เมื่อรู้ว่าจะมีการจัดงานสมรสของตนกับหนีเจียเอ๋อร์ สวีเพ่ยหรานก็มีสีหน้าผ่องใส อารมณ์ดีตลอดทั้งวัน รอยยิ้มกว้างที่ประดับบนใบหน้า ยิ่งทำให้ชายหนุ่มผู้กำลังลองชุดแต่งงาน ดูสง่างามมากขึ้น จนผู้คนต่างพากันตกตะลึง
พอเห็นบุตรชายเพียงคนเดียวมีความสุขเช่นนี้ นายท่านสวีจึงไม่กล้าบอกความจริง ถึงสิ่งที่ได้กระทำลงไป ปล่อยให้สวีเพ่ยหรานเข้าใจไปเอง ว่าเป็เพราะหนีเจียเอ๋อร์เห็นถึงความพยายามของเขา จึงเปลี่ยนใจยอมแต่งงานด้วย
ชายหนุ่มเอาแต่เอ่ยขอบคุณบิดาทั้งวัน ที่ยอมไปสู่ขอหนีเจียเอ๋อร์ให้ตนอีกครั้ง
ได้ยินเช่นนั้น นายท่านสวีและสวีอี๋เหนียง กลับรู้สึกอึดอัดใจมากทีเดียว
หลังจากมื้อเช้า สวีเพ่ยหรานก็สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มปักลายสีม่วงทอง แลดูภูมิฐาน นั่งรถม้าไปยังเรือนของหนีเจียเอ๋อร์เพื่อพบนาง
ซึ่งตามธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องขอเข้าพบนายท่านหนีเสียก่อน และหากได้รับอนุญาต ก็สามารถเข้าไปเจอหน้าหญิงสาวได้
ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่ คารวะเ้าบ้านสกุลหนีด้วยท่าทีอ่อนน้อม “คารวะท่านอา ข้ามีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จะมอบให้เสี่ยวเอ๋อร์ ท่านอาจะอนุญาตให้ข้าพบนางได้หรือไม่ขอรับ?”
นายท่านหนีมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของหลานชาย เดาว่านายท่านสวีคงจะมิได้บอกความจริงให้คนตรงหน้าทราบเป็แน่
เ้าบ้านสกุลหนีครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ “นี่เป็ธรรมเนียมของตระกูลเรา หากยังไม่ถึงวันแต่งงาน เ้าสาวไม่อาจพบหน้าเ้าบ่าวได้ ดังนั้น เ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะนำของชิ้นนี้ไปมอบให้นางเอง”
สวีเพ่ยหรานแสดงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าอีกไม่กี่วัน หนีเจียเอ๋อร์ก็จะกลายมาเป็ภรรยาโดยชอบธรรมของตนแล้ว ก็อดยิ้มมิได้ เขาจึงลุกขึ้น
“ต้องรบกวนท่านอาแล้ว” ชายหนุ่มยื่นกล่องเครื่องประดับให้ ก่อนผละจากไป “ท่านอา หากขาดเหลือสิ่งใดโปรดแจ้งมาได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
นายท่านหนีพยักหน้า โดยไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม
พอสวีเพ่ยหรานเดินไปถึงประตู ก็พบเข้ากับหนีจวิ้นหว่าน ที่มาดักรออยู่นานแล้ว
สีหน้าของนางอ่อนลง พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านพี่หราน จะกลับแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มยืนนิ่ง ก่อนตอบ “ใช่ ข้าต้องไปแล้ว”
ขณะมองไปยังใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายผู้เป็ที่รัก หญิงสาวก็อดคิดมิได้ หลายปีที่ผ่านมา นางทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้เขาสนใจ แต่ไม่อาจสู้น้องสาวผู้ไม่เคยลงมือทำสิ่งใดได้เลย ทั้งอีกฝ่ายยังสร้างแต่ความอับอายให้เขาเสียด้วยซ้ำ แต่กลับได้หัวใจของคนตรงหน้าไปครอง...
ในใจนางรู้สึกเ็ปเหลือเกิน หนีจวิ้นหว่านเม้มปากแน่น ก่อนถามขึ้นว่า “ท่านพี่หราน กำลังจะแต่งงานกับน้องสาวข้าแล้ว ไม่มีอะไรจะพูดกับข้าหน่อยหรือ?”
อดีต สวีเพ่ยหรานเคยรักและทะนุถนอมลูกพี่ลูกน้องอย่างหนีจวิ้นหว่านมาก แต่มาบัดนี้ แค่เห็นหน้านางก็อึดอัดใจแล้ว ชายหนุ่มก้าวไปตรงหน้าอีกฝ่าย แล้วพูดความในใจออกไปทั้งหมด “หว่านเอ๋อร์ ขอโทษด้วย ข้าเคยหลอกตัวเอง พยายามจะเปิดใจรับเ้า เพื่อให้ลืมเสี่ยวเอ๋อร์แล้ว แต่สุดท้ายก็ทำมิได้ คนเราหากไม่ได้รักกัน ถึงแต่งงานไปก็ไร้ซึ่งความสุข ลืมข้าเสียเถอะ...”
ขาดคำ หญิงสาวก็น้ำตาไหลพรากทันที “แต่ท่านพี่หราน ในเมื่อท่านรู้ว่าการถูกบังคับแต่งงาน จะทำให้ชีวิตสมรสไร้ซึ่งความสุข แล้วเหตุใดจึงต้องบีบหนีเจียเอ๋อร์ ให้แต่งงานกับท่านด้วยเล่า?”
“ไร้สาระ! ข้ามิได้บีบบังคับนาง...”
แต่ทันใดนั้น ก็คล้ายจะนึกบางอย่างออก ร่างของเขายืนแข็งค้างเช่นนั้นอยู่นาน จนหนีจวิ้นหว่านอดเป็ห่วงมิได้
หญิงสาวเช็ดน้ำตาของตน “เช่นนั้นท่านก็ไปดูให้เห็นกับตาเลย ว่าตอนนี้ เ้าสาวของท่านกำลังจะเป็บ้าอยู่แล้ว บางทีเมื่อท่านเห็นสภาพของนาง อาจจะจำมิได้!”
สวีเพ่ยหรานจึงรีบตามหนีจวิ้นหว่านไปทันที
เมื่อมาถึงสวนกว้าง ชายหนุ่มก็เห็นว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินตรงเข้าไปในห้อง ก่อนปิดประตูลงทันที
ทำให้หนีจวิ้นหว่านที่กำลังจะตามเข้าไป เกือบโดนบานประตูกระแทกใส่หน้า หญิงสาวกัดฟันกรอด แล้วเดินจากไป
...
อีกด้านหนึ่ง
ดวงตาของสวีเพ่ยหรานกวาดมองไปทั่วบริเวณ ก่อนจะพบเข้ากับร่างของหนีเจียเอ๋อร์ ที่กำลังถูกมัดนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง เขาถึงกับเบิกตากว้าง ด้วยความตื่นตระหนก
ไม่ได้เจอแค่ไม่กี่วัน หญิงสาวที่แสนงดงามของตน กลับมีร่างซูบผอมจนเห็นโหนกแก้ม นอนหายใจรวยรินประหนึ่งคนใกล้ตาย
ชายหนุ่มก้าวฉับๆ ไปยังเตียง ด้วยดวงใจที่ปวดร้าว
“ไม่อยากแต่งงานกับข้า จนต้องทรมานตัวเองเช่นนี้เลยหรือ?”
เสียงของสวีเพ่ยหรานสั่นราวกับจะร้องไห้ หัวใจของเขาหนักอึ้ง เ็ปยิ่งนัก ที่เห็นสภาพของสตรีอันเป็ที่รัก...
ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ตรงหัวเตียงเป็เวลานาน ก่อนตัดสินใจ เอื้อมมือไปปลดผ้าที่พันธนาการร่างของหนีเจียเอ๋อร์อย่างเบามือ
นิ้วเรียวไล้แก้มตอบ พลางมองใบหน้านิทราของนาง จากนั้นก็ตัดใจเดินออกมา
...
เมื่อกลับมาถึงจวน สวีเพ่ยหรานก็ตรงไปยังห้องหนังสือ และขอเข้าพบนายท่านสวีทันที เพื่อที่จะบอกว่า ตนไม่อยากแต่งงานกับหนีเจียเอ๋อร์แล้ว ทั้งยังขอให้ผู้เป็บิดาช่วยยกเลิกงานสมรสด้วย แต่ผลที่ได้ กลับถูกอีกฝ่ายตำหนิอย่างแรง เพราะไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ด้วยเกรงว่าท่านพ่อจะโกรธ ชายหนุ่มจึงได้แต่ก้มหน้ายอมจำนน
เขาพยายามครุ่นคิดหาทางออกทั้งวัน จนกระทั่งผล็อยหลับไปในยามค่ำคืน และตอนนั้นเอง ใบหน้าซูบตอบของหนีเจียเอ๋อร์ ก็ปรากฏขึ้นในห้วงฝัน
ทำเอาสวีเพ่ยหรานต้องสะดุ้งตื่น ด้วยความใ
ภาพนั้นยังคงเด่นชัดอยู่ในห้วงคำนึง เขาจึงไม่อาจฝืนหลับตาลงได้ ชายหนุ่มเอนตัวพิงหัวเตียง ทอดมองไปยังจันทรา ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
จวบจนเช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อแสงแรกสาดส่องเข้ามาทักทาย เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว ว่าจะทำตามแผนการที่คิดมาตลอดทั้งคืน...
สวีเพ่ยหรานเขียนจดหมายให้คนส่งไปที่จวนสกุลโจว แล้วจึงเดินทางออกจากจวน ตรงไปยังหอจุ้ยเซียน
เขามายืนอยู่หน้าประตูห้องรับรองส่วนตัวบนชั้นสองของหอจุ้ยเซียน พลางไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป
ภายในห้อง มีบุรุษสวมชุดคลุมสีม่วงอ่อน มาคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว
สวีเพ่ยหรานค่อยๆ เดินเข้าไปในห้อง จากนั้นจึงเห็นสภาพของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน... ผมเผ้ารุงรัง ใบหน้าทรุดโทรม เสื้อผ้ายับยู่ยี่ หมดสภาพโจวชิงหวาผู้สง่างามไปจนสิ้น!
ผู้มาใหม่เดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม รินชา และยกขึ้นจิบ “ไม่นึกเลย ว่าเ้าจะเศร้าโศกเสียใจ ที่เสี่ยวเอ๋อร์ต้องแต่งงานกับข้ามากถึงขนาดนี้”
โจวชิงหวาเลิกคิ้ว “ที่เรียกข้ามา เพราะจะคุยถึงเื่นี้หรือ?”
สวีเพ่ยหรานจึงเอ่ยถาม “โจวชิงหวา เ้ารู้หรือไม่ ว่าข้ามีความสุขเพียงใดที่จะได้แต่งงานกับเสี่ยวเอ๋อร์?”
คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ยกจอกชาขึ้นมาดื่มพรวด แล้วลุกขึ้น ทำท่าจะผละจากไป
สวีเพ่ยหรานรีบโพล่งขึ้นทันที “ในวันแต่งงาน ข้าย่อมไม่เชิญเ้า แต่จะแบกเกี้ยวเ้าสาวผ่านจวนของเ้า หากคิดจะมาท้าชน ข้าก็ไม่ขัด”
โจวชิงหวาหรี่ตาลง
อีกฝ่ายยกชาขึ้นจิบ ด้วยท่าทีสงบนิ่ง “การได้มองสตรีอันเป็ที่รัก นั่งอยู่ในเกี้ยวเ้าสาวของผู้อื่น คงจะเ็ปมาก จริงหรือไม่?”
โจวชิงหวาเงียบไป พลางมองบุรุษที่กำลังยกจอกชาขึ้นจิบ ด้วยความสับสน
สวีเพ่ยหรานกำลังบอกเป็นัยๆ ให้เขาลักพาตัวหนีเจียเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?
จะเป็ไปได้อย่างไร?!