“ในเมื่อเธอคิดดีแล้ว คำพูดเมื่อกี้ของพี่ก็ถือเสียว่าไม่ได้ยินแล้วกันนะ” เมื่อเฝิงิเยว่คิดว่าพ่อสามีอาจจะได้ยินคำพูดที่ตนชักจูงเจิ้งหยวนเมื่อครู่ เธอจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “พี่ก้าวก่ายไปแล้ว… นึกว่า... นึกว่า…”
“พี่สะใภ้ ฉันเข้าใจ” เจิ้งหยวนตบแขนของเฝิงิเยว่เบาๆ พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้หวังดีต่อฉัน ฉันรู้ดี อีกอย่างเื่นี้ เฮ้อ… จะโทษที่พี่สะใภ้เข้าใจผิดไม่ได้หรอก”
“ต้องโทษพี่ชายเธอ หากเขาไม่าเ็ก็ไม่จำเป็ต้องไปยืมเงินหลินเสี่ยวหยางหรอก… โธ่ เื่ราวใหญ่โตจนฉันวางตัวไม่เหมาะสมแล้ว” คราวนี้เจิ้งหยวนไม่ใช่แค่ติดเงินสองร้อยหยวนเท่านั้น ยังติดหนี้น้ำใจคนที่ยื่นมาให้ยามคับขันด้วย
“จะโทษพี่ฉันได้ยังไงกัน เขาไม่ได้อยากาเ็สักหน่อย” เจิ้งหยวนรีบปลอบประโลม ป่านนี้พี่สะใภ้เธอคิดไปไหนต่อไหนแล้ว ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ครั้นเงียบอยู่พักหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าจึงคลายลง แปรเปลี่ยนเป็สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังแทน ก่อนที่เจิ้งหยวนจะโพล่งบางเื่ขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้ วันนี้ตอนฉันกลับบ้าน ฉันเห็นเจิ้งเทียนหู่ดึงพี่เข้าพงหญ้าด้วย”
เฝิงิเยว่หันขวับทันที ใจนอุทานเสียงเล็กแหลม ลมหายใจพลันหอบกระชั้นขึ้นมา “หยวนหยวน...”
“ฉันตามไปด้วย เลยรู้ว่าพวกพี่พูดอะไรกัน เจิ้งเทียนหู่ข่มขู่พี่” เจิ้งหยวนรีบพูดเสริมอีกประโยค
เฝิงิเยว่ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออก สีหน้าเปลี่ยนเป็เขียวสลับซีด เธอเม้มปากแน่นกัดฟันกรอดแล้วว่า “เื่นี้... เื่นี้… ฉันไม่รู้เลยว่าเจิ้งเทียนหู่เกิดความคิดแบบนั้นกับฉันได้ยังไง หยวนหยวน…” เธอกลัวเจิ้งหยวนเข้าใจผิดว่าเธอทำตัวล่อลวงเจิ้งเทียนหู่ก่อน เมื่อประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้หญิงล้วนเป็ฝ่ายเสียหายเสมอ
แต่ทว่าเจิ้งหยวนเข้าใจดี ทั้งยังรีบกุมมือพี่สะใภ้เพื่อให้เธอสงบสติอารมณ์ลง “พี่สะใภ้ ฉันรู้ ฉันรู้ค่ะ เป็คนถ่อยนั่นที่หาเื่มาให้พี่ ฉันแค่อยากถามน่ะ พี่สะใภ้ เจิ้งเทียนหู่คิดลึกกับพี่มาั้แ่ก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม?”
พอโดนน้องสามีถามกระแทกหน้าเช่นนี้ เฝิงิเยว่จึงเก้อกระดากอยู่บ้าง รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างยิ่ง แต่เพราะสีหน้าเจิ้งหยวนยังคงสงบนิ่ง ไม่มีวี่แววรังเกียจชิงชังเธอ เฝิงิเยว่จึงค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว ก่อนเอ่ยตอบช้าๆ “คิดว่าสักพักหนึ่งแล้วละ… ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาคิดแบบนี้กับฉันั้แ่เมื่อไร แต่บางครั้งก็มาขวางระหว่างทางกลับบ้าน” พอนึกขึ้นมาได้จึงเอ่ยลนลานตามหลัง “แต่ฉันเดิมอ้อมเขาทุกทีนะ!”
“พี่ได้บอกพี่ชายฉันหรือเปล่า?” เจิ้งหยวนถาม
เฝิงิเยว่ยากจะเอ่ยปาก “เื่นี้จะพูดง่ายๆ ได้ยังไง?”
เมื่อเกิดเหตุการณ์พรรค์นี้ขึ้นในชนบท สังคมมักจะกล่าวโทษว่าผู้หญิงเป็ฝ่ายยั่วยวนก่อน ผู้ชายย่อมไม่ทำหากผู้หญิงไม่ให้ท่า ดังคำกล่าว แม่หม้ายมักดึงดูดความสนใจเสมอ ทั้งที่แม่หม้ายหลายคนทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่เฉยๆ แต่หากโดนข่มเหงรังแก พวกขี้นินทาเป็ต้องวิจารณ์แม่หม้ายไม่สำรวมกิริยา ส่วนผู้ชายกลับลอยนวลพ้นผิด ด้วยเพราะสังคมสมัยนี้สตรีเพศในฐานะผู้อ่อนแอของสังคม บางครั้งไม่เพียงถูกกดขี่จากผู้ชายเท่านั้น ยังรวมถึงผู้หญิงที่ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจกันและกันเองด้วย ผู้หญิงจึงเปรียบเสมือนชนชั้นที่ต่ำที่สุดทางสังคม และเพราะสภาพทางสังคมเช่นนี้แหละ เฝิงิเยว่จึงกังวลว่าเจิ้งเทียนิจะยัดความผิดใส่หัวเธอ อย่างไรเสีย ผู้ชายที่เธอ ‘อ่อย’ ก็เป็น้องชายสามีเธอ เป็ลูกพี่ลูกน้องของเจิ้งเทียนิ ต่อให้ความสัมพันธ์พวกเขาย่ำแย่แค่ไหน สุดท้ายก็ครอบครัวเดียวกันอยู่ดี
เจิ้งหยวนเข้าใจว่าทำไมเฝิงิเยว่ไม่พูดออกไป และเพราะเข้าใจด้วย ถึงรู้สึกจนปัญญา
ชาติก่อนเฝิงิเยว่น่าจะไม่เคยบอกพี่ชายเธอเื่นี้ จากผลลัพธ์ที่เจิ้งหยวนทราบมา พอขาของพี่ชายเธอพิการ พี่สะใภ้ใหญ่ก็นอกใจหลังจากนั้น ซ้ำร้ายยังคลอดลูกชายของเจิ้งเทียนหู่ ระหว่างนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงก่อให้เกิดเื่ราวแสนเลวร้ายเช่นนี้? เป็ไปได้ไหมว่าพี่สะใภ้ใหญ่ปฏิเสธเจิ้งเทียนหู่ไปั้แ่แรกเหมือนชาตินี้ ทำให้ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพี่ชายทันเวลา แต่เพราะพี่สะใภ้เธอเก็บงำเื่นี้ไว้ ประกอบกับดันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ภายหลังเจิ้งเทียนหู่ไม่ยอมแพ้ บีบบังคับพี่สะใภ้ใหญ่อีกรอบ พี่สะใภ้ใหญ่ก็ยิ่งไม่มีหน้าบอกพี่ชายเธอ สุดท้ายเลยแอบคลอดเด็กออกมาจนเื่มันแดงขึ้นหรือ? เหตุการณ์แท้จริงเป็เช่นไร เจิ้งหยวนซึ่งกลับชาติมาเกิดไม่มีโอกาสสืบแล้ว แต่ชาตินี้เธอจะไม่มีวันยอมให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำรอยเดิมเด็ดขาด
“ฉันคิดว่าพี่ควรบอกพี่ชายฉันนะ พี่ชายฉันไม่ใช่ผู้ชายหัวโบราณ เขาต้องเชื่อพี่แน่… หรือว่าพี่สะใภ้ไม่เชื่อใจพี่ชายฉัน?” เจิ้งหยวนจงใจถามเสียงสูงกระตุ้นเธอ
เฝิงิเยว่ส่ายหัวเป็พัลวัน “ไม่ ไม่ใช่นะ ฉันเชื่อพี่ชายเธออยู่แล้ว…”
“งั้นก็บอกเขา จากนั้นค่อยหาทางแก้กัน”
“มัน…”
“พี่สะใภ้เชื่อฉันสิ เจิ้งเทียนหู่ไม่ยอมเลิกราแน่ ยังไงเราก็ไม่มีทางเลี่ยงเื่นี้ได้เสมอไปหรอก”
ครั้นเฝิงิเยว่ถูกน้ำเสียงหนักแน่นของเจิ้งหยวนชักจูงเข้า ความลังเลในแววตาจึงค่อยๆ เลือนหายไป เธอพ่นลมหายใจยาวเหยียดอย่างปลงตก “ได้ รอพี่ชายเธอผ่าตัดเสร็จ แล้วฉันจะบอกเขา”
เจิ้งเทียนิผ่าตัดวันรุ่งขึ้น ครอบครัวสกุลเจิ้งมารวมตัวกันที่หน้าห้องผ่าตัด ความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่บนบานประตูห้องผ่าตัด เมื่อมีการเคลื่อนไหวใดก็จะหันมองเป็ตาเดียว กระทั่งเฉินชุ่ยอวิ๋นยังมาด้วย เธอยังให้น้ำเกลืออยู่ แต่ยังดีที่อัตราการเต้นของหัวใจคงที่แล้ว ประกอบกับร่างกายกำลังฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอจึงยอมให้เธอรอหน้าห้องผ่าตัดด้วยเพราะเข้าใจว่าแม่อย่างเธอย่อมห่วงลูกอยู่แล้ว เพียงแต่กำชับแล้วกำชับอีกว่าห้ามตื่นเต้นหรือวิตกเป็อันขาด
เฉินชุ่ยอวิ๋นรู้ว่าลูกชายเธอยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ผ่าตัดล้มเหลวอย่างมากก็แค่พิการ เฉินชุ่ยอวิ๋นค่อยปลงตก เธออายุปูนนี้แล้ว เคยประสบความวุ่นวายจากา เคยผ่านยุคข้าวยากหมากแพงมาก่อน เลยไม่มีสิ่งใดสำคัญสำหรับเธอเท่าการมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ขาพิการก็ไม่เป็ไร เทียนิมีภรรยา มีลูกชาย มีลูกสาว มีคนคอยดูแลอยู่
วันนี้เจิ้งเจวียนก็มาด้วย แถมยังอุ้มหนิวหนิวไว้ในอ้อมแขน ให้เทียนเลี่ยงจูงมือซิงซิงลากกันมาทั้งครอบครัวเช่นนี้ ทำเอาเจิ้งหยวนโมโหจนเกือบไล่พวกเขากลับบ้าน โรงพยาบาลเป็สถานที่ที่มีแต่คนไข้ ภูมิต้านทานเด็กๆ อ่อนแอ ติดพวกเชื้อโรคระบาดได้ง่าย หากป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร?
ถึงกระนั้น เจิ้งเจวียนก็ชักแม่น้ำทั้งห้าสำเร็จ เธอบอกว่าพี่ชายผ่าตัดไม่มาไม่ได้หรอก ใจกระวนกระวายจนกินข้าวไม่ลงแล้ว แถมยังบอกว่าหากโรงพยาบาลสกปรกจริงๆ ทำไมยังมีสตรียอมมาคลอดลูกที่โรงพยาบาลเล่า ไม่กลัวเด็กทารกเพิ่งคลอดติดโรคระบาดหรือ? ครั้นได้ยินเช่นนี้ เจิ้งหยวนได้แต่กลอกตามองบน ไม่พูดอันใดอีก
หนิวหนิวไม่เจอหน้าแม่ทั้งคืน พอมาถึงก็โน้มตัวงอแงเข้าหาอ้อมกอดของเฝิงิเยว่ อาจเพราะเมื่อคืนพักผ่อนไม่เต็มที่ จึงหลับไปในเวลาอันสั้น ส่วนซิงซิงอายุมากกว่านิดหน่อย จึงเริ่มรู้ความบ้างแล้ว เห็นว่าคุณพ่อผ่าตัดอยู่ด้านในนั้น ก็ไม่งอแง คอยอยู่ข้างกายเป็เพื่อนคุณแม่เงียบๆ
สองชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็อ้าออก ทุกคนต่างตื่นตัว บางคนผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ บางคนที่พิงกำแพงอยู่ก็หยัดกายขึ้น เมื่อมีคนข้างในออกมาจึงพากันมุง เจิ้งหยวนถามคนแรก “เป็ยังไงคะ พี่ชายฉันเป็ยังไงบ้างคะ?”
เจิ้งเฉวียนกังกับเฝิงิเยว่และคนอื่นๆ ด้านข้างก็แข่งกันถาม “เป็ยังไงบ้าง ขาของเทียนิเป็ยังไงแล้ว?”
คนที่ออกมาเป็หมอผู้ชายคนหนึ่ง สีหน้าเก็บความเหนื่อยล้าไม่มิด แต่ท่าทางยังดีอยู่ เขาถอดหน้ากากอนามัยออกก่อนแจ้งข่าวว่า “การผ่าตัดสำเร็จ รักษาขาคนไข้ไว้ได้ครับ ต่อไปบำรุงดีๆ ตั้งใจฟื้นฟูร่างกาย ก็เดินได้ไม่ต่างจากคนธรรมดาครับ”
เจิ้งหยวนผ่อนลมหายใจโล่งอก จึงรีบพร่ำขอบคุณ “ขอบคุณค่ะคุณหมอ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”
“งั้นลูกชายผมล่ะ ทำไมยังไม่ออกมา” เจิ้งเฉวียนกังถามพลางชะเง้อคอมองข้างหลัง
เมื่อได้ยินคำถาม คุณหมอคนเดิมจึงตอบ “อยู่ข้างหลังน่ะ ใกล้จะออกมาแล้ว ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อย” เขายื่นมือแหวกฝูงชนที่มุงรอบๆ ตัวเขา เจิ้งหยวนรีบหลีกทางให้ และลากพ่อเธอหลบมาข้างๆ ด้วย
หมอเขาผ่าตัดติดต่อกันถึงสองชั่วโมง ต้องเหนื่อยมากอยู่แล้ว
หลังคุณหมอจากไป ประตูห้องผ่าตัดเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็พยาบาลเข็นเจิ้งเทียนิออกมา เขานอนอยู่บนเตียงคนไข้ ยังมีสติครบถ้วน เพราะยาชาน่าจะออกฤทธิ์อยู่ สภาพเลยยังดูดี ยิ้มแย้มกับครอบครัวได้ เมื่อเห็นซิงซิงกับหนิวหนิวก็เอ่ยทัก “โอ๊ะ ลูกก็มาด้วยเหรอ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้