ในห้องหนังสือของจวนตระกูลจาง จางเหม่ยอิงนั่งอยู่ท่ามกลางกองตำราหลายเล่มที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ โดยมีหงเอ๋อร์นั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ทั้งยังคอยช่วยหยิบจับหนังสือและเก็บให้เข้าที่
ใน่สองสามวันที่ผ่านมา จางเหม่ยอิงได้ทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนรู้วัฒนธรรมและประเพณีของยุคนี้อย่างจริงจัง เธอได้พบว่าความรู้ด้านภาษาจีนโบราณที่เคยเรียนกับอาจารย์หวังในอดีตกลับกลายมาเป็ประโยชน์อย่างยิ่ง
แม้ว่าภาษาจีนโบราณกับยุคปัจจุบันนั้นอาจจะมีคำที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่จางเหม่ยอิงก็สามารถเข้าใจเนื้อหาในตำราได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้หงเอ๋อร์อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะก่อนที่คุณหนูจะป่วยและฟื้นขึ้นมานั้น เธอไม่เคยสนใจตำราใดๆ เลย ดูจะชื่นชอบการเย็บปักถักร้อยและการทำขนมเสียมากกว่า
"คุณหนูของบ่าวเก่งมากเ้าค่ะ!" หงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงทึ่งพลางยิ้มภูมิใจ
"ข้าก็แค่พยายามเข้าใจให้มากที่สุด เพราะหากจะต้องอยู่ในที่แห่งนี้อย่างราบรื่น ข้าก็ต้องเรียนรู้ทุกอย่างให้เร็วที่สุด... ข้าไม่อาจเสียเวลาได้แม้สักชั่ววินาที"
พูดจบเธอก็ก้มลงอ่านตำราอีกครั้ง ชั่วขณะหนึ่งจางเหม่ยอิงกลับเผลอคิดถึงอาจารย์หวังที่สอยเธออ่านตัวจีนโบราณ น้ำตาก็ไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว
“ป่านนี้อาจารย์จะเป็อย่างไรบ้างนะ…” เธอพึมพำกับตัวเองอย่างเศร้าๆ แม้จะรู้ว่าคงเป็ไปไม่ได้ที่เขาจะมาอยู่ตรงนี้กับเธอ
ทันใดนั้น เสียงประตูห้องดังขึ้นและหวงเจียซินก็ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม จางเหม่ยอิงรีบปาดน้ำตาแล้วหันไปยิ้มรับ
“อ่านตำราเยอะไปแล้วนะลูกแม่ เ้าจะต้องดูแลสุขภาพตัวเองดีๆ การพักฟื้นมันสำคัญกับเ้ามากนะ อย่าหักโหมนัก” หวงเจียซินพูดพลางนั่งลงข้างเตียง
“ขอบคุณท่านแม่” จางเหม่ยอิงตอบกลับ แม้จะยังไม่คุ้นชินกับการเรียกหญิงผู้นี้ว่า ‘แม่’ แต่เธอก็พยายามแสดงออกให้เหมือนกับว่าตนนั้นรักครอบครัวนี้มาก
หวงเจียซินจับมือลูกสาวไว้เบาๆ
“ลูกอาจจะจำเื่ราวอะไรไม่ได้ แต่แม่คิดว่าแม่ควรบอกลูกเื่สำคัญเื่นี้…ถึงลูกจะความจำเสื่อมไปแล้ว แต่ราชโองการแต่งงานของเ้ากับองค์ชายสาม หวังกู้หย่ง ยังต้องเป็ตามเดิม ตระกูลของเรานั้นไม่สามารถขัดราชโองการของฝ่าาได้”
“ราชโองการแต่งงาน? ลูกต้องแต่งงานกับองค์ชาย…จริงหรือเ้าคะ?”
หวงเจียซินพยักหน้าช้าๆ “เป็ความจริง ลูกต้องแต่งงานกับองค์ชายสาม หวังกู้หย่ง แต่…ความสัมพันธ์ของตระกูลจางเรากับครอบครัวฝั่งองค์ชายหวังกู้หย่งนั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก มีเื่ราวที่ซับซ้อนมากมายที่แม่ไม่อาจอธิบายได้หมดในเวลานี้ แต่สิ่งที่แม่จะขอคือให้เ้าวางตัวอย่างเหมาะสม ลูกต้องไม่มีเื่ผิดใจกับองค์ชายในตอนนี้”
“เ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
“ดีมาก ถ้าเ้าได้กลับไปยังสำนักศึกษาในวังหลวง จำไว้ว่าควรทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเื่บาดหมางใดๆ และตั้งใจเรียนรู้เกี่ยวกับราชสำนัก เพราะในไม่ช้าเ้าอาจจะต้องเข้าไปเป็ส่วนหนึ่งของมัน”
หลังจากจบสนทนากับมารดา จางเหม่ยอิงตัดสินใจเดินออกมาพร้อมกับหงเอ๋อร์ที่คอยเดินตามดูแลอยู่ข้างๆ
“คุณหนูเ้าคะ ท่านกังวลเื่การแต่งงานกับองค์ชายหวังกู้หย่งหรือไม่?” หงเอ๋อร์เอ่ยถาม
“จะว่าไปก็ใช่…ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ แถมท่านแม่บอกว่าฝั่งครอบครัวองค์ชายไม่ชอบพวกเรา แล้วข้าจะใช้ชีวิตกับเขาได้อย่างไร?”
ภายในจวนเมฆาหิมะ แสงแดดส่องผ่านรั้วสูงที่ปกคลุมด้วยเงาหิมะ หวังกู้หย่งขมวดคิ้วขณะตั้งสมาธิจดจ่อกับเป้าหมายข้างหน้า
องค์ชายสาม หวังกู้หย่ง เป็ชายหนุ่มที่งามสง่าราวกับเทพเซียน รูปร่างสูงโปร่งและสง่างาม ผิวพรรณขาวกระจ่างตัดกับดวงตาคมเข้มลึกซึ้งซึ่งมักแฝงความเ็า สันจมูกโด่งเป็เส้นตรงรับกับใบหน้าได้รูปที่เฉียบคม ทุกครั้งที่เขายิ้มหรือแม้แต่สบตาเพียงชั่วครู่ มักสะกดสายตาของผู้คนรอบข้างให้หยุดนิ่งด้วยความน่าเกรงขามและเสน่ห์อันทรงพลัง
เขาดึงสายธนูให้ตึง มองไปยังเป้าที่อยู่ไกล ทันใดนั้น เสียงของเหว่ยเฟิง องครักษ์ประจำตัวดังขึ้นอย่างนอบน้อม
“องค์ชาย…ว่ากันว่าคุณหนูจางฟื้นขึ้นมาแล้ว ทุกคนคิดว่านางจะต้องตาย แต่นางกลับฟื้นขึ้นมาอย่างไม่มีใครคาดคิด เราจะทำอย่างไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ?”
หวังกู้หย่งลดธนูลง แววตาคมกริบของเขาสะท้อนความเ็าที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ฟื้นมางั้นหรือ? หากเสด็จพ่อบอกให้ข้าแต่งกับนาง ข้าก็ต้องแต่ง… จะให้ทำอย่างไร ยกเลิกการแต่งงานให้ถูกเนรเทศหรือถูกสั่งปะางั้นหรือ”
เขายักไหล่เล็กน้อยอย่างไม่สนใจ “ถ้าต้องแต่งงานกันก็แต่งนางเข้ามาก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลังว่าจะจัดการนางอย่างไร”
เหว่ยเฟิงพยักหน้าเบาๆ แต่ยังมององค์ชายด้วยความกังวล
“กระหม่อมแค่กลัวว่าเื่นี้จะทำให้พระองค์…”
หวังกู้หย่งตวัดสายตามามองเหว่ยเฟิง ทำให้องค์รักษ์หนุ่มเงียบลงไปในทันที เขาหันกลับไปจับคันธนูอีกครั้ง
“ข้าเกลียดคนแซ่จาง ไม่ว่านางจะฟื้นมาหรือไม่ข้าได้ใส่ใจไม่ นางก็เป็ได้แค่เพียงตัวหมากในแผนการของเสด็จพ่อก็เท่านั้นเอง”
หวังกู้หย่งหวนคิดไปถึงแม่ทัพใหญ่ ผู้ที่เป็ดั่งอาจารย์ที่เขาเคารพเทิดทูนดุจบิดา ภาพที่แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นนอนเสียชีวิตอย่างปริศนาและถูกโยงไปยังตระกูลจางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความแค้นที่บ่มเพาะจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาจนยากที่จะปล่อยวาง
“แต่หากเป็ความประสงค์ของฝ่าา องค์ชายจะต้องใช้ชีวิตร่วมกับคุณหนูจางในฐานะพระชายา…”
หวังกู้หย่งยิงธนูออกไปอย่างแรง เสียงธนูแหวกอากาศดังก้อง เสียดแทงเป้าหมายอย่างเต็มแรงราวกับว่าคุณหนูจางคนนั้นเป็เป้านิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ใช้ชีวิตร่วมกันงั้นหรือ?” เขาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ข้าจะเป็เพียงพระสวามีแต่งและอยู่กับนาง ความรักจากข้าอย่าหวังเลยว่านางจะได้รับมัน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้