“ไอ้หนู เ้ากล้าดียังไงมาดูถูกชาวอาณาจักรเว่ย ครั้งนี้ถือว่าเ้าดวงซวยแล้วกัน!”
ซิวเหวินเห็นเย่เฟิงนิ่งไม่ไหวติงก็คิดว่าเย่เฟิงถอดใจยอมแพ้แล้ว จึงกล่าวได้ใจเช่นนั้น
แต่เมื่อพลังฝ่ามือของซิวเหวินเข้าใกล้ตัวเย่เฟิง จู่ ๆ เย่เฟิงวาดฝ่ามือโจมตี ก่อนเข้าปะทะกับฝ่ามือของซิวเหวิน ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น คลื่นทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ พร้อมกับมีเสียงกรีดร้องดังออกมา จากนั้นผู้คนเห็นซิวเหวินถูกฝ่ามือของเย่เฟิงซัดกระเด็นและกระอักเืออกมา
“อะไรน่ะ?” นาทีนี้ผู้คนต่างต้องตกตะลึง พร้อมตัวสั่นสะท้าน
“เป็... เป็ไปได้ยังไง? ซิวเหวินอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 พลังแห่งอำนาจก็บรรลุขั้นกายา่ปลาย แต่กลับถูกชายผู้นั้นซัดกระเด็นเนี่ยนะ ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
“แข็งแกร่งมาก ซัดกระเด็นในหนึ่งการโจมตี นี่พิสูจน์ได้ว่าทั้งสองคนห่างชั้นกัน ไม่รู้ว่าชายขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ผู้นี้จะแข็งแกร่งถึงระดับไหน?”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จู่ ๆ ผู้คนในงานประมูลก็ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และเริ่มสนใจเย่เฟิง
“สมควรตาย!”
ฝั่งที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติ เว่ยเจิ้นเทียนเห็นฉากนี้ก็ปลดปล่อยไอสังหารออกมาทันที แม้แต่หวงเหยียนิ เหลียงปู้ผั่ว และจ้าวหยางก็ยังประหลาดใจ ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้พวกเขาใเป็อย่างมาก
“เหตุใดข้ารู้สึกว่าเคยเจอคนผู้นี้มาก่อน?” หวงเจาอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ หวงเหยียนิกล่าวด้วยความสงสัย พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หรือจะเป็คนคนนั้น?” จู่ ๆ ภาพเงาร่างของคนผู้หนึ่งผุดขึ้นในหัวของหวงเจาอี๋ นั่นคือชายหนุ่มที่ดูถูกและทำให้นางอับอายขายหน้า
“ไม่ เป็ไปไม่ได้ เขาฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลอู๋ไปตั้งมากมาย ก่อหายนะครั้งใหญ่ แล้วจะกล้าปรากฏตัวที่นี่ได้ยังไง แต่ถ้าเป็เช่นนั้น เขาก็คงเข้ามาติดกับดักเสียเองน่ะสิ?”
หวงเจาอี๋ขบคิด แต่จากนั้นก็สลัดความคิดนี้ทิ้งไป เพราะนางไม่คิดว่าจะมีคนใจกล้ามากเพียงนี้
“ให้ข้าคุกเข่าขอโทษ เ้ามีสิทธิ์นั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าวขณะมองซิวเหวินและกงเชาด้วยสายตาเย็นะเื
เมื่อชาวอาณาจักรเว่ยได้ยินเช่นนั้นต่างก็มองเย่เฟิงด้วยสายตาอาฆาต เย่เฟิงดูิ่อาณาจักรเว่ย แต่การที่ถูกชายไร้นามที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ดูิ่เช่นนี้ ทำชื่อเสียงของอาณาจักรเว่ยเสียหายย่อยยับ
อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเว่ยยังไม่ทันเคลื่อนไหว จู่ ๆ ก็เห็นชายชราผู้หนึ่งเดินขึ้นเวทีประมูล เขากวาดมองฝูงชนด้วยสายตาคมกริบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ทุกท่านเดินทางมาเพื่อเข้าร่วมงานประมูลที่ทางหอการค้าเทียนจี๋จัดขึ้น ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว งานประมูลจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!”
เมื่อเห็นชายชราประกาศเปิดงานประมูล ทำให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเว่ยกัดฟันกรอด พวกเขาทำได้เพียงระงับความโกรธไว้ในใจ
“ชายผู้นี้ล่วงเกินชาวอาณาจักรเว่ย แม้ตอนนี้จะรอดไปได้ หากจบงานนี้เมื่อไหร่ เขาได้จบเห่เป็แน่!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว โดยที่ไม่คิดว่าอาณาจักรเว่ยจะรามือไปง่าย ๆ เช่นนี้
เย่เฟิงไม่สนใจซิวเหวินและกงเชา เขาหันไปพูดกับกงซุนหลิงเอ๋อร์ว่า “หลิงเอ๋อร์ นั่งกันเถอะ”
“อืม” กงซุนหลิงเอ๋อร์ผงกศีรษะขึ้นลง แม้ว่าตบะของนางจะสูงกว่า แต่นางกลับรู้สึกว่าอยู่ข้างกายเย่เฟิงแล้วปลอดภัยมากกว่า
จุดประสงค์ที่เย่เฟิงเดินทางมายังเมืองลอยฟ้าในครั้งนี้ก็คือตามหาหญ้าหนวดั ดังนั้นหากชาวอาณาจักรเว่ยไม่เป็ฝ่ายก่อปัญหาก่อน เขาก็ไม่มีทางไปยั่วยุอีกฝ่าย
“ปล่อยคนคนนี้ไปก่อน ไว้จบงานประมูลเมื่อไหร่ เขาต้องตายเท่านั้น” เว่ยเจิ้นเทียนคิดในใจขณะปรายตามองเย่เฟิงแวบหนึ่ง เขาจะปล่อยให้ผู้ที่ดูิ่ชาวอาณาจักรเว่ยรอดชีวิตไปได้อย่างไร?
เมื่องานประมูลเริ่มต้นขึ้น เหล่าผู้คนต่างพากันตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย
ไม่นานของประมูลชิ้นที่หนึ่งก็ปรากฏบนเวที ซึ่งเป็ดาบเล่มหนึ่งที่หลอมขึ้นจากเหล็กทมิฬ ตัวดาบยังเปล่งแสงสีฟ้า ทันทีที่ดาบถูกชักออกจากฝักก็มีปราณแหลมคมพวยพุ่งออกมา ทำให้ผู้คนในที่แห่งนั้นรู้สึกไม่สบายตัว ราวกับถูกของบางอย่างที่แหลมคมตรึงร่างไว้
“ดาบเล่มนี้มีนามว่าดาบทมิฬ เป็อาวุธที่หาได้ยากมาก เหมาะสมกับนักดาบขั้นยุทธ์แท้ ราคาเริ่มที่ 100 หินหยวนระดับกลาง ผู้ที่ประมูลในราคาสูงสุดจะได้มันไป เริ่มประมูลได้!”
บนเวทีประมูล ชายชราผู้ดำเนินการกล่าวแนะนำดาบทมิฬเล่มนั้น แต่ทันทีที่สิ้นเสียงของเขาก็มีผู้ฝึกยุทธ์เสนอราคาอย่างต่อเนื่อง
“100 หินหยวนระดับกลาง!”
“200 หินหยวนระดับกลาง!”
“400 หินหยวนระดับกลาง!”
……………..
เสียงแล้วเสียงเล่าดังขึ้นไม่หยุด แม้สมบัติชิ้นที่หนึ่งจะไม่ใช่ของที่ล้ำค่าที่สุด แต่การแข่งขันก็ดุเดือดมาก เพราะมีหลายคนต่างอยากได้ดาบเล่มนี้มา ถึงอย่างไรสมบัติชิ้นนี้ก็เป็ของหาได้ยาก
นอกจากนี้งานประมูลของหอการค้าเทียนจี๋ยังเป็งานระดับสูงที่สุดของเมืองลอยฟ้า ซึ่งงานนี้จะจัดขึ้นทุกปี เวลาการจัดงานไม่แน่นอน ซึ่งงานประมูลในครั้งนี้ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดใน่หลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นผู้คนจึงไม่อยากพลาดโอกาสครั้งนี้หลายคนจึงพยายามที่จะประมูลของบางอย่างมาให้ได้ แต่ก่อนอื่นจะต้องมีหินหยวนเพียงพอ
แน่นอนว่าผู้ที่สามารถประมูลในราคาสูงได้ล้วนเป็คนไม่ธรรมดา มีฐานะสูงส่ง ทำให้คนระดับล่างไม่มีกำลังที่จะเสนอราคาสูงได้
ราคาเริ่มต้นที่ 100 หินหยวนระดับกลาง เทียบเท่ากับหินหยวนระดับล่างหมื่นก้อน ราคาเช่นนี้ถือว่าสูงมาก และไม่ใช่คนธรรมดาจะประมูลมาได้
ผู้คนประมูลแย่งชิงดาบทมิฬกันอย่างดุเดือด แต่คนระดับสูงเ่าั้ที่นั่งในฝั่งแขกผู้มีเกียรติกลับไม่คิดจะประมูลมัน พวกเขาเพียงนั่งดูพร้อมเหยียดยิ้มจาง ๆ
สุดท้ายแล้วดาบทมิฬเล่มนั้นก็ถูกชายหนุ่มผู้หนึ่งจากตระกูลอู๋ประมูลไปด้วยราคา 1,200 หินหยวนระดับกลาง ทำให้ผู้คนต่างพากันอ้าปากค้าง เพราะว่า 1,200 หินหยวนระดับกลางเทียบเท่ากับ 120,000 หินหยวนระดับล่าง หินหยวนจำนวนมากเช่นนี้สามารถก่อตั้งสำนักขนาดเล็กได้เลย
เมื่อก่อนดาบหงส์แดงที่เย่เฟิงซื้อให้ฉินเยียนหรานก็มีราคาสองหมื่นหินหยวนระดับล่าง นั่นถือว่าราคาสูงมากทีเดียว
หนึ่งชั่วยามต่อมา สินค้าถูกนำขึ้นประมูลตามลำดับ ซึ่งสมบัติล้ำค่าขึ้นเรื่อย ๆ และเป็ของที่หาได้ยาก ของเหล่านี้แบ่งเป็อาวุธ เม็ดยา หญ้าิญญา และของอื่น ๆ อีกมากมาย
เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์คอยดูอยู่เงียบ ๆ โดยไม่เข้าร่วมประมูลของเหล่านี้ แม้ของเหล่านี้จะถือว่าเป็ของล้ำค่า แต่กลับเป็ของธรรมดาสำหรับเย่เฟิง
หลังจากที่เย่เฟิงได้รับแหวนมิติของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะสี่คน เขาก็ไม่ขาดของเหล่านี้อีกเลย กระทั่งของบางอย่างที่อยู่ในมือของเย่เฟิงมีคุณภาพสูงกว่าของที่ถูกนำมาประมูลเสียด้วยซ้ำ
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม เกราะทองคำกิเลนหนึ่งในของสามชิ้นที่เลื่องชื่อที่สุดในตำนานของงานประมูลก็ปรากฏต่อสายตาผู้คน
ชายชราผู้ดำเนินการนำเกราะทองคำกิเลนออกมาแสดงต่อหน้าผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งเกราะเปล่งแสงเป็ประกาย ก่อนจะสว่างไปทั่วทั้งงานประมูล ทำให้หลาย ๆ คนหลับตาลงโดยไม่กล้ามองมันตรง ๆ
“เกราะทองคำกิเลนสมคำร่ำลือตามคาด หากข้าได้สวมใส่มัน พลังป้องกันจะต้องน่าสะพรึงกลัวขึ้นเป็แน่” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยความตื่นเต้น ชุดเกราะป้องกันที่สามารถต้านทานการโจมตีเต็มกำลังของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ แล้วผู้คนจะอดใจไหวได้อย่างไร แม้แต่สี่อัจฉริยะบุรุษแห่งแดนชิงอวิ๋นที่นิ่งเงียบมาตลอดงานประมูล พอเห็นเกราะทองคำกิเลนปรากฏต่างก็ตาลุกวาวด้วยความสนใจ
“เกราะทองคำกิเลนชุดนี้ ข้าจองแล้ว!” เว่ยเจิ้นเทียนกล่าว เขาพูดตรง ๆ ว่าเกราะทองคำกิเลนเป็ของเขา ราวกับว่าเขาเว่ยเจิ้นเทียนบอกอยากได้สิ่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดแย่งชิงกับเขาได้
“พี่เว่ยอย่าตัดสินใจเร็วเกินไปสิ ข้าเองก็สนใจเกราะทองคำกิเลนนี้เหมือนกัน” เหลียงปู้ผั่วกล่าว
“ผู้แซ่จ้าวก็สนใจเช่นกัน” จ้าวหยางกล่าวพลางยิ้ม พร้อมดวงตาฉายแววมั่นใจ ในฐานะองค์ชายแห่งอาณาจักรหนึ่ง จ้าวหยาง เหลียงปู้ผั่ว และเว่ยเจิ้นเทียนไม่เคยขาดทรัพยากร ของธรรมดาก็ย่อมไม่ดึงดูดความสนใจจากพวกเขา อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่งานประมูลนี้ดึงดูดพวกเขาได้เป็เพราะของสามชิ้นนั้น พวกเขาจึงรีบรุดมาที่นี่และเตรียมตัวมาเป็อย่างดี
สามในสี่อัจฉริยะบุรุษต่างพากันสนใจเกราะทองคำกิเลน ส่วนหวงเหยียนิที่เป็เ้าภาพก็สังเกตการณ์ทั้งสามคนอย่างเงียบ ๆ
“เกราะทองคำกิเลนจะตกเป็ของใคร เมื่อจบการประมูลเดี๋ยวก็รู้ผล พวกเรามาแข่งกันเถอะ!” เว่ยเจิ้นเทียนได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวด้วยความมั่นใจ ราวกับว่างานประมูลมีไว้สำหรับเขาเว่ยเจิ้นเทียน
“เกราะทองคำกิเลน ข้าจะไม่แนะนำให้มากความ เชื่อว่าทุกท่านคงเคยได้ยินกันมาแล้ว ราคาเริ่มที่ 1,000 หินหยวนระดับกลาง เริ่มประมูลได้” ชายชราผู้ดำเนินการกล่าวขณะมองฝูงชน
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตะลึงงัน หินหยวนระดับกลาง 1,000 ก้อนเทียบเท่ากับหินหยวนระดับล่างแสนก้อน ซึ่งมีราคาสูงกว่าดาบทมิฬถึงสิบเท่า
นอกจากแขกผู้มีเกียรติสองสามคนแล้วยังมีอีกหลายคนที่สนใจเกราะทองคำกิเลน แต่พอได้ยินราคาเริ่มต้นของมันต่างก็เผยสีหน้าหมดหวัง พวกเขาต่างทราบกันในทันทีว่าตนเองกับเกราะทองคำกิเลนนั้นคงไม่มีวาสนาต่อกัน อย่าว่าแต่จะประมูลมันมาเลย หลายคนในที่นี้ก็มิอาจนำหินหยวนระดับกลาง 1,000 ก้อนออกมาได้
อย่างไรก็ตามมีคนจำนวนมากมีฐานะร่ำรวย เมื่อสิ้นเสียงของชายชราก็มีผู้ฝึกยุทธ์เสนอราคาในทันที
“1,000 หินหยวนระดับกลาง!”
“1,100 หินหยวนระดับกลาง!”
…………….
เสียงเสนอราคาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะทุกคนต่างอยากได้เกราะทองคำกิเลนมา ดังนั้นจึงเสนอราคาสูง ๆ อย่างไม่ลังเล
“ตาบ้า เ้าไม่อยากได้เกราะทองคำกิเลนนี่หรือ?” กงซุนหลิงเอ๋อร์เอ่ยถามเย่เฟิง
“เป้าหมายของข้าไม่ใช่ของชิ้นนี้ รอดูไปสักพักก่อน” เย่เฟิงกล่าว เขานั้นมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือหญ้าหนวดั ก่อนเขามาที่นี่ก็ได้พิจารณาของประมูลชิ้นอื่นด้วย แต่คิดไปคิดมา หญ้าหนวดัก็ล้ำค่ามากพอแล้วและเป็สิ่งที่เย่เฟิง้า อีกอย่างตอนนี้ตัวตนของเขาก็ละเอียดอ่อน ทำตัวเงียบเข้าไว้จะดีกว่า
ถึงอย่างนั้น ต่อให้เย่เฟิงประมูลหญ้าหนวดัมาได้ก็ยังไม่สามารถตอบสนองความ้าของเขาได้อย่างเต็มที่
เมื่อผู้คนรอบข้างได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนต่างก็มองมาด้วยสายตาดูถูก พวกเขาคิดว่าพวกเย่เฟิงพูดโม้ ทั้งที่ประมูลไม่ได้ แต่กลับบอกไม่สนใจ ช่างน่าขันยิ่งนัก
