ซ่งมู่ไป๋ยื่นมือไปลูบหัวเด็กสาว ก่อนจะแกล้งพูดหยอก “เด็กที่ร้องไห้ไม่ใช่เด็กดี เลิกร้องได้แล้ว อายเขา”
เมื่อเซี่ยโม่รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของมือใหญ่ที่ส่งมา เธอพลันรู้สึกซาบซึ้ง ทว่าบรรยากาศดีๆ กลับถูกประโยคนี้ทำลายจนหมดสิ้น
เธอยกมือเช็ดน้ำตาและน้ำมูก “ใครร้องไห้กัน”
ยังไม่ทันที่ซ่งมู่ไป๋จะได้โต้ตอบ ผู้ใหญ่ทั้งสามคนหัวเราะออกมาเสียก่อน ชายหนุ่มเลยหัวเราะตามไปด้วย
ต่อมาซ่งมู่ไป๋ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยว่า “นี่ก็เย็นแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ทุกคนพูดออกมาพร้อมกัน “อย่าลืมเอาของไปด้วยล่ะ”
ซ่งมู่ไป๋ไม่เพียงต้องเอาซอสเนื้อกลับไป แต่ต้องขนน้ำมันหมู รวมถึงกุนเชียงที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วอีกห้าหกชิ้นกลับไปด้วย
“กลับไปแล้วเอากุนเชียงวางไว้ในที่แห้งๆ และมีลมผ่านนะคะ อีกสองสามวันค่อยเอามาหั่นแล้วนึ่งกิน ที่ไม่ได้ให้ไปเยอะเพราะกลัวว่าพี่จะเก็บไม่ดี มันจะเสียเอาได้ ถ้ากินหมดแล้วพี่ค่อยมาเอาไปใหม่” เซี่ยโม่กำชับทิ้งท้ายก่อนที่ชายหนุ่มจะกลับไป
“ได้”
เธอทำท่าคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะตัดสินใจเอาเนื้อหมูที่เก็บอยู่ในโกดังสินค้าน้ำหนักสิบกว่ากิโลออกมาให้ชายหนุ่ม
ชาติที่แล้วมีคนบอกว่าเนื้อหมูป่าสามารถกินได้ ทั้งรสชาติยังอร่อยมาก
เนื้อหมูป่ามีคอเรสเตอรอลต่ำกว่าหมูที่เลี้ยงตามบ้าน ทั้งยังมีแร่ธาตุและกรดอะมิโนหลายชนิด นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยกรดไลโนเลอิกที่ร่างกายมนุษย์้ามากกว่าหมูเลี้ยง
แต่บางคนก็บอกว่าเนื้อหมูป่าเต็มไปด้วยเชื้อโรค ไม่ดีต่อร่างกายคน
ในโกดังสินค้าของเธอมีเนื้อมากมายหลายชนิด จึงไม่มีความจำเป็ต้องเก็บเนื้อหมูป่านี้เอาไว้
“พี่ซ่ง พี่เอาไปขายได้ไหมคะ ถ้าไม่ได้จะเอาไปแจกให้เพื่อนๆ ก็ได้ค่ะ”
“ขายได้ ส่วนกุนเชียงให้ฉันแค่นี้ก็พอแล้ว” ซ่งมู่ไป๋รับปาก
“แล้วแต่พี่จะตัดสินใจเลยค่ะ ฉันว่าแม่ของเสี่ยวเฮยต้องเอาสัตว์ป่ามาให้อีกแน่ ไม่ต้องห่วงว่าที่บ้านจะไม่มีเนื้อให้กิน” เด็กสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม
ซ่งมู่ไป๋ขี่จักรยานพร้อมนำน้ำใจของทุกคนติดไม้ติดมือกลับไปบ้าน
เมื่อท้องฟ้าปกคลุมด้วยม่านราตรี ขณะที่เซี่ยโม่กำลังนอนอยู่บนเตียงเตรียมตัวเข้านอน เธอหวนนึกถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นวันนี้ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เหตุการณ์ในวันนี้ ทำให้เธอเห็นถึงข้อเสียของตัวเอง และได้เห็นข้อดีของพี่ซ่ง ชายหนุ่มเป็ผู้ชายที่พึ่งพาได้
เพื่อเธอ พี่ซ่งถึงกับยอมงัดข้อกับญาติเพื่อทวงความยุติธรรมให้เธอ
หากพี่ซ่งอยู่เคียงข้างคอยปกป้องเธอแบบนี้ไปตลอดก็คงจะดี
แต่ใจของคนเรามักเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ตอนนี้เธอยังเด็กคงต้องดูต่อไปก่อน
วันมะรืนนี้ก็จะสอบกลางภาคแล้ว วันนี้ทั้งวันเธอไม่ได้อ่านหนังสือเลยสักบรรทัดเดียว พรุ่งนี้เธอต้องตื่นแต่เช้าขึ้นมาอ่านหนังสือเพื่อชดเชยเวลาที่เสียเปล่าไป
หนึ่งคืนผ่านพ้นไป เช้าวันใหม่ก็มาเยือน เซี่ยโม่ลืมตาตื่นั้แ่ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มมีแสงสว่าง เนื่องจากเธอเคยชินกับการตื่นเช้าไปแล้ว
เซี่ยโม่นึกขึ้นได้ว่าวันนี้จะต้องตื่นแต่เช้าเพื่ออ่านหนังสือ เธอลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อคลุมมาสวมอย่างเงียบเชียบ เพราะไม่้ารบกวนการนอนหลับของน้องชาย
หลังจากล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินออกไปดูที่หน้าบ้าน อาศัยความสว่างจากท้องฟ้าที่เพิ่งทอแสงเพียงรำไรสำรวจดูรอบบริเวณ แต่ก็พบแค่ความว่างเปล่า
เธอคิดในใจ สงสัยแม่ของเสี่ยวเฮยคงรู้ว่า หากเอาเนื้อมาให้เยอะ ที่บ้านจะกินกันไม่ทัน
ครั้งที่แล้วแม่เสี่ยวเฮยเอาเนื้อกวางมาให้ ผ่านไปสิบวันถึงค่อยเอาเนื้อหมูป่ามาวางไว้ให้ คาดว่าสองสามวันนี้มันยังคงไม่เอาตัวอะไรมาวางเพิ่ม
เธอเดินกลับเข้าไปในบ้าน หย่อนตัวนั่งที่หน้าประตูห้องครัวแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน โดยอาศัยแสงสว่างจากท้องฟ้าด้านนอก
ไม่รู้ว่าเป็เพราะการอ่านหนังสือตอนเช้าจะจดจำได้ดีกว่า หรือเป็เพราะสมองของเธอพอมีความทรงจำเกี่ยวกับความรู้พวกนี้อยู่แล้ว อ่านแค่ไม่นานก็จำเนื้อหาได้แม่น
เซี่ยโม่ค้นพบว่า ั้แ่กลับชาติมาเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็ความจำหรือทักษะในการทำความเข้าใจล้วนดีกว่าชาติที่แล้วมาก ซึ่งถือว่าเป็เื่ที่ดี
เวลาล่วงเลยผ่านไป ท้องฟ้าด้านนอกก็ค่อยๆ ทอแสงแรงกล้าขึ้น เมื่อเห็นว่าตนเองอ่านจนจำเนื้อหาได้หมดแล้ว เธอเลยไปจุดไฟเพื่อทำกับข้าว
กระทั่งคุณยายตื่นนอนแล้วเดินเข้ามาในห้องครัวก็ได้กลิ่นหอมของอาหารโชยทั่ว
“โม่โม่ หลานกำลังทำข้าวเช้าอยู่เหรอ”
“คุณยายคะ อาหารใกล้จะทำเสร็จแล้วค่ะ หนูทำโจ๊กมันเทศแล้วก็ต้มไข่ห้าฟองสำหรับกินคนละฟองค่ะ
คุณยายเอ่ยถามอย่างสงสัย “ในบ้านมีไข่ไก่ด้วยเหรอ”
ครั้นโดนทักถึงค่อยนึกขึ้นมาได้ เธอยังไม่ได้คิดที่มาที่ไปของไข่ไก่เลยนี่นา จะบอกว่าเมื่อวานพี่ซ่งเอามาฝากก็ไม่ได้ เพราะทุกคนย่อมเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้เอาอะไรติดไม้ติดมือมา
เธอจึงเอ่ยตอบออกไปว่า “เมื่อวันก่อนตอนหนูเข้าไปในตำบลบังเอิญเจอคนขายไข่ไก่พอดีน่ะค่ะก็เลยซื้อกลับมา แต่ลืมเอาไว้ในกระเป๋านักเรียน เขาขายถูกมากเลยนะคะ ฟองละห้าเฟิน[1]เองค่ะ”
“ไม่แพงจริงๆ ด้วย ว่าแต่หลานยังมีเงินเหลืออยู่ใช่ไหม” คุณยายพยักหน้ารับรู้
“ยังมีอยู่เยอะเลยค่ะ ยังไม่รวมเงินค่าชดเชยที่ได้จากตอนนั้น ลำพังแค่เงินที่ได้จากการขายสมุนไพร ถึงเอาไปใช้ซื้อจักรยานแล้วก็ยังเหลือค่ะ”
คุณยายพยักหน้ารับรู้อีกครั้ง “พวกหลานอยู่ในวัยกำลังโต ต้องกินไข่เยอะๆ”
“คุณตา คุณยาย และอาจารย์ก็ต้องกินไข่ด้วยค่ะ”
ยุคนี้ไข่ไก่ล้วนได้มาจากไก่ที่เลี้ยงตามบ้าน ไข่ไก่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย กินไข่หลายฟองย่อมดีต่อร่างกายแน่นอน
เธอวางแผนในใจ วันไหนได้เข้าไปในตำบลแล้วเจอคนขายไข่ไก่ เธอจะซื้อกลับมาให้มากหน่อย
“ถ้าหนูเจอคนขายไข่ไก่คนนั้นอีกหนูจะซื้อกลับมาอีกนะคะ”
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึง่สอบกลางภาค
ระยะเวลาสำหรับการสอบคือสองวัน นักเรียนทุกคนต่างหน้าดำคร่ำเครียดและเหนื่อยล้ากันอย่างมาก
เซี่ยโม่เองก็รู้สึกเหนื่อยเช่นกัน แม้การพักผ่อนแค่ไม่กี่นาทีจะช่วยทำให้สมองหายล้าจากการสอบได้ แต่เธอเลือกที่จะไม่ทำ วันนี้เป็วันสอบกลางภาควันที่สอง ทุกคนสามารถกลับบ้านได้เลยหลังสอบเสร็จ
เซี่ยโม่นึกถึงคุณปู่ที่ร้านของเก่าขึ้นมา ก่อนนี้เธอสัญญาเอาไว้ว่าจะนำผลไม้ไปฝากให้หลานของอีกฝ่าย เช่นนั้นอาศัยโอกาสนี้ไปหาเลยดีกว่า
คิดได้ดังนั้นก็ขี่จักรยานไปที่ร้านของเก่า พอใกล้ถึงร้าน เธอมองเข้าไปในโกดังสินค้าพร้อมกับครุ่นคิดว่าจะเลือกผลไม้อะไรไปเป็ของฝากดี
ฤดูนี้แอปเปิลกับส้มกำลังออกผลพอดี ในโกดังสินค้าของเธอมีแต่ผลไม้ลูกใหญ่ๆ ทั้งนั้น เธอหยิบขนมปังกรอบออกมาด้วย เพียงแค่นี้ก็จัดเตรียมของฝากเสร็จเรียบร้อย
เธอขี่จักรยานไปยังร้านของเก่าต่อ คุณปู่ยังคงนั่งอยู่หน้าร้านเช่นเดิม “คุณปู่ ฉันมาแล้วค่ะ”
พอคุณปู่เห็นเธอก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ “เธอนี่โชคดีจริงๆ เมื่อสองวันก่อนฉันเพิ่งบ่นถึงเธอไปเอง ปรากฏว่าวันนี้เธอก็มาหาฉันแล้ว”
เหมือนอีกฝ่ายจะพูดเป็นัยว่ากำลังรอเธออยู่ เซี่ยโม่แอบดีใจแต่ก็ไม่ได้กระโตกกระตาก หรือว่าคุณปู่จะมีของดีเก็บไว้ให้?
“คุณปู่คะ ฉันเอาผลไม้กับขนมมาฝากค่ะ”
เธอพูดพร้อมกับหยิบผลไม้กับขนมออกมาจากกระเป๋านักเรียน
พอคุณปู่เห็นแอปเปิลลูกสีแดงสด ส้มสีเหลืองทอง และขนมปังกรอบ ใบหน้าก็ระบายด้วยรอยยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม “ลำบากเธอแล้ว”
เธอเอ่ยอย่างไม่คิดมาก “แค่เื่เล็กค่ะ ไม่ลำบากเลย”
คุณปู่มองเด็กสาวตรงหน้าพร้อมกับชื่นชมในใจ เด็กคนนี้นี่ใจกว้างดียิ่ง
“สาวน้อย จำหินที่เธอเอากลับไปคราวที่แล้วได้ไหม”
เซี่ยโม่พยักหน้า เธอสงสัยมาตลอดเลยว่าทำไมร้านของเก่าถึงมีหยกดิบได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ถามออกไป
หยกดิบที่นำกลับไปเมื่อคราวก่อน เธอยังไม่ได้ลองใช้เครื่องตัดหินเพื่อพิสูจน์ดูเลยว่าที่คาดเดาไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ หรือว่าคุณปู่ได้หยกดิบมาอีกแล้ว?
คุณปู่ไม่รู้จริงๆ หรือว่าหินพวกนั้นคือหยกดิบ หรือรู้แต่แกล้งทำเป็ไม่รู้กันแน่
คุณปู่อธิบายเพิ่ม “หินพวกนั้นเพื่อนฉันเป็คนให้มา บอกว่าเป็ของดี เมื่อวานเพื่อนฉันมาหาแล้วถามว่ามีคนสนใจหินพวกนั้นไหม เขายังมีอีกหลายก้อน ถ้ามีคนอยากซื้อเขาสามารถขายให้ได้ในราคาถูก คิดก้อนละสิบหยวน ฉันเห็นเธอสนใจหินพวกนั้นก็เลยลองถามดู”
แววตาเธอพลันเป็ประกายทันที ถ้าการคาดเดาของเธอถูกต้อง หยกดิบก้อนละสิบหยวนถือว่าราคาถูกยิ่ง
“คุณปู่คะ สถานที่เก็บหินพวกนั้นอยู่ไกลไหมคะ” เธอเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ
---------------------------
[1] เฟิน เป็หน่วยเงินของจีน สิบเฟินเท่ากับหนึ่งเหมา ซึ่งสิบเหมาเท่ากับหนึ่งหยวน
