สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 23
"ถ้าม่านทำตัวไม่ดีรามจะยังรักม่านอยู่มั้ย"
"...รักครับ"
บางทีนั่นอาจเป็เพียงคำตอบที่ทำให้คนป่วยสบายใจ หรืออาจเป็เพียงแค่คำถามที่คนป่วยสงสัย ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้นเลย
คนป่วยนอนซมอยู่สามวันสามคืนเต็ม รามสูรหัวหมุนทั้งวัน ตอนเช้าเขาต้องออกไปคุมไซต์งาน พอสายหน่อยต้องกลับบ้านมาเพื่อดูคนป่วย ถึงแม้เขาจะวานให้พี่แสนเป็ธุระช่วยดูแลม่านหยี่ให้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่วางใจ กว่าจะกอดโอ๋กอดปลอบคนป่วยกล่อมกันกินข้าวกินยาเสร็จก็เกือบเที่ยง นายหัวรามสูรกลับลงไปคุมไซต์งาน หากวันไหนพอมีเวลาก็กินข้าวเที่ยงร่วมกับคนงาน ถ้าวันไหนยุ่งจนลืมกินข้าวนายหัวรามสูรก็จะรวบข้าวเช้าและข้าวเที่ยงมาเป็การกินข้าวเย็นทีเดียว การโหมงานหนักของนายหัวรามสูรส่งผลให้เขาซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าหล่อเหลาซูบตอบ ผิวสีน้ำผึ้งโดนแดดเผาจนกลายเป็สีคล้ำไหม้ ผมสีดำขลับชี้โด่ไม่เป็ทรง หนวดเคราขึ้นลามบนใบหน้าด้วยเพราะเ้าของมันไม่มีเวลาโกนมันออก กายแกร่งจากที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและมัดกล้ามได้รูปตอนนี้ม่านหยี่ััได้แต่กระดูกที่มันปูดโปนออกมา
"ราม..." ใน่เวลาที่ตะวันกำลังจะสิ้นแสง คนป่วยที่ตอนนี้ไม่ป่วยแล้วหากแต่ไม่ยอมลุกจากเตียงยังคนนอนซุกผ้าห่มและจับมือคนรักเอาไว้ไม่ปล่อย ม่านไล้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ไปตามหลังมือแกร่งของรามสูร ก่อนที่จะพลิกมือและสอดมันเข้าไปัักับฝ่ามืออบอุ่นที่ตอนนี้มันแห้งกร้านและแตกระแหง
"ครับ"
"เหนื่อยมั้ย"
"เหนื่อยแต่ไม่เป็ไร รามเหนื่อยได้" เด็กหนุ่มอายุยี่สิบสามปียังไม่ถึงครึ่งชีวิตด้วยซ้ำกลับต้องมาแบกรับภาระทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากรามสูรไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร ชีวิตของเขาคงจะหนักกว่านี้
"เรา..." เหลืออีกแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้นที่ม่านจะเอ่ยปากขอร้องให้รามสูรหนีไปด้วยกันกับเขา ทิ้งผู้คนเหล่านี้ไว้ที่นี่ หันหลังให้ทั้งโลกแล้วเราจะไปที่ไหนด้วยกันก็ได้ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ต้องมีบ่วงผูกมัดเอาไว้กับใคร มีเพียงแค่เขาและรามสูรเท่านั้น
เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำแบบนั้นได้ ในเมื่อบ่วงใหญ่ที่ผูกข้อมือของม่านหยี่อยู่ตอนนี้คือมารดา และเขาคงไม่อาจขอให้รามสูรละทิ้งทุกอย่างแล้วไปด้วยกันกับเขา เพราะชีวิตของรามยังมีอะไรให้ต้องทำอีกมาก รามมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งธุรกิจ ทั้งคนงานอีกสิบอีกร้อยชีวิต และรวมถึงมารดาอีกด้วย คุณนายรุ่งฤดี้ารามสูรและเธอคงไม่ยอมปล่อยให้ลูกชายเดินจากไปเจอความมืดมนในอนาคตข้างหน้า อย่างนั้นเขาเลยไม่อาจขอให้รามสูรหนีไปด้วยกันได้...มันเห็นแก่ตัวเกินไป
"ม่านเป็อะไรรึเปล่า ยังมีไข้อยู่เหรอ"
"ไม่ ๆ ขอบคุณรามมากนะที่ดูแลเรา"
"ครับไม่เป็ไรเลย"
"ผอมหมดแล้วนายหัวรามสูร นายหัวไม่ยอมกินข้าว"
"อดอยากอย่างอื่นต่างหาก"
"ไม่ต้องเลย" ม่านหยี่ผลักหัวคนรักเบา ๆ ให้ออกห่างจากตัวเอง สายตารามสูรมันบอกเขาทุกอย่างแล้วว่าราม้าอะไร
"รามยังไม่ได้พูดอะไรเลย" ใบหน้าคมเปื้อนยิ้มเ้าเล่ห์ ซ้ำรามสูรยังหัวเราะอย่างขบขัน
"..."
"เอ้อ! ม่าน ออร์แกไนซ์ให้เราไปลองชุดนะ"
"หื้ม?"
"ครับ เขาโทรมาเมื่อวานแต่เราเห็นว่าม่านยังเป็ไข้อยู่เลยไม่ได้บอก"
"ลองชุด?"
"ลองชุดแต่งงานของเราไง"
"อ๋อ..." เขาลืมไปเสียสนิทว่าเราสองคนกำลังจะแต่งงานกัน งานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้นท่ามกลางเื่ราวต่าง ๆ และการไม่เห็นด้วยจากมารดาของรามสูร
"ม่านลืมเหรอ"
"มันมึน ๆ อยู่ในหัว ต้องใช้เวลาคิดนิดนึงสิ" ม่านหยี่แก้ตัว
"งั้นวันพรุ่งนี้เราขึ้นฝั่งกันนะ"
"ได้สิ"
"คุณรามกับคุณม่านเชิญลองเสื้อที่ห้องลองเสื้อด้านในเลยนะคะ"
"ครับ"
วันนี้นายหัวรามสูรอาสาขับเรือจากเกาะมายังฝั่งเอง รามบอกกับเขาว่าถ้าหากลองชุดเสร็จเร็วจะได้พาเขาเที่ยวให้ทั่วเมืองด้วยเพราะมารอบที่แล้วก็ติดฝนกัน
เซลล์สาวคนเดิมพาเขาทั้งสองคนเดินเข้ามาภายในห้องลองชุดขนาดใหญ่ ด้านในเต็มไปด้วยชุดสูทสีขาวแขวนเอาไว้บนราว อีกฝั่งเป็ชุดสูททั้งสีกรมและสีอื่น ๆ ตามสมัยนิยมที่คู่รักมักเลือกสรรนำมาสวมใส่เพื่อวันที่ดีที่สุดของพวกเขา ม่านหยี่มองขึ้นไปยังเพดานสูงที่ตกแต่งประดับประดาไปด้วยดอกไม้ปลอมและผ้าม่านสีทองสุภาพให้ความรู้สึกเหมือนบรรยากาศวันแต่งงานจริง ๆ
เสียงโทรศัพท์ของรามสูรดังขึ้น เ้าตัวมองหน้าจอโทรศัพท์ก่อนที่จะคลี่ยิ้มออกมา
"อะไรเหรอ ใครโทรมา"
"ไอ้คอปกับไอ้แชมป์"
"?" ม่านหยี่เลิกคิ้วขึ้นเป็เชิงสงสัย ถึงจะคบกันเป็เพื่อนมานานแต่นานทีปีหนเพื่อนเก่าถึงจะติดต่อมาอย่างนี้ เขาไม่ได้สนิทกับแชมป์และคอปเปอร์เหมือนอย่างรามสูร แต่ก็เป็เพื่อนกลุ่มเดียวกันมาั้แ่ปีหนึ่งจนถึงเรียนจบ
"ฮัลโหลว่า
//ฮัลโหลนายหัวรามสูร//
"...อะไร มึงพูดดี ๆ นะ"
ม่านมองว่าที่เ้าบ่าวคุยโทรศัพท์กับปลายสาย รามสูรยิ้มออกมาได้ในที่สุดหลังจากที่ทำหน้าอมทุกข์มาหลายวันแล้ว
//มึงอยู่ไหนเนี่ย//
"ตอนนี้อยู่บนฝั่ง มาทำธุระ มึงกลับบ้านเหรอ"
//เออใช่ ทีแรกว่าจะเที่ยวต่อซักหน่อย พ่อไม่ยอม แม่ไอ้คอปก็ไม่ยอม พวกกูเลยต้องระเห็จกันกลับมาวันนี้"
"เออ ไอ้คอปก็กลับด้วยกันเหรอ"
//กลับหมดอ่ะ แฟนมันก็มาด้วย//
"แล้วตอนนี้อยู่ไหน"
//แยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว แต่เบื่อ ๆ เลยโทรมาถามนายหัวรามสูรว่ามีโปรแกรมอะไรจัดให้พวกกูมั้ย//
"งั้นมาพักที่เกาะกูมั้ย แต่โรงแรมกำลังรีโนเวท พวกมึงน่าจะได้นอนที่บ้านกู"
//ได้เหรอ ได้ยินข่าวว่าเกิดเื่ กูว่าจะโทรไปถามแต่โทรไปทีไรมึงก็ไม่รับโทรศัพท์กู เื่มันเป็ยังไงวะ//
"เออ เกิดเื่ขึ้นนิดหน่อย เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ตกลงจะมาวันไหน"
//พรุ่งนี้เช้าแล้วกัน เดี๋ยวนัดไอ้คอปก่อน เจอกัน//
"โอเค เจอกัน"
น่าแปลกที่เขาทั้งสองคนกำลังจะลองชุดสูทสำหรับงานแต่ง ในขณะเดียวกันก็ยังไม่มีฤกษ์แต่งงานที่แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีใครเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้นอกจากเ้าบ่าวสองคนคือเขาและรามสูรเพียงเท่านั้น ใครมันจะมายินดีกับงานแต่งงานแบบนี้กันหนอ เขาชักอยากจะรู้
"แชมป์โทรมาเหรอ"
"ใช่ โดนพ่อสั่งให้กลับบ้าน"
"หื้ม? อย่างแชมป์นี่จะฟังเหรอ"
"พ่อมันเป็นายทหาร ลองไม่ฟังดูสิ"
"โหขนาดนั้นเลย"
"โหดกว่าแม่รามเยอะเลย"
ม่านไม่อยากรู้เลยว่าคนที่โหดกว่าคุณนายรุ่งฤดีจะอยู่ในขั้นไหน
เซลล์ขายคอร์สหายไปครู่หนึ่งจากนั้นก็กลับมาพร้อมกับดีไซเนอร์สองคน คนแรกเป็ผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสบาย ๆ ม่านสังเกตเห็นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานั้แ่ที่เขาเดินเข้ามาแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนคนที่สองคือเพศที่สามซึ่งสวมชุดสูทสีดำเข้ารูปดูดีมีสไตล์และเสริมความมั่นใจให้กับเ้าตัว สองคนคล้องสายวัดตัวเอาไว้ที่คอเสมือนเป็อาวุธประจำกาย
"สวัสดีค่ะ พี่ชื่อชบานะคะ ส่วนคนนี้พี่ภีมค่ะ" พี่ชบาแนะนำตัวเองก่อนที่จะผายมือไปยังพีภีมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
"พี่แพงบอกพี่แล้วว่าคุณรามกับคุณม่านกำลังจะแต่งงานกัน ยินดีด้วยนะคะ คุณรามกับคุณม่านพอมีแบบชุดในหัวไว้มั้ยเอ่ย ทางร้านเรามีสูทให้เช่าเป็พันชุดเลยนะคะ หรือถ้าคุณรามกับคุณม่านยังไม่ถูกใจ ทางร้านเรามีรับบริการตัดสูทด้วยนะคะ"
"เอ่อ...ไม่เลยครับ" ม่านหยี่มองหน้าคนรักก่อนที่จะหันมามองหน้าดีไซเนอร์แล้วยิ้มแหย ๆ แต่นั่นไม่ได้ทำลายขวัญกำลังใจของดีไซเนอร์ทั้งสองคนคงเพราะพวกเธอผ่านประสบการณ์แบบนี้กันมาอย่างโชกโชน
"ถ้าอย่างนั้นพี่ขออนุญาต ขออนุญาตวัดตัวทั้งสองคนก่อนนะคะ" พี่ภีมซึ่งเป็เพศที่สามดึงสายวัดตัวให้เขาทั้งสองคนเห็นว่าขั้นตอนต่อไปจะทำอะไร ม่านหยี่กับรามสูรพยักหน้าจากนั้นขั้นตอนการวัดตัวเพื่อหาชุดสูทที่ดีที่สุดให้กับเ้าบ่าวทั้งสองคนก็เกิดขึ้น
หลังจากวัดตัวเสร็จดีไซเนอร์หรือช่างเสื้อทั้งสองก็หันมาขอรายละเอียดของชุดที่พวกเขาอยากได้ ถึงอย่างนั้นม่านหยี่กับรามสูรก็บอกอะไรได้ไม่มากเพราะเขาไม่ได้คิดในหัวมาก่อนว่าอยากจะสวมสูทสีอะไร ช่างทั้งสองแนะนำกับพวกเขาว่าถ้าหากธีมงานแต่งเป็สีน้ำเงินแบบที่พวกเขาเลือก อย่างนั้นชุดสูทของคนทั้งคู่ก็ควรเป็สีน้ำเงินหรือสีกรมเพื่อเข้ากับงานแต่งที่สุด คู่รักสองคนพยักหน้าเห็นด้วยกับการออกความคิดเห็นของช่างเสื้อ จากนั้นช่างเสื้อทั้งสองก็หายไปสักครู่ก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับราวสูทที่แขวนชุดเอาไว้นับสิบชุด ในความคิดของม่านหยี่เขาไม่เห็นว่าชุดทั้งราวนั้นมีความแตกต่างกันตรงไหน อย่างไร แต่ดีไซเนอร์คงเล็งเห็นความแตกต่างได้ดีกว่าเขา อย่างนั้นพวกเธอก็จะสามารถมองออกและเฟ้นหาชุดที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขาได้
"คุณน้องม่านราวนี้นะคะ ส่วนคุณรามอีกราวนึงค่ะ คุณม่านเชิญที่ห้องลองเสื้อได้เลยนะคะ ตรงนู้นเลยค่ะ" พี่ภีมผายมือไปยังห้องลองเสื้อที่อยู่ติดกันและว่างเว้นจากการใช้งานทั้งคู่ ม่านหยี่พยักหน้าก่อนที่จะเดินเข้าห้องฝั่งซ้ายมือ
กว่าที่เขาจะสามารถถอดเสื้อผ้าออกจากตัวได้ก็เล่นเอาเหนื่อย เนื่องจากความช้ำระบมในร่างกายยังมีอยู่ ่ที่ม่านหยี่ป่วยแล้วรามสูรพยายามเช็ดตัวให้ม่านก็ต้องปฏิเสธจนมือเป็พัลวันเพราะไม่อย่างนั้นรามต้องได้เค้นเอาคำตอบจากเขาแน่ว่าตัวเขาไปโดนอะไรมา
ั์ตาโศกมองเข้าไปยังกระจกบานใหญ่ แสงไฟสว่างจาก้าส่องกระทบกับร่างกายและกระจกทำให้เขาเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ร่างบางเต็มไปด้วยรอยช้ำจากการทำร้ายร่างกายของบิดา ลาดไหล่จนถึงส่วนบนของหน้าอกมันไร้ซึ่งร่องรอยหรือาแ ทว่าใต้ลิ้นปี่ลงมาจนถึงสีข้างและหน้าท้องแบนราบจากเดิมที่มันเคยเนียนละเอียดไร้ซึ่งรอยแผลตอนนี้เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำม่วง ม่านค่อย ๆ พลิกตัวไปด้านข้างเพื่อที่จะดูว่าด้านหลังของตนเองมีรอยช้ำอะไรอีกบ้างไหม และนั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจสักเท่าไหร่เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังส่วนล่างของตนเต็มไปด้วยรอยช้ำและรอยถลอกเนื่องจากน้ำมือของบิดา
พรึบบบ!!!
ม่านกั้นด้านหลังที่ทำหน้าที่แทนประตูถูกเปิดพรึบขึ้น เป็รามสูรที่ยืนฉีกยิ้มอยู่ข้างหลังของเขา ภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นว่าว่าที่เ้าบ่าวสวมชุดสูทสีกรมยิ้มแป้น จากนั้นรอยยิ้มหล่อเหลาที่ประดับใบหน้ารามอยู่ค่อย ๆ หุบลงกลายเป็บึ้งตึงและตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า
"ม่าน!!!" รามสูรอุทานออกมาเสียงดังเมื่อเห็นว่าแผ่นหลังของคนรักมีรอยช้ำเืช้ำหนองสีม่วงและเขียวคล้ำกระจายไปทั่ว แผ่นหลังของม่านหยี่จากที่เคยขาวเนียนบัดนี้เต็มไปด้วยรอยช้ำ ตรงบริเวณสีข้างถึงขั้นถลอกปอกเปิกเป็สีชมพูจาง ๆ เปิดให้เห็นถึงเนื้อด้านใน สิ่งที่เห็นด้วยสายตาตอนนี้ทำให้รามสูรสับสน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับม่านหยี่
"ม่าน! เกิดอะไรขึ้น ทำไมม่านถึง...ม่านเกิดอะไรขึ้น!" รามสูรพูดไม่เป็ประโยคเมื่อเห็นว่าคนรักได้รับาเ็ มือแกร่งจับไหล่ทั้งสองข้างของม่านหยี่เอาไว้แล้วพลิกม่านให้หันกลับมาเผชิญหน้ากันกับเขา นั่นยิ่งทำให้รามสูรใขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่ามีรอยช้ำเป็จ้ำ ๆ กระจายไปทั่วจากหน้าท้องแบนราบขึ้นมาจนถึงบริเวณใต้ลิ้นปี่
"ม่าน!!!" ว่าที่เ้าบ่าวมองคนรักด้วยสายตาตกตะลึง
"ใจเย็น ๆ ราม เราไม่...ไม่เป็อะไร" ม่านหยี่ก็ใไม่แพ้กันเมื่อเห็นว่าอยู่ดี ๆ รามก็เปิดม่านเข้ามาเจอเขาในสภาพเปลือยท่อนบนแบบนี้ หากเป็แต่ก่อนที่เนื้อตัวเขายังไม่มีรอยช้ำนั่นคงไม่น่ากังวลสักเท่าไหร่ ทว่าตอนนี้ม่านหยี่ทำได้แค่จ้องมองเข้าไปในดวงตาของคนรัก บนใบหน้าของรามสูรมีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด
"ราม ม่านไม่เป็อะไร เราแค่...ลื่นล้มน่ะ"
"ลื่นล้มอะไรม่าน แบบนี้มันไม่ใช่ลื่นล้มแล้ว ม่านไปโดนอะไรมา" ม่านหยี่บอกกับเขาว่าลื่นล้ม แต่รอยช้ำเืช้ำหนองบนตัวมันไม่ใช่อย่างนั้น เหมือนม่านหยี่ "โดนซ้อม" เสียมากกว่า
"ไม่ใช่ราม ม่านล้ม ล้มจริง ๆ ที่โขดหินม่านอยากถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกสวย ๆ เลยปีนขึ้นไป แล้วหินมันลื่น ม่านเลยล้มกระแทกหินกลับมา เลยไม่สบายนั่นไง"
"ม่าน...แล้วทำไมม่านไม่บอกเรา"
"เื่โง่ ๆ พูดไปก็อาย" ม่านหยี่ยู่หน้าเป็อีกครั้งที่เขาต้องกุเื่โง่ ๆ ขึ้นมาโกหกคนรัก
"ไปหาหมอมั้ย เผื่อว่าจะมีอะไรแตกหัก จะให้หมอช่วยดูให้"
"ไม่เป็ไรหรอก ม่านไม่ได้เจ็บอะไรแล้วด้วย ไม่ต้องไปหรอก เสียเวลาเปล่า ๆ นะ"
"แต่ม่าน-..."
"ม่านแข็งแรงดีนะ ไม่ต้องเป็ห่วง นี่ช่วยงานรามได้สบายอยู่แล้ว" ม่านหยี่ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วทำท่าเบ่งกล้าม หากแต่ก็มีเพียงแค่ท่อนแขนแห้ง ๆ ที่รามสูรเห็น
"ม่านจะไปไหนมาไหนต้องบอกรามนะ โอเคมั้ย เกิดอะไรขึ้นต้องบอกรามนะ เราเป็คนรักกัน ถ้าม่านมีอะไรม่านบอกรามได้เลยทุกเื่ ตกลงมั้ย"
"อื้ม!"
ร่างสูงยกมือหนาขึ้นลูบหัวคนรักเบา ๆ เป็อีกครั้งแล้วที่เขาต้องเก็บงำความสงสัยเอาไว้แล้วหลับหูหลับตาเชื่อคำพูดของม่านหยี่ มากมายเหลือเกินทั้งคำโกหกและความจริงที่ม่านหยี่พูดออกมา มันผสมปนเปกันจนเขาไม่อาจแยกได้ว่าอะไรคือเื่จริงอะไรคือเื่โกหก หลายครั้งเขาก็คิดว่าม่านหยี่พูดเื่โกหกด้วยหน้าตาใสซื่อเพราะไม่มีทางที่เื่เหลือจะเชื่อพวกนั้นจะเป็เื่จริงได้ อย่างเช่นการลื่นล้มที่โขดหินแล้วทำให้เกิดรอยช้ำเหมือนโดนซ้อมมาแบบนี้ ไม่มีทางที่เื่นี้จะเป็เื่จริงได้ แต่ถึงอย่างนั้นม่านหยี่ก็เลือกที่จะโกหกหน้าตาย เขาชักไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ม่านหยี่พร่ำพูดมาตลอดนั้นมันมีเื่จริงหรือไม่
ที่บอกว่ารักกัน ม่านเคยรักเขาจริงอย่างที่พูดไหม...
คู่รักลองชุดแต่งงานั้แ่่สายของวันจนกระทั่งล่วงเลยเข้าสู่บ่ายคล้อย รามสูรมองคนรักด้วยสายตาที่แปลกไปกว่าเดิมพร้อมกับเดินมาสอดส่องคนรักทุก ๆ ห้านาที ม่านหยี่ทำได้เพียงหัวเราะแห้ง ๆ เพราะคงคิดว่าเขาเป็ห่วงเกินกว่าเหตุไปเหมือนทุกครั้ง แต่ไม่ใช่เลย...เพราะครั้งนี้มันหนักกว่าที่ผ่านมาและม่านยังเลือกที่จะโกหกกันอีก อย่างนั้นเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเื่อะไรที่ม่านหยี่ปิดบังเขาเอาไว้
สองคนขับเรือกลับมายังเกาะใน่เย็นของวัน กลายเป็ว่าการลองชุดแต่งงานยังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่เพราะทั้งสองคนยังไม่ได้ที่ถูกใจ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกต้องเสียหมด เพราะเมื่อช่างถามว่าเขาและม่านหยี่ชอบดีไซน์ของชุดไหนเขาก็ไม่อาจตอบได้ เพราะรู้สึกว่าชุดที่ลองใส่มานับสิบ ๆ ตัวนั้นมันก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็ดีไซน์หรือสี เขาไม่อาจแยกออกจากกันได้แม้เพียงสักนิดเดียว ส่วนม่านก็ไม่ต่างกันกับเขาสักเท่าไหร่ อีกทั้งวันนี้เขายังไม่มีสมาธิไม่มีอารมณ์จะพิจารณาอะไรอีกแล้วเมื่อเห็นรอยช้ำที่หลังของม่านหยี่ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเวลาจวนจะเย็นย่ำแล้วเขาจึงบอกกับทางร้านไปว่าคงได้แวะกลับมาอีกทีวันหลังเพราะยังไม่ได้ชุดที่ถูกใจ
"นายหัวครับ คุณนายบอกว่าถ้านายหัวกลับเกาะมาให้นายหัวไปพบคุณนายที่กระชังหอยมุกครับ" ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็คนงานบนเกาะบอกกับพวกเขาในขณะที่รามจอดเรือเทียบโป๊ะเรียบร้อยแล้ว แสงสีแดงสุดท้ายของวันส่องอาบไปทั่วผืนน้ำ ม่านมองคนรักพลางมองคนงานด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าคุณนายรุ่งฤดีจะมาไม้ไหนอีกถึงให้รามไปพบในตอนเย็นแบบนี้ แต่เขาก็รู้ว่ารามไม่อาจปฏิเสธได้เพราะฟาร์มมุกคือชีวิตของรามสูร
"ไปเถอะราม เดี๋ยวเราขึ้นไปรอบนบ้านนะ" ม่านหยี่แตะไหล่คนรักเบา ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ สองคนแยกกันที่โป๊ะเรือโดยรามสูรไปยังกระชังหอยมุกท้ายเกาะ ส่วนม่านหยี่ก็กลับขึ้นไปยังบ้านที่ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะ
"แม่มีอะไร" ร่างสูงเดินเข้ามาหามารดาที่วันนี้เกิดอยากจะมาดูกระชังมุกของเขาอย่างไม่บอกไม่กล่าว
"เสียหายไปเท่าไหร่ตรงนี้"
"สิบล้าน รวมทั้งหมดแล้ว"
"ฉันอ่านรายงานหมดแล้ว มันเกิดขึ้นได้ยังไง แกหาหลักฐานมามัดตัวคนผิดได้มั้ย"
"ผมกำลังพยายามอยู่ แต่รู้ว่าเป็นายหัวศิลาแน่ แต่ไม่รู้ว่าจะหาหลักฐานไหนไปเอามันเข้าคุก"
"คนไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกนะ ฉันว่า เผลอ ๆ อาจเป็คนใกล้ตัวที่แกคิดว่าแกรู้จักดีก็ได้"
"แม่หมายความว่ายังไง" ร่างแกร่งตวัดตาคมมองมารดา เขาไม่ชอบเลย
"ราม...แม่เลี้ยงแกมายี่สิบกว่าปี พูดตรง ๆ ว่าแม่รู้ไส้รู้พุงพวกแกหมดทุกอย่าง แม่สาวเพนนีแฟนหลอก ๆ ของพี่แกฉันก็รู้ั้แ่ตีนเหยียบเกาะของฉันแล้วว่าพวกแกแต่งเื่ขึ้นมาหลอกฉัน ฉันรู้หมด แต่ที่ไม่รู้เลยคือเื่นี้ เื่ที่แกมีแฟน..."
"...แม่เราคุยเื่นี้กันมาเป็พัน ๆ รอบแล้วนะ แล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของผมกับม่านหรือไอ้อัส หรือใครทั้งนั้นด้วย"
"ใช่! ฉันผิด แม่ผิดเองที่แม่อยากมีลูกชายเป็คนปกติอย่างคนอื่นเขา แม่อยากมีหลาน แม่อยากมีลูกชายที่มีเมียและมีหลานให้แม่ได้ ไม่ใช่...ไม่ใช่แบบนี้ราม!"
"เราจะคุยกันเื่ฟาร์มมุกไม่ใช่เหรอ หรือผมเข้าใจผิด ที่แม่มาวันนี้ก็เพราะจะคุยเื่ฟาร์มมุกกับผมไม่ใช่หรือยังไง ทำไมเรากลับมาทะเลาะกันเื่นี้อีกแล้ว"
"แต่งงานกับหนูปริมให้แม่ได้มั้ย?"
"แม่!!!"
"แม่จะให้แกทุกอย่างราม แม่จะเซ็นยกที่นี่ให้เป็ของแก ทุกอย่างที่แก้าบนเกาะนี้ หรือไม่ว่าจะที่ไหน แม่จะหาให้แก..."
"ผมไม่-..."
"แต่งงานกับหนูปริมเพื่อแม่นะราม"
ทันใดนั้นคุณนายรุ่งฤดีก็ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้เขา ทีแรกเขาคิดว่ามันเป็เอกสารฉบับเดียวกันกับที่แม่พยายามให้เขาดูวันนั้นแต่คิดว่าไม่ใช่ เอกสารฉบับนี้เป็เหมือนเอกสารทางการแพทย์ ที่ถูกเขียนด้วยลายมือของแพทย์มีที่อยู่ ชื่อนายแพทย์ และตราสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลกำกับเอาไว้บ่งบอกว่าเอกสารฉบับนี้คือเอกสารจริงจากโรงพยาบาล รามสูรไล้สายตาอ่านเนื้อหาที่เขียนเอาไว้ เขาไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไหร่แต่เนื้อความในบรรทัดสุดท้ายซึ่งเป็สรุปนั้นเขียนเอาไว้ว่า มารดาของเขาเป็โรคมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่สอง...
เกิดความรู้สึกชาดิกอาบไล้ั้แ่หัวจรดเท้า เขาลองอ่านทวนเนื้อหาในนั้นอีกรอบกลับไม่พบว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจากหมอกำลังบอกกับเขาว่าแม่ของเขาเป็มะเร็งระยะที่สอง คิ้วเรียวขมวดมุ่นจนเกือบจะผูกเป็ปม ริมฝีปากได้รูปขบเม้มเข้าหากันแน่น มือหนาสั่นเทาราวกับว่ากระดาษแผ่นนี้มันหนักจนเกินจะถือด้วยมือข้างเดียวเอาไว้ได้ไหว
"ไอ้อัสรู้รึยัง"
"แม่ยังไม่บอก" คุณนายรุ่งฤดีส่ายหน้าน้อย ๆ
"แม่รู้ั้แ่เมื่อไหร่"
"ไปหาหมอั้แ่อาทิตย์ที่แล้ว เขาเพิ่งส่งผลตรวจให้วันนี้"
"ทำไมแม่ไม่...บอกผม"
"เห็นว่าแกยุ่ง ๆ แม่เลยยังไม่บอก"
เขามันไม่ได้เื่...ขนาดว่าแม่ป่วยเขายังไม่รู้
"ผมต้องทำยังไงต่อไปดี" รามสูรพึมพำกับตัวเอง เขาต้องรู้สึกว่าฟ้าถล่มลงมาตรงหน้ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งกันนะ ครั้งนี้ที่มันถล่ม เขาก็เกินจะรับไหวแล้ว
"ราม"
"หมอ...หมอบอกแม่ว่ายังไงบ้าง" รามสูรไม่ฟูมฟาย ไม่โวยวาย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟ้าของเขาถล่ม เขาเรียนรู้จากครั้งที่แล้วว่าหากไม่มีสติทุกอย่างก็จะพังครืนลงต่อหน้าต่อตา ไม่สามารถยื่นมือออกไปคว้าอะไรไว้ได้สักอย่าง เขาจะทำอย่างที่เคยทำและทำมันได้ดีมาโดยตลอดนั่นคือมีสติให้มาก
"มะเร็งกำลังแพร่กระจายไปที่อวัยวะข้าง ๆ "
"แล้วแนวทางการรักษาล่ะ"
"ก็ต้องให้คีโม ไปหาหมอตามหมอนัด แต่ถ้า..."
"แม่จะไปหาหมออีกวันไหน"
"ถ้าแกไม่ว่างก็-..."
"แม่อย่า...อย่าพูดแบบนี้" รามสูรยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบใบหน้าของตนเอง เพื่อปิดบังน้ำตาที่มันกำลังไหลออกมา แค่เขาไม่รู้ว่าแม่ป่วยก็ทำให้รู้สึกสมเพชและเกลียดตัวเองมากพอแล้ว แล้วนี่แม่ยังไม่ให้เขาพาไปหาหมออีกเหรอ
"..."
"อย่าทำให้ผมเกลียดตัวเองไปมากกว่านี้ได้มั้ย"
"..."
"แม่ไปหาหมออีกวันไหน"
คุณนายรุ่งฤดีเงียบไปนาน ก่อนที่เธอจะพูดขึ้น
"หมอนัดอีกสามวัน"
"...อืม"
"..."
"แม่จะให้ผมบอกไอ้อัสหรือแม่จะเป็คนบอกมันเอง"
"...แกบอกก็ได้"
"ครับ"
สองแม่ลูกเงียบกันอยู่นานก่อนที่คุณหญิงรุ่งฤดีจะพูดถึงเื่ที่เธอ้าขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วเื่แต่งงาน”
“แม่...”
“ราม...แม่พูดจริง ๆ นะ”
“...”
“...”
“ขอผมคิดดูก่อนแล้วกัน”