หลังหลินหร่านแต่งตัวเสร็จ ติงหร่วนจึงเรียกให้คนนำอาหารเข้ามาให้
แต่เมื่อหลินหร่านถามถึงอวี้ฉู่จาวก็พบว่าเขายังไม่ได้กินข้าวแล้วออกไปทันที ทำให้หลินหร่านไม่อยากแม้แต่ขยับตะเกียบ อยากรอท่านอ๋องกลับมารับประทานพร้อมกัน
ติงหร่วนพยายามโน้มน้าวให้รับประทานอาหารก่อน แต่ทำอย่างไรคุณชายน้อยของเขาก็ไม่ยอม
ลุงตงคอยมองดูจากหน้าประตูตลอดเวลา และคิดว่าเด็กที่ชื่อหลินหร่านผู้นี้ช่างทำสิ่งที่ไม่จำเป็เสียจริง ทนหิวเพื่อท่านอ๋องได้เชียวหรือ
“ท่านกินไปเถิด” ลุงตงเข้ามาในห้องพร้อมเอ่ย
หลินหร่านมองผู้ดูแลตำหนักที่เดินเข้ามา ที่แม้แต่อวี้ฉู่จาวยังเรียกว่า ‘ลุง’ แล้วรีบลุกขึ้นทันที
“ลุงตง...อรุณสวัสดิ์ขอรับ” หลินหร่านก้มศีรษะคารวะ
ลุงตงใไม่น้อย สับสนว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงคารวะตน
ลุงตงพยักหน้ารับด้วยความงงงวย ดูไปแล้วคงเป็เด็กที่ถ่อมตัวอยู่ไม่น้อย นิสัยใจคออาจไม่แย่อะไร
“ตอนนี้ไม่เช้าแล้ว จวนจะเที่ยงวันขอรับ” ลุงตงกล่าวพร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย แสดงถึงท่าทีที่ไม่คอยพอใจนัก
หลินหร่านพอจะเข้าใจความหมายเลยรู้สึกประหม่า ตนเองมานอนบ้านผู้อื่น แถมยังตื่นสายจนตะวันจะแยงก้นแล้ว ถือว่าไม่ค่อยมีมารยาทนัก
“ขออภัย...ต่อจากนี้ข้าจะไม่ทำอีกขอรับ” หลินหร่านรู้สึกผิด
“ช่างเถิด ถึงท่านอ๋องจะตามใจท่าน แต่ภายภาคหน้า หากท่านเข้ามาอยู่ในตำหนักแล้วต้องเรียนรู้ที่จะโน้มน้าวท่านอ๋องเสียบ้าง”
“ทราบแล้วขอรับ” หลินหร่านว่านอนสอนง่าย ราวกับกระต่ายขาวตัวน้อยพร้อมทำตามคำสั่ง
หลังจากนั้นลุงตงก็มองโต๊ะอาหารในตอนนี้ ‘อาหารเช้ากับอาหารเที่ยง’ ยังคงวางอยู่ ไม่ได้ถูกแตะต้องแม้แต่น้อย จึงเอ่ยโน้มน้าวหลินหร่าน “คุณชายน้อยรีบรับประทานเถิด ไม่ควรรอท่านอ๋องเช่นนี้ ท่านอ๋องใกล้จะกลับมาแล้ว หากมาพบว่าคุณชายน้อยยังไม่กินอะไรเลยเกรงว่าจะถูกตำหนิเอา”
หลินหร่านมองลุงตงเป็แบบอย่าง อีกทั้งได้ยินว่าอาจโดนท่านอ๋องตำหนิเอา กลัวว่าท่านอ๋องจะโกรธ ผลสุดท้ายจึงยอมจับตะเกียบขึ้นมา
หลังจากที่กินไปได้ไม่กี่คำ อวี้ฉู่จาวก็กลับมา
มีลุงตงคอยยืนจ้องอยู่ข้างๆ ทำให้หลินหร่านรับประทานอย่างระมัดระวัง แทบไม่รู้รสชาติอาหารเลย
พอเห็นอวี้ฉู่จาวกลับมาเขาจึงหันไปมองทันที
หลินหร่านรีบลุกขึ้น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแห่งความดีใจ “ท่านอ๋อง”
อวี้ฉู่จาวถอดเสื้อคลุมออก ก่อนที่ลุงตงจะเข้ามารับไปเก็บ
“หลับสบายไหม” อวี้ฉู่จาวจับมือทั้งสองข้างของหลินหร่านพลางเอ่ยถาม
“อื้อ...มีท่านอ๋องอยู่ด้วย นอนหลับไปอย่างสบายใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ประโยคที่เอ่ยตอนท้าย หลินหร่านอยากบอกให้อวี้ฉู่จาวได้รับรู้
แม้ว่าประโยคหลังหลินหร่านจะไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่ดังนัก อวี้ฉู่จาวก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน รอยยิ้มจึงปรากฏบนใบหน้าสง่างาม
“ท่านอ๋องรับประทานอะไรมาหรือยัง” หลินหร่านยังคงจำได้ว่าอวี้ฉู่จาวยังไม่ได้กินอะไรก่อนออกไป
“ตอนไปค่ายทหารทางชานเมืองตะวันตก ข้ากินขนมรองท้องมาบ้างแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องรีบมารับประทานเถิด กินแค่ขนมไม่อิ่มท้องหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ดีสิ”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็นั่งรับประทานมื้อเช้าของหลินหร่านด้วยกัน
“ข้าให้เงินปีใหม่กับเ้าไว้ เ้าเห็นหรือยัง” อวี้ฉู่จาวถามหลังจากวางถ้วยกับตะเกียบลง
“เห็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง” หลินหร่านก็กินจนอิ่มแล้วเช่นกัน เขาวางตะเกียบในมือลงแล้วเอ่ยขึ้นมาอีก “แต่ว่า...ข้าโตแล้ว หากให้เงินปีใหม่เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสม”
แต่ไหนแต่ไรหลินหร่านไม่เคยได้รับเงินปีใหม่เลย เขาเพิ่งเคยได้รับครั้งแรกและยังได้รับจากท่านอ๋องจึงรู้สึกปลาบปลื้ม แต่ว่าตอนนี้เขาโตแล้ว หากยังรับเงินปีใหม่เหมือนเด็กน้อยอยู่อีกคงได้ถูกหัวเราะเยาะแน่
“ไม่เป็ไร เงินปีใหม่ถือเป็ของมงคล หากให้กับคนสำคัญก็เท่ากับแสดงความไว้ใจ”
หลินหร่านพยักหน้ารับ
“พ่อของเ้ากลับมาแล้ว” จู่ๆ อวี้ฉู่จาวก็กล่าวขึ้น “แม่ทัพฮวาเวยกลับมาแล้วเมื่อเช้า ข้าไปค่ายทหารที่ชานเมืองตะวันตกเพื่อจะมอบกำลังทหารส่วนหนึ่งให้เขา แต่ข้ากลับไม่พบ”
หลินฮวาเหนียนขอเข้าพบท่านแม่ทัพใหญ่ แต่เมื่ออวี้ฉู่จาวไปถึงก็ไม่พบเขา
อย่างไรไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาต้องได้พบกันแน่นอน ไม่ต้องรีบร้อน ให้เขารีบกลับไปเมืองหลวงเพื่อจัดการธุระในจวนก่อนจะเป็การดีกว่า
“เขา...ท่านพ่อถึงบ้านหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
หลินหร่านไม่เคยพบหลินฮวาเหนียนมาก่อน ความทรงจำของเ้าของร่างเดิมที่มีอยู่นั้น เขาจำได้เพียงความทรงจำก่อน่สิบขวบ
ดังนั้น สิ่งที่หลินฮวาเหนียนปฏิบัติต่อ ‘หลินหร่าน’ ดีแค่ไหนก่อนที่จะไปป้องกันชายแดนนั้น เขาไม่อาจรับรู้ได้ เพราะหลินหร่านในตอนนั้นไม่ใช่ตัวเขา
ด้วยเหตุนี้ หลินหร่านจึงไม่รู้ว่าเขาควรมีความรู้สึกอย่างไร ควรปฏิบัติตัวเช่นไรกับคนผู้นั้น
เวลานี้ เขาได้แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย “เช่นนั้นข้าสมควรรีบกลับจวนใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อย่ารีบร้อน ตอนนี้ที่จวนแม่ทัพกำลังวุ่นวาย รอสักหน่อยเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะส่งเ้ากลับไป”
“...พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นเกิดเื่อะไรขึ้นหรือ” หลินหร่านถามกลับ
“ไม่มีอะไร ล้วนแต่เป็เื่ที่พวกเขาก่อขึ้นมาเอง บางคนก็ควรจะได้รับบทลงโทษ งานอภิเษกสมรสของพวกเราไม่้าแมลงไร้ประโยชน์เ่าั้หรอก”
ถ้อยคำของอวี้ฉู่จาว หลินหร่านเข้าใจเป็อย่างดี นางเว่ยต้องก่อเื่เป็แน่
หลังจากนั้น ละครฉากใหญ่ถูกฉายไปทั่วเมืองอวี้อัน เื่ตลกของจวนแม่ทัพฮวาเวยได้แพร่กระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ
วันนี้ แม่ทัพฮวาเวยมาส่งมอบกองกำลังที่ได้รับที่ค่ายทางชานเมืองตะวันตกให้กับหลินเซี่ยงตี๋ บุตรชายคนโตของเขา จากนั้นจึงรีบร้อนเดินทางกลับจวน
เื่ของบุตรชายคนรองถูกแต่งตั้งให้อภิเษกสมรสกับชายผู้ถูกขนานนามว่าเป็เทพเ้าแห่งานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เขายังไม่รู้สาเหตุแน่ชัด
สำหรับหลินฮวาเหนียนแล้ว เื่นี้น่าตกตะลึงพอๆ กับเื่ที่ลือไปทั่วเมืองหลวงในตอนนี้ไม่มีผิด เื่นี้นับเป็เื่ใหญ่สำหรับตะกูลหลินของเขาอย่างแน่นอน อีกทั้งไม่อาจไปถามท่านอ๋องผู้นั้นโดยตรงได้ คงต้องไปถามคนในจวนเท่านั้น
ใครจะไปรู้ว่าทันทีที่หลินฮวาเหนียนก้าวเข้ามาในเมืองอวี้อัน เขาจะพบกับนางเว่ย ฟูเหรินของเขา รวมถึงบุตรชายหลินเหลียงและบุตรสาวหลินเสี่ยวฉีที่ไม่ได้พบกันมาเจ็ดปีโดยพลัน
หลังจากที่เขาเห็นละครฉากใหญ่ตรงหน้า คำถามเกี่ยวกับงานอภิเษกสมรสของหลินหร่าน เขาพับเก็บมันไปก่อน
รุ่งเช้าของวันนี้ นางเว่ยกับบุตรสาวหลินเสี่ยวฉีเดินนำพร้อมถือธงแห่งการผิดประเวณี ออกตามหาหอเหลียงชุนในตรอกเยียนฮวาหลิ่วอันมีชื่อเสียง
นี่เป็เื่สำคัญยิ่งนัก ผู้คนส่วนใหญ่รับรู้แล้วว่าบุตรชายคนรองของฟูเหรินแห่งจวนแม่ทัพถูกแต่งตั้งให้อภิเษกสมรสกับท่านอ๋องผู้นั้น แต่ก็ยังแอบนัดพบกับชายอื่นที่หอเหลียนชุน ไม่สนใจพระราชโองการจากฮ่องเต้แม้แต่น้อย
ใครจะไปรู้ว่าละครฉากใหญ่วันนี้จะมีผู้คนมากมายพากันมารวมกันที่หอเหลียนชุนเพื่อมาดูเื่บัดสี
แต่ในขณะที่นางเว่ยเปิดประตูเข้าไปตามที่มีคนแจ้งเข้ามานั้น สิ่งที่ได้เห็นกลับกลายเป็บุตรชายแท้ๆ ของตนเอง เป็หลินเหลียงที่กำลัง...กับชายคนหนึ่งอยู่
นางเว่ยกับบุตรสาวตะลึงงัน ผู้คนเริ่มวุ่นวายกันไปหมด หลายคนรู้ว่านั่นไม่ใช่หลินหร่าน
ทุกคนต่างรู้ดีว่าชายผู้นั้นคือหลินเหลียง
จุดประสงค์ของนางเว่ยนั้น ้าที่จะทำให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงรับรู้ถึงเื่ราวของหลินหร่าน แต่กลับกลายเป็ผู้คนมากมายได้เห็นเื่น่าอับอายของบุตรชายแท้ๆ ของตน
ทว่า เื่ราวที่พลิกผันมากที่สุดคงเป็ชายผู้นั้นที่บุตรชายของตนนอนด้วย เขาคือคนของบุตรชายคนที่สองของอัครเสนาบดีฉินฉือ นามว่าฉินข่าย
ขณะนั้น ไม่รู้ว่าใครเป็คนไปลากเขามาดูเื่น่าตื่นเต้นนี้ แต่ฉินข่ายกับหลินเหลียงรีบพาชายผู้นั้นวิ่งหนีทันที
หลินเหลียงที่ถูกผู้คนเห็นในสภาพนี้รู้สึกไม่พอใจนัก อับอายจนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ทั้งสองคนหนีผู้คนจากหอเหลียนชุนออกมาบริเวณถนน ทำให้ผู้คนทั้งเมืองเห็นเขาหลบหนีไปไหนไม่ได้
นางเว่ยรู้สึกเหมือนตนเองช่างโง่เขลาไปพลางตะลึงงัน แต่เมื่อเห็นบุตรชายถูกทุบตีก็รีบพาหลินเสี่ยวฉีเข้าไปดึงหลินเหลียงออกมา หลังจากนั้น คนรับใช้ของตระกูลฉินกับตระกูลหลินก็รีบร้อนเข้ามาช่วยอีกแรง
จากนั้น ถนนที่คึกคักกลับกลายเป็ถนนที่มีกลุ่มคนกำลังวิวาท
ซึ่งหลินฮวาเหนียนก็ได้มาเห็นในเวลานี้พอดี
------------------------------------