“หลินเฟิง!!!”
หลิ่วเฟยตาค้างด้วยความตกตะลึง ที่แท้ชายสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ก็คือหลินเฟิงนั่นเอง! และเขายังเป็ผู้ช่วยชีวิตบิดาของนางเอาไว้?
หลิ่วชั่งหลันหันมามองหลินเฟิง เขาเคยพบหลินเฟิงอยู่ 2 ครั้ง และทุกครั้งอีกฝ่ายจะสวมหน้ากากสัมฤทธิ์เอาไว้ นี่เป็ครั้งแรกที่หลิ่วชั่งหลันได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหลินเฟิง
ใบหน้าสะอาดสะอ้านปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ซึ่งในสายตาของคนรุ่นเยาว์แล้ว รอยยิ้มนี้กลับแฝงไปด้วยความเย้ยหยันตัวเองอย่างอดไม่ได้
“เป็เด็กหนุ่มที่ดี!” หลิ่วชั่งหลันคิด ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาว่า “ไม่แปลกใจเลย อย่างไรเสียวีรบุรุษรุ่นเยาว์ก็มีมาั้แ่สมัยโบราณแล้ว”
ครั้งแรกที่หลิ่วชั่งหลันได้พบหลินเฟิง หลินเฟิงใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้หัวใจของเขาต้องสั่นสะท้าน และละทิ้งความคิดที่จะทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง
ครั้งที่สอง หลินเฟิงก็ยังคงใช้วาจาอันเฉียบคมโต้เถียงกับต้วนเทียนหลางต่อหน้าสาธารณชนจนทำให้มันถึงกับเถียงไม่ออก และยังทำลายศักดิ์ศรีของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่อีกด้วย
คนคนนี้ไม่เพียงแค่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังมีความกล้าหาญที่ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดและยังบ้าบิ่นมากอีกด้วย เขากล้าฉีกหน้าอ๋องเทียนหลางต่อหน้าฝูงชน โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายคือเชื้อพระวงศ์
หลิ่วชั่งหลันคาดไม่ถึงเลยว่า บุคคลที่ฉลาดไร้ซึ่งความกลัวและยังบ้าบิ่นคนนั้น จะยังเยาว์วัยอยู่มาก
“หลินเฟิง เมื่อกี้เ้าบอกว่าเ้าเป็คนรักของเฟยเฟย” ทันใดนั้นหลิ่วชั่งหลันก็นึกถึงคำพูดที่หลินเฟิงได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ทำให้เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา และถามย้ำว่า “มันเป็ความจริงหรือ?”
หลินเฟิงยกมือขึ้นเกาหัวอย่างทำอะไรไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกอายมาก เมื่อเงยหน้ามองหลิ่วเฟย ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังถลึงตาใส่เขาอย่างโมโหอยู่
“ท่านพ่อ ท่านอย่าไปฟังที่ไอ้บ้านี่พูดนะ เขาเป็แค่คนชั่วช้าที่น่ารังเกียจเท่านั้น!!!”
หลิ่วเฟยกล่าวด้วยความโกรธ ไอ้หมอนี่กล้าดีอย่างไรมาบอกว่านางคือคนรักของเขาต่อหน้าบิดาของนาง? นี่มันน่ารังเกียจเกินไปแล้ว!...
“คนชั่วช้าที่น่ารังเกียจ?!” หลินเฟิงได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกขัดใจเบาๆ นี่เขายังคงเป็ไอ้โรคจิตในสายตาของหลิ่วเฟยอยู่อีกเหรอ??? ด้วยความหมั่นไส้ หลินเฟิงจึงพูดขึ้นมาว่า “ไม่เอาน่าเฟยเฟย วันนั้นไม่ใช่เ้าเองหรือที่บอกกับคนอื่นๆ ว่าตัวเองเป็คนรักของข้าน่ะ แล้วทำไมข้าถึงกลายเป็คนชั่วช้าที่น่ารังเกียจไปได้ล่ะ? ถ้าเ้าอยากจะด่าใคร ก็ควรด่าตัวเองนะ”
“…” หลิ่วเฟยเกือบจะเป็ลม ความโมโหพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาถึงหน้าอก ไอ้… ไอ้คนเลว! ไอ้ขี้โกง!!!
ได้ยินดังนั้นหลิ่วชั่งหลันก็พลันตาค้างขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการสถานการณ์แบบนี้อย่างไรดี!!!
หลินเฟิงเห็นหลิ่วเฟยหน้าแดงขึ้นมาก็นึกลำพองใจอยู่นิดๆ หึๆ ให้มันรู้เสียบ้าง!!! ว่าผลของการมาด่าเขาว่าเป็คนชั่วช้าจะเป็อย่างไร?
เมื่อเห็นหลินเฟิงกับหลิ่วเฟยถลึงตาใส่กันอย่างไม่ยอมแพ้ หลิ่วชั่งหลันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เอาล่ะๆ เฟยเฟย พวกเรากลับกันเถอะ”
หลิ่วเฟยถลึงตาใส่หลินเฟิงด้วยความโกรธ แม้ในใจจะไม่ยินยอม แต่นางก็เชื่อฟังบิดาแต่โดยดี
ทั้งสามคนขี่ม้าจนมาถึงหน้าคฤหาสน์แม่ทัพ ซึ่งด้านหน้าของคฤหาสน์นั้นเต็มไปด้วยกองกำลังทหารม้าโลหิตจำนวนมาก ทันทีที่พวกเขาเห็นหลินเฟิง ก็รีบร้อนลงจากหลังม้าเพื่อคุกเข่าลงกับพื้น สร้างความใให้กับทั้งสามคนเป็อย่างมาก ขณะที่กำลังมึนงงอยู่นั้น เหล่าทหารก็พากันโขกศีรษะลงกับพื้นเสียงดัง
แต่ที่ทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ คนเหล่านี้ไม่ได้คุกเข่าให้หลิ่วชั่งหลันหรือหลิ่วเฟย แต่เป็... เขา?!
“ขอบคุณคุณชายมาก ที่ช่วยชีวิตท่านแม่ทัพของพวกเราไว้”
เหล่าทหารต่างะโขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน จนทำให้หลินเฟิงรู้สึกหูอื้อไปชั่วขณะ
“ทุกคนรีบลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก”
หลังจากหายมึนงงแล้ว หลินเฟิงก็ตอบกลับไปทันที พวกเขาคือทหารที่คอยปกป้องอาณาจักร พวกเขาคือวีรบุรุษ!!! แล้วจะให้พวกเขามาคุกเข่าโขกหัวเพื่อคำนับเขาได้อย่างไร?! เขาไม่อาจรับความเคารพนี้ได้!!!
“คุณชาย ครั้งนี้ท่านไม่เพียงแต่จะช่วยชีวิตของท่านแม่ทัพเท่านั้น แต่ยังช่วยชีวิตพวกข้าทั้ง 200 คนเอาไว้ หากท่านแม่ทัพของพวกเราตาย เมืองต้วนเริ่นก็คงถูกทำลายลงในไม่ช้า แล้วกองทัพของอาณาจักรโม่เยว่คงกรีธาทัพบุกเข้ามาในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ เมื่อถึงตอนนั้นเืคงไหลนองไปทั่วทั้งแผ่นดิน คุณชายท่านได้ช่วยชีวิตประชาชนของอาณาจักรเสวี่ยเยว่จำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ เพียงแค่คุกเข่าโขกหัวให้ท่าน มันยังไม่คู่ควรกับการกระทำของท่านเลย”
หนึ่งในทหารกล่าวขึ้นมา ขณะสบตากับหลินเฟิงอย่างจริงจัง ซึ่งมันทำให้หลินเฟิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เื่พวกนี้ เขาไม่เคยนึกถึงเลยแม้แต่น้อย
“…งั้นข้าขอรับการคำนับของพวกท่าน ทุกท่านโปรดลุกขึ้นเถอะ”
หลินเฟิงไม่ใช่คนหยิ่งผยอง เขารีบบอกให้ทุกคนลุกขึ้นยืนทันที เมื่อทุกคนลุกขึ้นยืน พวกเขาก็หันไปมองหลินเฟิงด้วยสายตาซาบซึ้ง
“เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะ”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวขณะโบกมือให้ทุกคนแยกย้าย
“หลินเฟิง คนเหล่านี้ถือว่าเป็กองกำลังที่ดีที่สุดของข้า พวกเขาทุกคนล้วนเป็ผู้นำของกองทหารม้าโลหิตนับพัน พวกเขาคือไพ่ตายของข้าและมีเพียงแค่ 500 คนเท่านั้น ข้าไว้ใจพวกเขามากเช่นเดียวกับที่ไว้ใจเหล่าทหารที่ติดตามข้าไปยังเมืองหลวง ถ้าหากเ้ามีโอกาสเข้าร่วมา พวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็ผู้ช่วยของเ้า”
หลิ่วชั่งหลันกล่าว ทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ “ผู้ช่วย… ของข้า?”
“ใช่ ผู้ช่วยของเ้า” หลิ่วชั่งหลันพยักหน้าและกล่าวต่อ “เ้าคงจะตระหนักได้ว่ามีบางคน้าที่จะสังหารข้า เมื่อถึงจุดหนึ่ง พวกเขาอาจจะทำสำเร็จ… ถ้าในอนาคตเ้าได้มีส่วนร่วมกับาเหล่านี้ พวกเขาก็จะมาเพื่อช่วยเ้า”
หลินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต?
หลินเฟิงสังเกตเห็นประตูทางอื่นและถอนหายใจ พวกเขาอยู่ทางชายแดนตอนเหนือของอาณาจักรซึ่งติดกับอาณาจักรอื่น ถ้ามีการโจมตีเกิดขึ้นในสักวันหนึ่ง แม้ว่ามันไม่ควรที่จะเกิดขึ้นก็ตาม ดินแดนของหลิ่วชั่งหลันคงจะเป็ที่แรกที่ต้องเข้าร่วมา
“เฟยเฟย เ้าไปก่อน ข้ากับหลินเฟิงจะไปเดินเล่นกันเสียหน่อย”
หลิ่วชั่งหลันกล่าว หลิ่วเฟยรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของพ่อตนเองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร
“ก็ได้” หลิ่วเฟยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะชักม้าให้เดินจากไป
“หลินเฟิง ไปที่ประตูเมืองกันไหม?”
หลิ่วชั่งหลันหันหน้ามาถามหลินเฟิง
แม้หลินเฟิงจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้ดีว่าหลิ่วชั่งหลันคงมีเื่อยากจะคุยกับเขาเป็การส่วนตัว ไม่เช่นนั้นคงไม่บอกให้หลิ่วเฟยจากไป
“อืม”
หลินเฟิงพยักหน้า พวกเขาทั้งสองคนขี่ม้าไปยังประตูเมืองทางทิศตะวันตก ที่นั่นเต็มไปด้วยเหล่าทหารจำนวนมากที่กำลังยืนประจำการตามจุดต่างๆ อย่างเป็ระเบียบ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเห็นหลิ่วชั่งหลัน แต่พวกเขาก็ยังคงยืนประจำจุดของตัวเอง ไม่มีการวิ่งเข้ามาคำนับ
หลิ่วชั่งหลันพาหลินเฟิงเดินขึ้นบันไดทางฝั่งซ้ายของประตูเมืองเพื่อไปที่ป้อม ทันใดนั้นลมหนาวก็พลันลอยเข้ามาปะทะใบหน้าของเขา
เมื่อมองไปรอบๆ หลินเฟิงก็ถูกทัศนียภาพตรงหน้าดึงดูดความสนใจไป
“เมืองต้วนเริ่น[1] ดาบที่แตกหัก” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาในหัวของเขา สมแล้วที่ชื่อต้วนเริ่น
พื้นดินอันกว้างขวางตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยประกายแสงสีเงินสว่างวิบวับจนละลานตา บนพื้นดินก็ปกคลุมไปด้วยดาบทหารที่แตกหัก!
กองดาบที่แตกหักบางส่วนก็ยังคงเย็นะเื บางส่วนก็เป็สนิมและบางส่วนก็มีเืที่แห้งกรังเกาะติดอยู่
“กองดาบที่แตกหักพวกนี้ ล้วนเป็อาวุธของเหล่าทหารที่พลีชีพในา ข้าไม่เคยสั่งให้พวกเขาเคลื่อนย้ายดาบเหล่านี้ ที่ข้าให้มันอยู่ที่นี่ ประการแรกก็เพื่อรำลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตในา ประการที่สองก็เพื่อย้ำเตือนผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวออกมาช้าๆ เขาชี้นิ้วไปยังทิศหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป ซึ่งตรงนั้นมีรอยคูน้ำขนาดใหญ่ มันดูเหมือนูเาั์ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ถูกดาบฟันออกเป็สองส่วน ตรงกลางของมันมีช่องว่างขนาดใหญ่ ดูๆ ไปแล้วมันก็คล้ายกับช่องผาในนิกายหยุนไห่ที่หลิ่วเฟยเคยฝึกอยู่ที่นั่น
แต่รอยคูน้ำนี้มันดูสูงและอันตรายกว่ามาก นอกจากนี้บนยอดรอยคูน้ำฝั่งพวกเขา มีทหารหลายคนคอยเฝ้าระวังอยู่ที่นั่น ถ้าหากฝั่งตรงข้ามคิดจะก้าวข้ามรอยคูน้ำนี้เข้ามา เกรงว่าคงจะถูกยิงจนตัวพรุนอย่างแน่นอน
“มันเรียกว่าเขตชายแดนต้วนเริ่น ถ้าเ้าข้ามชายแดนนี้ไป เกรงว่าเ้าคงไม่มีโอกาสรอดกลับมาได้”
“ชายแดนต้วนเริ่น” หลินเฟิงพึมพำออกมาเบาๆ
“อาณาจักรโม่เยว่กับอาณาจักรเสวี่ยเยว่นั้นแตกต่างกันมาก อาณาจักรของพวกเขาก่อตั้งขึ้นโดยเหล่าทหาร ทำให้พวกเขาก้าวร้าวและหยาบคายมาก อาณาจักรของพวกเขาไม่มีนิกาย ทั่วทั้งอาณาจักรก็รวมกันเป็ปึกแผ่น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะกองทัพหรือการบริหารของพวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีคูน้ำั์อันนี้อยู่ เกรงว่าเมืองต้วนเริ่นคงถูกทำลายลงไปนานแล้ว”
หลิ่วชั่งหลันเล่าเื่นี้ออกมา ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่มีทั้งนิกายและตระกูลที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเอาแต่พัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองโดยไม่สนใจเื่ราวของอาณาจักร ถ้าหากว่ากองทัพของอาณาจักรไม่สามารถต้านทานกองทัพของอาณาจักรโม่เยว่ได้จะเกิดอะไรขึ้น? ดังนั้นตอนที่อาณาจักรเสวี่ยเยว่ยังอยู่ใน่ก่อตั้ง หลิ่วชั่งหลันจึงตัดสินใจออกจากนิกายเพื่อมารับใช้อาณาจักร เขาหวังว่าเสวี่ยเยว่จะมีกองทัพที่แข็งแกร่งและไร้เทียมทาน
“หลินเฟิง สถานการณ์ของข้าเ้าก็คงได้เห็นแล้ว ข้าถูกคุกคามโดยราชวงศ์ หึๆ ภายนอกมีข้าศึกที่แข็งแกร่ง ภายในกลับมีราชวงศ์จ้องจะทำร้ายข้า ข้าไม่ใช่พระเ้าที่จะอยู่ยงคงกระพันไปได้ตลอด สักวันหนึ่งข้าก็ต้องตาย...”
หลินเฟิงแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา สิ่งที่หลิ่วชั่งหลันพูดล้วนเป็ความจริง ด้วยภัยจากศึกนอกกับศึกใน หากพลาดไปแม้แต่วินาทีเดียวก็อาจตายได้ นอกเสียจากเขาจะละทิ้งเมืองต้วนเริ่นกับกองทัพ รวมไปถึงตำแหน่งแม่ทัพไป ถึงจะสามารถได้รับความสงบสุข แต่หลินเฟิงก็รู้ดีว่าคนอย่างหลิ่วชั่งหลันคงไม่อาจทอดทิ้งพี่น้องของเขาและเมืองต้วนเริ่นไปได้
“หลินเฟิง ข้ามีบางอย่างที่อยากขอร้องเ้า”
หลินเฟิงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับหลิ่วชั่งหลัน
หลิ่วชั่งหลันกล่าวอย่างช้าๆ ชัดๆ ว่า “ช่วยดูแลเฟยเฟยให้ข้าด้วย…”
……………………………………………………………………………………………………………….
[1] เมืองต้วนเริ่น (断刃) หมายถึง ดาบหัก