เซี่ยโม่พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “คุณอาคะ เด็กสองคนจะน้ำหนักเท่าไรกันเชียว หากวันไหนที่โรงเรียนหนูมีกิจกรรม ไปรับกลับบ้านไม่ได้ อย่างน้อยพวกเขาจะได้เดินกลับบ้านเป็เพื่อนกัน”
คุณอาเหมยฮวาพยักหน้า “ก็จริง ยังไงทั้งสองคนก็ยังเด็กอยู่”
“คุณอาคะ งั้นก็ตกลงตามนี้นะคะ เด็กทั้งสองคนต้องไปเรียนให้ทันตอนแปดโมง พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวหนูกับน้องไปรับสือโถวน้อยที่บ้าน่เจ็ดโมงครึ่งนะคะ”
“ได้ งั้นพวกเรากลับกันเถอะ”
“คุณอาคะ หนูยังต้องไปทำเื่ย้ายที่โรงเรียนเดิมอีก เพราะพรุ่งนี้หนูต้องเริ่มไปเรียนม.ปลายที่โรงเรียนใหม่แล้ว” เธอบอกด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
คุณอาเหมยฮวาตาโตอย่างตกตะลึง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “โม่โม่ ไม่ใช่ว่าปีนี้เราต้องเรียนชั้นม.สองหรอกหรือ ทำไมถึงไปเรียนชั้นม.ปลายได้ล่ะ”
“คุณอาคะ หนูเห็นคุณตาคุณยายลำบากก็เลยอยากรีบเรียนให้จบไวๆ พวกท่านจะได้พักผ่อนเร็วๆ น่ะค่ะ”
“เราเป็เด็กที่กตัญญูจริงๆ แล้วจะเรียนตามเพื่อนทันเหรอ”
“ตามไม่ทันก็ต้องตามให้ทันค่ะ เรียนจบเร็วปีหนึ่ง คุณตาคุณยายก็จะได้พักผ่อนเร็วขึ้นอีกหนึ่งปี” เธอพยักหน้าพลางเอ่ยอย่างจนปัญญา
“โม่โม่ เราเป็เด็กรู้ความจริงๆ” คุณอาเหมยฮวาพูดชมจากใจจริง
เด็กสาวถอนหายใจ “ทำยังไงได้ล่ะคะ ที่บ้านมีกันหลายคน จะให้คุณตาคุณยายซึ่งอายุมากแล้วทำงานเลี้ยงดูพวกหนูก็ยังไงอยู่”
“งั้นก็รีบไปทำธุระเถอะ อากลับก่อนนะ” คุณอาเหมยฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงเห็นใจ
ทว่าจู่ๆ คุณอาเหมยฮวาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะถามต่ออีกประโยค “เราต้องไปส่งเด็กสองคนก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อ แบบนั้นเราจะไปเรียนทันเหรอ”
“ทันค่ะ โรงเรียนมัธยมปลายเข้าเรียนตอนแปดโมงสิบ ทันพอดีเลยค่ะ”
“งั้นก็ดี” คุณอาเหมยฮวาถอนหายใจอย่างโล่งอก
ต่อมาเธอหันไปหยอกสือโถวน้อย “สือโถวน้อย เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่สาวไปรับนะ อย่าตื่นสายล่ะ”
สือโถวน้อยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “พี่โม่โม่ ผมไม่ตื่นสายแน่นอนครับ รับรองว่าพรุ่งนี้ผมจะแต่งตัวเก็บของให้เรียบร้อยรอพี่มารับ”
หลังจากบอกลาสองแม่ลูกแล้ว เซี่ยโม่ก็ขี่จักรยานไปที่โรงเรียนเก่า
พอมาถึงหน้าโรงเรียน เซี่ยโม่เห็นนักเรียนสองคนยืนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าประตู เธอจูงจักรยานเดินเข้าไปในโรงเรียน ไม่ได้สนใจสิ่งอื่นมากนัก
ขณะเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น พลันได้ยินเสียงอันคุ้นเคยสองเสียงกำลังพูดคุยกัน
“ฉางเซิง นายว่าฉันควรทำยังไงดี”
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังดูเ็า “เื่ที่บ้านเธอเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย”
เซี่ยโม่คิดในใจ เด็กหนุ่มคนนี้เ็าใช่ย่อย
แต่จะว่าไป ทำไมเสียงของทั้งสองคนถึงฟังดูคุ้นหูชอบกล เสียงของเด็กสาวที่เพิ่งได้ยินไม่ใช่เสียงของเซี่ยอวิ๋นหรอกหรือ?
ตอนนี้คนลือกันไปทั่วว่า เพื่อให้มีบ้านซุกหัวเซี่ยอวิ๋นถึงกับต้องยอมเลี้ยงน้องชายต่างบิดา
เมื่อครู่เซี่ยอวิ๋นเรียกคู่สนทนาว่าฉางเซิง อย่าบอกนะว่าคือเด็กหนุ่มที่ตามตอแยเธอไม่เลิก เซี่ยวฉางเซิงคนนั้น?
หน้าตาไม่ดีแล้วยังจะเ้าชู้อีก สองคนนี้เป็คนจำพวกเดียวกันอย่างแท้จริง
เซี่ยโม่แกล้งทำเป็ไม่ได้ยินแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ พอเข้าไปในโรงเรียน เธอไปหาเ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำเื่ขอย้าย เสร็จเรียบร้อยจึงจูงมือน้องชายไปที่ลานจอดเพื่อจะขี่จักรยานกลับ
เวลานี้เองสายตาเธอเหลือบไปเห็นว่าเซี่ยวฉางเซิงกำลังตรงมาทางนี้ โดยที่ด้านหลังมีเซี่ยอวิ๋นเดินตามมา
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เธอถึงรู้สึกว่าทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมาก
ทันทีที่เซี่ยวฉางเซิงมองเห็นเธอ แววตาพลันเป็ประกาย พร้อมกับรีบวิ่งเข้ามาหา “โม่โม่ นี่น้องชายของเธอเหรอ พวกเธอกำลังจะไปไหน เดี๋ยวฉันขี่จักรยานไปส่ง”
เซี่ยอวิ๋นที่เดินตามมาด้านหลังมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ฉางเซิง เมื่อกี้นายบอกว่าจะพาฉันไปในตัวตำบลไม่ใช่เหรอ นายจะกลับคำไม่ได้นะ”
สีหน้าเซี่ยวฉางเซิงเปลี่ยนเป็ไม่พอใจ ก่อนจะหันไปตวาดใส่ “หุบปากไปเลย!”
เซี่ยอวิ๋นไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ได้แต่ใช้สายตาโกรธแค้นจ้องมองมาที่เธอ คล้ายอยากให้เธอหายตัวไปเสียตอนนี้
หมอนี่มาตามตอแยเธออีกแล้ว!
เธอยกยิ้มมุมปาก เซี่ยอวิ๋นยังคงชอบเที่ยวเตร่เหมือนเดิม ทิ้งน้องชายอายุแค่สองเดือนไว้ที่บ้าน ส่วนตัวเองไปเดินเที่ยวเล่นในตำบลสบายใจเฉิบ จิตใจทำด้วยอะไร?
เซี่ยโม่มองทั้งคู่อย่างดูแคลน พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “ฉันมีรถจักรยาน ไม่ต้องให้นายไปส่ง”
เซี่ยวฉางเซิงได้ยินข่าวที่เซี่ยโม่กับน้องชายถูกไล่ออกจากบ้านไปตัวเปล่าจนต้องไปอาศัยอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยายแล้ว เดิมทีเขานึกว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตที่ยากลำบาก
แต่พอวันนี้ได้เจอทั้งสองคน สองพี่น้องสวมเสื้อผ้าและรองเท้าใหม่เอี่ยม ทั้งยังได้ยินว่ามีรถจักรยาน เขาอดประหลาดใจไม่ได้
“เธอเอาเงินจากไหนมาซื้อรถจักรยาน” เด็กหนุ่มถามออกไปด้วยความสงสัย
เซี่ยอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างหลังนึกอะไรขึ้นมาได้ แววตาโกรธแค้นจึงเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม
“เซี่ยโม่ เธอหน้าไม่อายเกินไปแล้ว ถึงกับเอาเงินที่บ้านฉันไปซื้อจักรยานมาใช้” เซี่ยอวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแค้นใจ เสียงะโของเธอดังจนนักเรียนที่มารายงานตัววันนี้ต่างหยุดยืนดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เซี่ยวฉางเซิงชะงักไป ถึงจะพอทราบว่าเซี่ยโม่กับน้องชายออกจากบ้านไปตัวเปล่า ไปอาศัยอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยาย แต่ก็ไม่ได้รู้เื่ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
เื่ที่เซี่ยอวิ๋นพูดมา เขาเองก็ไม่ทราบว่าคือเื่จริงหรือโกหก จึงได้แต่มองเซี่ยโม่อย่างเคลือบแคลง
เซี่ยโม่รู้อยู่แล้วว่าถ้าเจอสองคนนี้ไม่มีทางมีเื่ดี หน้าไม่อายเหมือนกันทั้งคู่
ในเมื่อเซี่ยอวิ๋นกล้าะโออกมาอย่างไร้ยางอาย แล้วเธอจะต้องไปกลัวอะไร ถึงอย่างไรหลังจากนี้เธอก็ไม่ได้เรียนที่นี่อีกแล้ว
“เซี่ยอวิ๋น เธอนี่หน้าไม่อายจริงๆ อะไรคือเงินที่บ้านเธอ สองปีก่อนแม่กับเธอเข้ามาอยู่ในบ้านฉันแบบตัวเปล่า ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักอย่าง ก่อนตายแม่ฉันทิ้งเงินไว้ให้ฉันกับน้องหนึ่งพันหยวน แต่สองปีที่ผ่านมาเธอกับแม่ผลาญเงินก้อนนั้นจนหมด แบบนี้แล้วเธอยังมีหน้ามาว่าฉันว่าหน้าไม่อายอีกเหรอ” เธอะโกลับไป ทั้งยังสาธยายเอาไว้ละเอียดยิบ
นักเรียนที่มุงดูอยู่ทำหน้าเข้าใจเื่ราว ที่แท้ลูกเมียเก่ากับลูกเมียใหม่กำลังทะเลาะกันนี่เอง
เซี่ยวฉางเซิงรู้เื่ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยโม่กับเซี่ยอวิ๋น แต่ที่ไม่รู้คือเซี่ยอวิ๋นกับแม่ไม่เคยสนใจไยดีเซี่ยโม่กับน้อง ทั้งยังไล่ออกจากบ้านอีกด้วย
เขาหันไปมองเซี่ยอวิ๋นด้วยแววตารังเกียจ นึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายกับมารดาจะเป็คนเช่นนี้
เซี่ยอวิ๋นนึกไม่ถึงว่าเซี่ยโม่จะกล้าขึ้นเสียงใส่ตัวเอง ครั้นรับรู้ได้ถึงสายตาดูถูกที่เซี่ยวฉางเซิงส่งมา เธอก็ยิ่งจ้องมองน้องสาวต่างมารดาอย่างเคียดแค้น “เธอพูดมั่วอะไร นั่นคือเงินของแม่ฉัน”
“แม่เธอเอาเงินมาจากไหน ั้แ่แต่งเข้าบ้านก็ไม่เคยไปทำงานที่กองการผลิตเลยสักครั้ง แล้วจะเอาเงินมาจากไหน หรือว่าเงินที่พ่อฉันฝากให้ดูแลเท่ากับเป็เงินของแม่เธอล่ะ?” เซี่ยโม่เย้ยหยัน
“เธอ…” เซี่ยอวิ๋นทำได้แค่ชี้หน้า เถียงไม่ออกเลยสักคำ
“ฉันทำไม? พอแม่เธอคลอดลูกชายก็รังเกียจฉันกับน้อง หาว่าขัดหูขัดตาเลยให้คนเอาน้องชายฉันไปทิ้งบนรถไฟ โชคดีที่ได้คนใจดีช่วยตามหาจนเจอ พวกเรายอมออกจากบ้านตัวเปล่า แต่แม่เธอยังส่งคนไปขโมยของในบ้านคุณตาคุณยายฉัน ทำลายข้าวของในบ้าน ทำร้ายน้องชายฉันจนต้องเข้าโรงพยาบาล ตำรวจถึงได้ตัดสินให้พวกเธอสองแม่ลูกชดใช้เป็เงินสองร้อยหยวน”
คนที่มุงดูเหตุการณ์ต่างพากันร้องอ๋อ ที่แท้แม่ลูกเซี่ยอวิ๋นก็โเี้อำมหิตถึงเพียงนี้ ยังจะกล้าพูดอย่างมั่นใจว่าเงินที่เอาไปซื้อจักรยานคือเงินของบ้านตัวเองอีก
มาถึงขนาดนี้แล้วเซี่ยโม่พูดต่อทันที “น้องชายฉันถูกทำร้ายก็ต้องบำรุงร่างกายให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ของที่บ้านฉันถูกทำลายจนเสียหายก็ต้องหาซื้อใหม่ เงินที่พวกเธอชดใช้มาถูกใช้ไปจนเกือบจะหมด ส่วนเงินที่เอาไปซื้อจักรยานเป็เงินที่ฉันได้มาจากการขึ้นเขาขุดสมุนไพรเอาไปขาย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเงินชดเชยของแม่เธอเลยสักนิด”
ทุกคนมองเซี่ยโม่อย่างอิจฉา อีกฝ่ายเก่งเหลือเกิน เก็บสมุนไพรไปขายจนได้เงินเยอะขนาดนี้
บางคนที่จำเซี่ยโม่ได้ก็เอ่ยทักออกมา “โม่โม่ ที่แท้ก็เธอเองเหรอ”
“โม่โม่ เธอไปเรียนเื่สมุนไพรกับใคร พวกเราไปเรียนด้วยได้ไหม”
“พวกเราก็อยากขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรบ้าง เธอช่วยพวกเราได้ไหม”
“โม่โม่ ช่วยพวกเราด้วย…”
คนที่มุงดูพอได้ยินว่าการเก็บสมุนไพรไปขายสามารถทำเงินได้มากมาย ก็หันมาให้ความสนใจในเื่นี้แทน
เซี่ยโม่เข้าใจดีว่าคนในยุคนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีฐานะยากจน ใครบ้างไม่อยากหาเงินให้ได้จำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะต้องแนะนำอย่างไร