ยามราตรี ความเงียบสงัดในกระโจมแต่แรกเริ่มถูกทำลายด้วยเสียงที่เกิดขึ้นกะทันหัน มือของฉู่เฟิงค้างแข็ง หยุดการกระทำทุกอย่างโดยสิ้นเชิง
ทำไมก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมถึงเกิดเสียงอย่างนี้ได้?
บนก้อนหินปรากฏรอยแยกขึ้น
ฉู่เฟิงวางมันลงกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น พลางตรวจดูอย่างละเอียด วันนี้พบเจอเื่ประหลาดมาหลายเื่ เขาระแวงอย่างถึงที่สุด
“กล่องหิน?!” เขารู้สึกประหลาดใจ
ลวดลายรอบก้อนหินพวกนั้น เคยซ่อนรอยแยกได้อย่างแเี แต่เมื่อถูกเปิดออกจึงเห็นได้อย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้ กล่องหินปิดสนิทแม้เส้นไหมก็ไม่อาจลอดผ่าน ผสานกันดั่งเป็ชิ้นเดียวกัน เมื่อมีลายเส้นพรางตาก็ยากยิ่งที่จะพบเห็นความผิดปรกติ
ใครมันจะไปรู้ว่านี่เป็กล่องหินทรงลูกบาศก์? สูงสามนิ้วเก่าคร่ำคร่า
เื่มาถึงขนาดนี้ ฉู่เฟิงก็เริ่มจะคาดหวัง เพราะกล่องหินลึกลับนี้เก็บมาจากเชิงเทือกเขาคุนหลุน ตอนแรกก็คิดว่ามันเป็เพียงก้อนหินเท่านั้น ใครจะไปคาดฝันว่ายังมีความลึกลับซับซ้อนซ่อนอยู่
ฉู่เฟิงเอาอ่างสำริดในกระโจมมาขวางไว้ตรงหน้า ใช้เป็เกราะกำบังแล้วค่อยๆ ขยับให้รอยแยกห่างขึ้น เปิดกล่องหินอย่างระมัดระวัง
“กึก!”
ฝากล่องแยกออก แต่กลับไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ ไร้ซึ่งอันตรายใดๆ
ฉู่เฟิงค่อยวางใจสำรวจภายในกล่องหิน
เขาคาดหวังอยู่หน่อยๆ ว่ามีความลับอะไรอยู่ข้างในกันแน่?
ช่องว่างข้างในกล่องหินเล็กอย่างยิ่ง เป็เพียงหลุมเว้าตื้นๆ แทบจะใส่อะไรลงไปไม่ได้เลย เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถซ่อนของจำพวกมุกเม็ดงามหรือหยกล้ำค่าได้
แต่ว่าข้างในนั้นมีสิ่งของอยู่จริงๆ
ในหลุมเว้านั่น มีเมล็ดพันธุ์อยู่สามเมล็ด นั่นก็แทบจะเต็มหลุมอยู่แล้ว นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
ฉู่เฟิงค่อนข้างจะผิดหวัง กล่องหินที่เก็บมาจากเชิงเขาคุนหลุน แต่แรกก็นึกว่าจะซ่อนสมบัติล้ำค่าอะไรไว้ ผลที่ออกมากลับกลายเป็ว่ามีแค่เมล็ดพันธุ์สามเมล็ดเท่านั้น
เมล็ดหนึ่งสีดำสนิทแห้งไปนานแล้ว มันดูบิดเบี้ยวผิดรูปไร้ซึ่งพลังชีวิตอย่างสิ้นเชิง
อีกเมล็ดมีสีน้ำตาลอมม่วง รูปร่างแบนรีเหมือนกับถูกกดทับ มันมีขนาดประมาณเล็บนิ้วมือ
เมล็ดสุดท้ายดูจะปรกติที่สุด นอกจากเปลือกนอกที่เหี่ยวย่นแล้ว ก็นับว่ายังคงรูปอยู่ อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่ได้แห้งฝ่อ ทั้งเมล็ดยังเป็ทรงกลมแค่เพียงแห้งจนเหลืองเท่านั้น
ฉู่เฟิงนิ่งอั้น มีแค่เมล็ดพันธุ์สามเมล็ดเท่านั้นหรือ? สองในนั้นเหี่ยวแห้งจนผิดรูป นี่มัน...ผิดจากที่เขาคิดไว้มาก
ความที่คิดว่ากล่องหินที่เก็บได้จากเชิงเขาคุนหลุนนั้นมีความลึกลับ ไม่แน่อาจเก็บงำสิ่งที่น่าสนใจไว้ก็เป็ได้ สุดท้ายกลับกลายเป็แค่ของธรรมดาบ้านๆ อย่างนี้
เขาวางเมล็ดพันธุ์ทั้งสามในฝ่ามือ เพ่งดูโดยละเอียด ไร้ซึ่งความพิเศษใดๆ โดยสิ้นเชิง
ของพวกนี้ถูกฝังอยู่ใต้ดินมานานแค่ไหนแล้ว? ไม่อาจประเมินได้ ทว่าดูจากอายุของกล่องหินแล้วก็น่าจะเนิ่นนานพอดู ลวดลายพวกนั้นก็เลือนรางเช่นกัน
นี่เป็ของจากยุคโบราณอย่างนั้นหรือ?
แต่ว่า หากว่าเป็ของโบราณจริง เมล็ดพันธุ์ทั้งสามที่ไม่เน่าสลายหลังจากนำออกมาจากผืนดิน ก็นับว่าไม่เลวอยู่
ของเก่าแก่บางอย่างที่ถูกปิดฝังอยู่ใต้ดิน มีความเป็ไปได้ว่าเมื่อพบเจอแสงตะวันจะแตกสลายไปในทันที
ฉู่เฟิงมองแล้วมองอีก จะอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าพวกมันเป็เมล็ดพันธุ์อะไร ด้วยไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่าควรจะจับคู่กับพืชสามชนิดไหน
เขาพูดไม่ออก เมื่อครู่ยังรู้สึกตื่นเต้นคึกคักกับการแอบดูสมบัติลับอยู่เลย แต่ตอนนี้ได้แต่นั่งบื้อจ้องเมล็ดพันธุ์แห้งๆ สามเมล็ด!
“ไว้หาโอกาสปลูกดูแล้วกัน ดูซิว่าจะงอกเป็ต้นอะไร” ฉู่เฟิงคิด
เพียงแต่ เมล็ดพันธุ์ทั้งสามข้ามผ่านกาลเวลามานานไปหน่อย เขาออกจะกังวลเล็กน้อย มันจะยังงอกได้ไหมนะ สองในนั้นก็แห้งฝ่อไปแล้ว
“ถ้างอกจริงๆ ขอแค่ไม่ใช่หญ้าพิษก็ใช้ได้แล้ว ถึงตอนนั้นจะงอกออกมาเป็เม็ดถั่วหรือจะผักอะไรก็ตาม ก็ยังนับว่าเป็พืชยุคโบราณล่ะนะ” เขาหัวเราะในที่สุด
ท้องฟ้าบนที่ราบสูงห่างจากพื้นดินใกล้เพียงเอื้อม ดวงดาราสุกใส แสงจันทร์อบอุ่นนุ่มนวล อาบไล้ดินแดนที่โดดเดี่ยวและรกร้างว่างเปล่าอันกว้างใหญ่นี้
ยามดึกเงียบสงัดไปทุกแห่งหน
ในความเลือนราง ฉู่เฟิงได้ยินเสียงร้องกึกก้องของสัตว์ร้ายดังมาจากทางเขาคุนหลุน เสียงที่สะท้อนก้องในเทือกเขาปลุกให้เขาตื่นจากความฝัน
ที่ที่เขาพักแรมห่างจากที่นั่นอยู่มาก สามารถได้ยินเสียงคำรามหนักๆ กลางดึกอย่างนี้มันชวนให้ผู้คนแตกตื่นอย่างยิ่ง
เห็นได้ชัดว่า ในเขาคุนหลุนต้องมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้น ฟังเสียงแล้วไม่น่าจะเป็เสียงของมาสทิฟฟ์หรือจามรีตัวนั้น คงมีสัตว์ร้ายตัวอื่นปรากฏตัว
ท่ามกลางความคลุมเครือ แรงสั่นะเืเบาๆ ส่งมาจากทางเทือกเขา ยิ่งทำให้วุ่นวายมากขึ้น
พวกคนเลี้ยงสัตว์ตื่นใต่างสวดมนต์กันอย่างงมงาย หันหน้าไปทางบรรพตศักดิ์สิทธิ์คุกเข่าลงกราบกราน ปากก็พึมพำพร่ำบ่น
ฉู่เฟิงเองก็ลุกออกจากกระโจม เขาได้ยินคนเลี้ยงสัตว์ชราผู้หนึ่งพูดว่า
“พระพุทธผู้มีชีวิตตื่นจากการหลับใหลแล้ว”
ฉู่เฟิงไม่เข้าใจถึงแม้ว่ามีพระโบราณ แล้วเสียงคำรามของสัตว์นั่นมาได้อย่างไร?
“เธอไม่เข้าใจ นี่เป็ตำนานของพวกเาาวทิเบต พรุ่งนี้เธอรีบไปจากที่นี่ดีกว่า” คนเลี้ยงสัตว์ชรากล่าว
“หรือว่าสัตว์เทพพวกนั้นที่อยู่บนเขาจะออกมา?” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเอ่ยปาก
ตำนานเล่าว่า ลึกเข้าไปในที่ราบสูงแห่งบรรพตศักดิ์สิทธิ์ มีสัตว์แห่งาหลายตนหลับใหลอยู่ บางตนเปรียบประหนึ่งเทพเ้า พละกำลังมหาศาล สามารถปราบมารได้ แล้วก็มีบางตนที่ดุร้ายเกรี้ยวกราด สามารถก่อภัยพิบัติได้
ฉู่เฟิงฟังแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงเขาจะไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ชาวทิเบตกล่าวมานั้นไม่มีมูล
ก็ในเมื่อ เขาประสบกับเหตุการณ์บนเขาสำริดมาแล้วด้วยตัวเอง สัตว์ร้ายพิสดารพวกนั้นก็เห็นมาแล้ว
อย่างเช่นนกดุร้ายสีทองตัวนั้น ปีกกว้างห้าหกเมตร หากว่าเป็ในอดีตจะต้องได้รับการเรียกขานเป็พญาครุฑปีกทอง อย่างไม่ต้องสงสัย
จามรีสีดำปลอดแวววาวทั้งตัวนั่นสูงเมตรกว่า แม้แต่พวกเสือดาวกับหมาป่าหนุ่มยังเกรงกลัว พละกำลังมหาศาล ยามย่ำเท้าให้สะท้านไหวไปทั้งยอดเขาสำริด หากเป็ในยุคโบราณย่อมได้รับการเรียกขานเป็ปีศาจวัวอย่างแน่นอน
นิทานปรัมปราบางเื่ก็เหลือเชื่อ นานวันเข้าก็กลายเป็เื่ลี้ลับ โดยเฉพาะยามที่คนเก่าแก่บันทึกเื่ราว ทุกเหตุการณ์จะถูกขยายใหญ่โต ที่นี่ก็คงไม่ต่างกัน
ครึ่งคืนหลัง ที่ราบสูงเวิ้งว้างก็สงบลงในที่สุด เสียงคำรามหนักหน่วงของสัตว์ร้ายในูเาห่างไกลนั่นเงียบไปแล้ว
แสงจันทร์นวลตา ประดุจหมอกบางคลี่คลุม ที่แห่งนี้เหมือนดั่งกับว่าเชื่อมต่อกับท้องฟ้า เลือนรางและเงียบงัน
คนเลี้ยงสัตว์สิ้นความกังวล ถอนใจกันยืดยาว
ฉู่เฟิงเองก็กลับเข้ากระโจม จมลงสู่ห้วงนิทรา
วันรุ่งขึ้น ฉู่เฟิงออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ทันทีที่เดินทางมาถึงเมืองใหญ่ของเขตตะวันตก เขาคิดจะขึ้นรถไฟจากที่นี่กลับบ้าน
หลังยุคแห่งความรุ่งเรือง หลังจากผ่านการทะนุบำรุงฟื้นฟู ถึงแม้จะไม่รุ่งเรืองเท่าเทียมอดีต แต่ช่องว่างก็ไม่นับว่าห่างไกลกันมาก การคมนาคมทุกประเภทก็เรียกได้ว่าสะดวกสบาย
่เวลาที่ฉู่เฟิงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาตัดขาดทุกสิ่งอย่างจากโลกภายนอก มาวันนี้กลับคืนสู่เมืองใหญ่ ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
ตลอดเวลาที่อยู่บนที่ราบสูง ในทะเลทราย ในเทือกเขา เขาปิดเครื่องมือสื่อสารที่พกติดตัว พอเปิดเครื่องอีกครั้งข้อความหลากหลายก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
พ่อกับแม่พร่ำเตือนเขาให้ระวังตัวยามอยู่นอกบ้านคนเดียว ความปลอดภัยต้องมาก่อน พวกเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยก็ถามว่าเขาจะกลับเมื่อไหร่ แล้วก็พวกข้อความอื่นๆ
ฉู่เฟิงตอบกลับทีละข้อความ จนกระทั่งได้เวลาขึ้นรถไฟ
นอกจากของกินเล่นกองใหญ่ที่เขาซื้อมาแล้ว สัมภาระของเขาเองก็ไม่มาก ระหว่างทางกลับมาก็ทิ้งไปบ้างแล้ว
หาที่นั่งของตัวเองพบแล้วก็วางข้าวของ เขาถือเครื่องมือสื่อสารในมือ เริ่มอ่านข่าวที่เกิดขึ้นใน่นี้ แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจอย่างไม่หยุดหย่อน
หลายวันมานี้ทุกที่ในประเทศล้วนเกิดหมอกหนา ไม่เว้นแม้แต่ต่างประเทศ มีสีฟ้าจาง สีแดงเข้ม สีม่วงก็มี กระจายตัวเป็วงกว้าง
มีคนพูดว่า นี่เป็ความผิดปรกติที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำของรังสีนิวเคลียร์ ที่หลงเหลือจากาในครั้งนั้น
แต่ผู้เชี่ยวชาญก็รีบออกมาปฏิเสธ มีประกาศต่อสาธารณชนว่าทุกอย่างปลอดภัย หมอกนี่เป็เพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ต้องหวั่นกลัวแต่อย่างใด
ในการทำสำรวจความเห็นของประชาชน ก็มีอีกเสียงสะท้อนออกมา บอกว่านี่เป็อุบัติภัยอย่างที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง และกระจายไปทั่วทุกมุมโลกเหมือนในอดีต
เกี่ยวกับเื่นี้ไม่มีใครกล้ายืนยันเป็มั่นเหมาะ เพราะว่าหลังจากยุคแห่งความรุ่งเรือง เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็ครั้งแรก ลึกๆ แล้วยังมีเงื่อนงำอยู่
“นี่มันเื่อะไรกัน กลางอากาศมีต้นไม้โผล่ออกมา นี่มันแปลกประหลาดจริงๆ”
พอรถไฟออกเดินทาง ก็มีตาอ้วนคนหนึ่งเดินมานั่งตรงหน้า ท่าทางอายุอานามใกล้เคียงกับฉู่เฟิง หุ่นแบบตัวอักษรจง (中 แปลว่า กลาง) ่เอวไม่เล็ก ใบหน้าอวบอ้วน ใบหูกว้าง เวลายิ้มลูกตาหยีจนเหลือแค่สองเส้น อย่างกับพระสังกัจจายน์
เขาให้ความรู้สึกของความรื่นเริง ยามไม่เอ่ยปาก ก็รู้สึกได้ถึงความเมตตา เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนพระสังกัจจายน์
ฉู่เฟิงแย้มยิ้มทันที คนคนนี้ไม่ก่อความเดือดร้อนให้คนอื่นอย่างแน่นอน
“พี่น้อง จะไปไหนล่ะ?” พอเริ่ม ตาอ้วนก็ทักทายอย่างเป็กันเอง
“เชิงเขาไท่หังซาน” ฉู่เฟิงยิ้มพลางตอบ
“เรามันคนบ้านเดียวกันรึเปล่าเนี่ย? บอกพิกัดให้ชัดเจนซิ” ตาอ้วนหัวเราะร่า
พอถามไถ่ ก็รู้ว่าจุดหมายปลายทางของทั้งคู่เป็ที่เดียวกัน ยิ่งรู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น คนบ้านเดียวกันแท้ๆ
ตาอ้วนชื่อโจวเฉวียน1 เป็ชื่อที่ ‘ปลอดภัย’ ดีจริงๆ เขาเคยเรียนหนังสือในเขตตะวันตก มาเที่ยวครั้งนี้ก็คือตั้งใจกลับมาเยี่ยมเยียนสักหน่อย
ฉู่เฟิงเลยเป็ฝ่ายเริ่มชวนโจวเฉวียนคุย ที่ใน่หลายวันนี้ มีสำนักข่าวออกข่าวเื่พบต้นไม้ประหลาดล่องลอยอยู่ในอากาศ นี่มันพิสดารไปหน่อย
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมพวกมันถึงไม่ร่วงลงมา!” ตาอ้วนโจวซุบซิบ
ฉู่เฟิงอ่านข่าวนั่นแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“คงไม่เกิดเื่อะไรหรอกนะ?” โจวเฉวียนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ขอให้ปลอดภัยทีเถอะ โลกนี้ยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใจยากขึ้นทุกทีแล้ว” คนข้างๆ พูดขึ้นมา
“นั่นสิ ปลอดภัยน่ะดีที่สุดแล้ว ทำให้ผู้คนเป็กังวลกันจริงๆ เลย”
แค่นี้ก็แทบจะเกิดเสียงอื้ออึง หลายคนเออออเห็นด้วย
“จะช้าเร็วก็เกิดขึ้นอยู่ดี ตอนนั้นก็มีเหตุการณ์ลี้ลับที่ยากจะเข้าใจเกิดขึ้นตั้งหลายเื่ สารพัดข่าวลือก็แพร่สะพัดกันไป” มีคนเอ่ยเสียงเบา
แล้วก็ชุลมุนกันขึ้นทันที เื่ไหนอะไรยังไง เต็มไปหมด
สองชั่วโมงให้หลัง โจวเฉวียนกับฉู่เฟิงสนิทสนมกันอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็คนบ้านเดียวกัน ก็เหมือนใกล้ชิดกันมาแต่กำเนิด
เขาขยับเข้าไปใกล้ พูดกับฉู่เฟิงลับๆ ล่อๆ “หลายวันก่อนนะ ญาติฉันบอกว่าเขารู้จักคนประหลาดคนหนึ่ง บอกว่าโลกนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
“จะเปลี่ยนแปลงยังไง?” ฉู่เฟิงถาม
“จะมีเื่พิสดารยากที่จะเข้าใจเกิดขึ้น” ตาอ้วนโจวพูดเสียงแ่เบา
“ฉันว่านายนั่นแหละที่พิสดารยากจะเข้าใจ” ฉู่เฟิงตอบพลางหัวเราะ
“จริงนะ นายเชื่อฉันสิ ญาติฉันคนนี้ไม่ใช่คนพูดเหลวไหล ปรกติเป็คนเข้มงวดและเชื่อถือได้อย่างมาก คนที่เขาติดต่อด้วยก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง” ตาอ้วนทำตาโต
ฉู่เฟิงยิ้มพลางส่ายหน้า
ตาอ้วนดูท่าทางฝ่อลงเล็กน้อย บอกว่า “ที่จริง ฉันก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอก คนประหลาดนั่นพูดจาเพ้อเจ้อ แค่หลุดออกมาคำสองคำ ก็เอามาตีความกันว่าพวกเทพปกรณัมของชาวตะวันตกบางองค์น่ะ เพาะปลูกขึ้นมาแล้วยังบอกว่าเทพเ้าของทางเราก็ไม่ต่างกันหรอก”
“พรวด!”
คนข้างๆ ที่กำลังดื่มน้ำอยู่ พอได้ยินเข้าก็พ่นน้ำออกมาพรวด หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง
“ชิ้วๆๆ หัวเราะอะไรกันหา ไม่เล่าแล้ว” ตาอ้วนเองก็รู้สึกขายหน้าพอกัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1 周全 โจวเฉวียน หมายถึง โดยรอบ ตลอด ในชื่อมีตัว 全 ที่มาจาก 安全 อันเฉวียน หมายถึง ปลอดภัย เป็การเล่นคำ