป เขาเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้องโถง
มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่นั่งอยู่ภายในห้อง ดังนั้นบรรยากาศจึงค่อนข้างอึมครึม
เย่เช่อกล่าวว่า “จะบอกได้หรือยัง? หรือมีความลับอะไรอีก?”
ฮั่วฉีอวี่สั่งให้สาวใช้ชงชาก่อนจะกล่าวว่า “เมื่อสามปีก่อนตอนที่ข้ากลับจากชายแดนบังเอิญได้พบสหายเก่าคนหนึ่ง ข้าเดาว่าเ้าจะต้องสนใจเื่นี้มาก”
เย่เช่อไม่แม้แต่จะหยิบถ้วยชาขึ้นมา เขากล่าวอย่างเ็าว่า “เหตุใดเ้าถึงกล่าววาจามากความ? เ้า้าอะไรจากข้ากันแน่?”
ฮั่วฉีอวี่วางถ้วยชาลงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เ้าก็รู้จักคนคนนั้นเช่นกันกานหลาง[1]”
เย่เช่อเลิกคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ทุกครั้งที่เ้าเรียกชื่อรองของข้า ข้ารู้ว่าเ้ามีบางสิ่งที่สำคัญมากจะรบกวนข้า ครั้งสุดท้ายที่เ้าเรียกข้าเช่นนั้นก็เมื่อสามปีก่อนครั้งที่ยังอยู่ชายแดนด้วยกัน ครั้งนี้มีอะไรให้ข้าช่วยอีก?”
ฮั่วฉีอวี่มีสีหน้าเคร่งขรึม “ข้า้าไปหยงโจว”
เย่เช่อถามว่า “ตอนนี้น่ะหรือ? เ้าคิดจะทำอะไร? เ้าอยากให้ข้าปิดบังเื่นี้นานแค่ไหน?”
ฮั่วฉีอวี่กล่าวว่า “ข้ามีเื่บางอย่างต้องจัดการ น่าจะใช้เวลาประมาณห้าวันหรืออาจนานกว่านั้นนิดหน่อย กานหลางถ้าข้าบอกเ้าว่าองค์หญิงใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ เ้าจะทำอย่างไร?”
หัวใจของเย่เช่อจมดิ่งลงเล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจและตอบว่า “ข้าไม่รู้”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้เขาจะเผชิญหน้ากับนางได้อย่างไร?
หญิงสาวผู้นั้นทำให้หัวใจอันแห้งเหี่ยวของเขาได้ัักับความอบอุ่นอีกครั้ง นางเคยเป็แสงสว่างในโลกของเขา
แต่เหตุการณ์บางอย่างกลับเกิดขึ้น และมันก็เกิดขึ้นเร็วเกินไป
แม้ว่านางจะยังมีชีวิตอยู่ แต่นางคงไม่อยากพบหน้าเขาแล้ว
เื่นี้เป็เหมือนความฝันอันไกลโพ้น
ฝันที่อยู่ห่างไกลเหลือเกิน!
‘เหวินฮวา บางทีข้าควรจะลืมเ้าไปเสีย’
ขณะที่เขากำลังคิดถึงองค์หญิงเหวินฮวา ใบหน้าของปี้เหยียนก็แวบเข้ามาในความคิด
ใบหน้าอันอ่อนโยนและงดงามราวกับจะทำให้จิตใจของผู้คนละลาย เสียงที่อ่อนหวานของนางดังขึ้นในหูของเขา และนั่นก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัว
หรือเขาจะชอบนางเข้าแล้ว?
หัวใจของเย่เช่อเริ่มปั่นป่วนเล็กน้อย
ฮั่วฉีอวี่มองเย่เช่อที่กำลังยิ้มด้วยรอยยิ้มลึกลับและกล่าวว่า “ข้าจะไปหยงโจว มีเื่ต้องต้องพูดคุยกับอาเจินเป็การส่วนตัว”
เย่เช่อพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เสด็จแม่้าให้ข้าติดต่อกับอาเจินให้น้อยลง ิเจี๋ย[2]เ้าคิดเห็นอย่างไร?”
ฮั่วฉีอวี่จิบชา ก่อนจะหัวเราะออกมาดังๆ และกล่าวว่า “ข้าจะบอกเ้าเื่นี้พอดี เ้าก็รู้ดีว่าต่อให้เขาจะอยู่ท่ามกลางบุปผานับพัน แต่เขาไม่เคยแตะต้องพวกนางแม้แต่ปลายนิ้ว แล้วเ้าจะกังวลเื่นี้ไปใย?”
เย่เช่อถามว่า “เ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?”
ฮั่วฉีอวี่ตอบอย่างจริงจัง “หลังจากดื่มชาถ้วยนี้เสร็จ ข้าจะติดต่อเ้ามาเป็ครั้งคราว”
เย่เช่อมองฮั่วฉีอวี่อย่างลังเล ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าและกล่าวว่า “ิเจี๋ย ถ้าเ้ามีเวลาช่วยไปพบคนผู้หนึ่งให้ข้าที”
แม้ว่านี่จะเป็คำขอ แต่เย่เช่อก็ใช้รูปแบบการพูดเชิงบอกกล่าว
ฮั่วฉีอวี่เลิกคิ้ว “ข้ารู้ว่าเ้าหมายถึงใคร อาเจินบอกข้าแล้ว”
ฮั่วฉีอวี่้าพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็เลือกที่จะเงียบแทน
บางทีเย่เช่ออาจยังไม่รู้ตัว แต่ฮั่วฉีอวี่รู้ว่าคนที่สามารถทำให้เย่เช่อเป็เช่นนี้ได้ นอกจากองค์หญิงเหวินฮวาแล้วยังมีหญิงสาวคนนั้นอีกคน
หญิงสาวคนนั้นต้องเป็คนที่เขาอยากปกป้อง
ฮั่วฉีอวี่ลุกขึ้นและกำลังจะจากไป แต่เสียงของเย่เช่อก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ิเจี๋ย บางทีเหวินฮวากับข้าอาจไม่ถูกลิขิตมาให้คู่กัน”
เย่เช่อกล่าวอย่างสิ้นหวัง
ฮั่วฉีอวี่ตกตะลึง เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจากไป
ไม่นานขันทีจากวังหลวงก็มาถึงและแจ้งว่าฮ่องเต้้าพบเขา
เย่เช่อไม่สนใจ เขาเดินตรงเข้าไปในเรือนเล็กๆ ของตนเองและกระโจนขึ้นที่นอนทันที
กว่าเขาจะตื่นท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยดวงดาวแล้ว
ขันทีจากวังยังรออยู่
เย่เช่อทานอาหารอย่างใจเย็นก่อนจะบอกขันทีว่าเขาจะเข้าวัง
นี่เป็ครั้งแรกที่เย่เช่อย่างเท้าเข้าไปในตำหนักทองคำ
กระเบื้องปูพื้นสีทอง ม่านก็สีทอง พูดง่ายๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็สีทอง
แม้แต่เสด็จพ่อที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ยังเป็สีทองอร่ามไปทั้งตัว
เสด็จพ่อรั้งตำแหน่งเสนาบดีมาหลายปีแล้ว ท่าทางของเขาจึงไม่ได้ดูหยิ่งผยองแต่อย่างใด การอยู่ในตำแหน่งสูงๆ เป็เวลานานทำให้สายตาของเขาลึกล้ำขึ้น อาจเป็ไปได้ว่าคนที่เต็มไปด้วยกลอุบายผู้นี้ไม่เคยคิดว่าบุตรชายจะเลือกเส้นทางที่แตกต่างจากตนเองอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นคิ้วของเขาจึงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เย่เช่อส่งเสียงหัวเราะก่อนจะเอ่ยว่า
“เสด็จพ่อ!”
เย่เซียงซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ได้โกรธเคืองกับท่าทีอันหยาบคายของเย่เช่อ แต่กลับกล่าวว่า “ข้าได้สั่งให้กรมพิธีการเลือกวันที่จะสถาปนาให้เ้าเป็อ๋องอวิ๋นเมิ่งแล้ว เ้าคิดว่าวันไหนเหมาะสมที่สุด?”
เย่เช่อได้ยินเื่นี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด “ลูกจำได้ว่าอ๋องอวิ๋นเมิ่งคนก่อนไม่มีทายาท”
ผู้ที่สามารถสืบทอดตำแหน่งของอ๋องอวิ๋นเมิ่งจะต้องเป็ทายาทของเขาเท่านั้น อ๋องอวิ๋นเมิ่งผู้ซึ่งมากด้วยพร์ไม่ได้แต่งงาน จึงไม่มีทางที่จะมีทายาทได้แน่
หรือเสด็จพ่อ้าให้เขาเป็ทายาทของอ๋องอวิ๋นเมิ่ง?
ความหมายที่ซ่อนอยู่ในวาจาของเสด็จพ่อย่อมไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่านี้แล้ว
‘เมื่อก่อนเสด็จพ่อทอดทิ้งเสด็จแม่ไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้แม้แต่ตัวข้าเสด็จพ่อก็จะทอดทิ้งด้วยหรือ?’
ฮ่องเต้แสร้งทำเป็ไม่เข้าใจเจตนาของบุตรชาย เขาฝืนยิ้มและกล่าวว่า “เ้าเป็ศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับอ๋องอวิ๋นเมิ่ง ดังนั้นการที่เ้าจะเข้ารับตำแหน่งแทนเขาย่อมไม่ใช่เื่แปลกแต่อย่างใด ฮ่องเต้องค์ก่อนยังเคยตรัสเื่นี้กับข้าหลายครั้ง”
เย่เช่อยิ้มอย่างเ็า “อย่าเอ่ยถึงฮ่องเต้ผู้ล่วงลับต่อหน้าลูก ลูกไม่สนใจว่าเสด็จพ่อจะมอบสิ่งใดให้ เสด็จพ่อคงลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะนำตัวลูกกลับมาที่นี่ได้ เย่เซียง!”
คำว่า “เย่เซียง” ทำให้ทุกคนในท้องพระโรงเงียบสนิททันที
ทั้งขันทีและองครักษ์ต่างสงบปากสงบคำ แม้แต่นางกำนัลที่ทำหน้าที่รินชาก็ยังคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว บรรยากาศอันหนาวเหน็บแผ่ซ่านไปทั่วท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าว่า
“การที่ข้าขอให้เ้ากลับมาเป็เื่ผิดหรือ? การที่บิดา้าพบบุตรชายของตัวเองมีอะไรผิดปกติ? ข้าวางรากฐานให้เ้าทุกอย่าง แม้กระทั่งตำแหน่งของเ้าข้าก็ยังพิจารณาอย่างรอบคอบ ข้าทำอะไรผิดหรือ? ข้ารู้ว่าเ้ารักมารดาและผูกพันกับนางมากกว่าข้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ยังเป็บิดาของเ้า”
เย่เช่อรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะกล่าวว่า “พูดจบแล้วหรือ? ที่ผ่านมาเสด็จพ่อเคยใส่ใจลูกหรือไม่? นี่หรือคือสิ่งที่คนเป็บิดาทำกัน?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความดุดันของฮ่องเต้ดูเหมือนจะหายวับไปในทันที
------------------------
[1] กานหลางคือชื่อรองของเย่เช่อ
[2] ิเจี๋ยคือชื่อรองของฮั่วฉีอวี่
ในวัฒนธรรมจีนสมัยโบราณนั้น เมื่อผู้ชายอายุ 20 ปีและผู้หญิงอายุ 15 ปี การเรียกชื่อจริงนับว่าไม่สุภาพ ดังนั้นจึงมีการตั้งชื่อรองที่เชื่อมโยงกับความหมายของชื่อจริง