“ก็ได้” จี๋โม่หานถอนหายใจ เขายอมผละออกจากซูิเยว่แล้วยืนขึ้น “แม่หนู เ้าไปกับข้า”
“ได้สิ!”
ทั้งสองคนเดินไปที่เรือนหน้าด้วยกัน คนที่มาจากวังก็คือหยวนเฉียวกงกงข้างกายของฮ่องเต้ เพราะถูกทิ้งให้อยู่ตรงนั้นนาน ตอนนี้สีหน้าของเขาจึงไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร แต่ติดอยู่ที่จี๋โม่หานจึงไม่กล้าพูดอะไร
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
เสียงของจี๋โม่หานกลับมาเ็าตามปกติอีกครั้ง “หยวนกงกงเกรงใจกันเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่ามาที่นี่ฝ่าามีอะไรจะรับสั่งหรือ?”
“ฝ่าามีรับสั่งจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” หยวนเฉียวพูดไปก็รับฎีกาหนึ่งแผ่นจากมือของคนรับใช้ด้านหลัง ก่อนจะพูดเสียงแหลม “องค์ชายสามจี๋โม่หาน ซูิเยว่รับฎีกา”
จี๋โม่หานยืนนิ่งไม่ขยับ สีหน้าหยวนเฉียวก็ย่ำแย่ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่านี่เป็คำสั่งที่ฮ่องเต้พูดเองก่อนหน้านี้ ว่า จี๋โม่หานไม่จำเป็ต้องคุกเข่าทำความเคารพ ถึงแม้ตอนนี้ขาจะหายดีแล้วก็เป็สิทธิ์ของเขา
สายตาไม่เป็มิตรของเขากวาดมองไปทั้งตัวของซูิเยว่ แล้วก็พูดเสียงดังขึ้นมาหลายระดับ “ซูิเยว่ เ้ากล้ามากนัก รับฎีกาแล้วยังไม่คุกเข่า?”
ซูิเยว่กะพริบตา สีหน้าเรียบเฉย ยืนนิ่งไม่ขยับ
จู่ๆ บนตัวของจี๋โม่หานก็คล้ายกับมีไอเย็นแผ่ออกมาไปถึงตัวของหยวนเฉียว เขาเอ่ยเสียงเย็น “พระชายาของข้าไม่จำเป็ต้องคุกเข่า หากกงกงไม่ประกาศฎีกาออกมา เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่อยู่แล้ว”
หยวนเฉียวตอนนั้นโกรธจนหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง ตัวสั่นพูดอะไรไม่ออก
เขากางฎีกาออกแล้วเริ่มประกาศ “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ที่พระกระแสรับสั่ง ซูิเยว่บุตรีของจวนสกุลซู ผู้เก่งกาจและมีสติปัญญาปราดเปรื่อง รูปลักษณ์งดงาม อยู่ในวัยที่เหมาะสมจะแต่งงาน จึงได้ประทานงานแต่งให้กับองค์ชายสามจี๋โม่หาน ณ บัดนี้”
ซูิเยว่ชะงักไป ยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา จี๋โม่หานก็เดินไปรับฎีกาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กระหม่อมรับฎีกา”
หยวนเฉียวส่งฎีกาให้จี๋โม่หาน “ในเมื่อประกาศฎีกาเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นกระหม่อมจะกลับไปรายงานที่วังพ่ะย่ะค่ะ”
“เดินทางปลอดภัยหยวนกงกง”
หลังจากหยวนกงกงพาคนออกไปแล้ว ซูิเยว่ถึงได้มองจี๋โม่หานด้วยใบหน้าตกตะลึง ฎีกานี้มากะทันหันแบบไม่คาดคิด นางจึงยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย
“นี่...เหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้ถึงได้ประทานงานแต่งให้พวกเรากัน?”
จี๋โม่หานยกยิ้มแล้วส่งฎีกาไปให้หลิงชวน “ทำไมเล่า หรือว่าแม่หนูไม่ดีใจหรือ?”
“ไม่ใช่เพคะ เื่นี้หม่อมฉันย่อมดีใจอยู่แล้ว” ได้อยู่กับจี๋โม่หานนางดีใจแน่นอน แต่ว่าจู่ๆ ก็ประทานการแต่งงานให้มันก็กะทันหันเกินไป นางยังไม่ทันได้เตรียมใจ “หม่อมฉันเพียงแต่ประหลาดใจ เหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้ก็ประทานการแต่งงานให้พวกเราสองคน”
จี๋โม่หานยกยิ้มเย็นแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คนสองคนอยู่ในแหเดียวกันก็ดีกว่าแยกออกจากกันแล้วก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สงบมากกว่าเดิม”
ซูิเยว่มองจี๋โม่หานอย่างตกตะลึงก่อนจะกะพริบตาปริบๆ “ที่ท่านจะบอกก็คือ....ฮ่องเต้อยากจะกำจัดพวกเราสองคน?”
ถูกต้อง หากฮ่องเต้อยากจะกำจัดพวกเขา เอามาอยู่ด้วยกันเป็อะไรที่สะดวกกว่า
จี๋โม่หานไม่ได้ตอบคำถามนางอีก เขาพรายยิ้มอ่อนโยน “เอาล่ะแม่หนู อย่าคิดอะไรเลย ยังมีข้าอยู่นะ เ้าไม่ต้องกังวล”
ไม่ว่าฮ่องเต้จะมีความคิดอะไร ขอแค่มีเขาอยู่ เขาจะไม่มีทางให้คนอื่นมาแตะต้องแม่หนูของเขาแม้แต่ปลายนิ้วก้อย
ถึงซูิเยว่จะรู้ความคิดของฮ่องเต้ แต่นางก็ไม่หวาดกลัวเลยสักนิด หากอีกฝ่ายอยากจะลงมือกับพวกเขาจริงๆ อย่างมากก็แค่รับมือตามสถานการณ์ นางเชื่อใจจี๋โม่หาน
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรกับฎีกานี้ดี?”
ถึงแม้นางจะชอบจี๋โม่หาน แต่จู่ๆ ก็มาคุยเื่แต่งงานกันแล้ว นางยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย
จี๋โม่หานแค่เดาก็รู้ว่าแม่หนูของเขาคิดอะไร ปลายนิ้วจึงเขี่ยที่ฝ่ามือของซูิเยว่ “แม่หนูไม่ต้องกังวล เป้าหมายหลักฎีกาของฮ่องเต้ก็คือให้คนอื่นได้เห็น พวกเราไม่ต้องรีบร้อน รอแม่หนูเตรียมตัวพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน”
ซูิเยว่เงยหน้ามองจี๋โม่หาน ในใจก็อบอุ่นขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันไม่อยากแต่งงานกับท่าน แต่แค่ยังมีเื่อีกมากมายที่ยังไม่ได้จัดการ หม่อมฉันเองก็ยังไม่ได้เตรียมตัว”
“ข้ารู้ แม่หนูไม่ต้องวุ่นวายใจเพราะเื่นี้หรอก”
เมื่อรู้ว่าจี๋โม่หานเข้าใจนาง ซูิเยว่ก็ดีใจมาก
ตอนที่ทั้งสองจะกลับไปเรือนหลัง องครักษ์ที่หน้าประตูก็มารายงาน “องค์ชาย ใต้เท้าสกุลซูมาหาพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของจี๋โม่หานไม่ได้มีความยินดีเลยสักนิด เขาก้มหน้าไปถามความเห็นซูิเยว่เสียงเบา “จะพบหรือไม่ หากไม่อยากพวกเราก็ไม่ต้องไปพบ”
ซูิเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงแม้นางจะไม่อยากเจอซูโม่ โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าตัวเองถูกซูโม่วางยาพิษ แต่ที่อีกฝ่ายมาหานางคงจะมีธุระอะไรแน่นอน นางเองก็อยากรู้ อีกทั้งมีหลายเื่ที่อยากจะพูดคุยกันให้ชัดเจน
“งั้นไปเจอก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นก็ได้” จี๋โม่หานให้ความเคารพในทุกการตัดสินใจของซูิเยว่
เขาจูงนางเดินไปนั่งด้านข้าง ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเย็น “เชิญใต้เท้าซูเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เพียงครู่เดียว ซูโม่ก็เดินตามหลังองครักษ์เข้ามา แต่ว่าเขากลับมาคนเดียว เื่นี้ทำให้ซูิเยว่ใ เขาไม่ได้ระมัดระวังเื่ของนางกับจี๋โม่หานเลยหรือ
ซูโม่เดินมาหยุดตรงหน้าจี๋โม่หาน สีหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติ ดูแล้วมองไม่ออกว่าคิดอะไร “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะองค์ชายสาม”
เขาพูดแล้วมองไปทางซูิเยว่ที่อยู่ด้านข้างจี๋โม่หาน แต่ไม่ได้ปริปากอะไร มองแค่ครู่เดียวก็เก็บสายตากลับไป
ซูิเยว่เองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะยืนขึ้นมาทักทาย
จี๋โม่หานยกมือขึ้นน้อยๆ เอ่ย “ใต้เท้าซูไม่จำเป็ต้องมากพิธีหรอก นั่งเถิด”
ซูิเยว่ถูกใส่ร้ายจนเข้าคุก แต่ผู้เป็บิดากลับไม่คิดจะเอ่ยปากขอร้องสักประโยค จี๋โม่หานจึงไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรให้อีกฝ่ายเลย ตอนนี้ก็แค่ให้เกียรติหน้าตาของซูิเยว่ก็เท่านั้น
หลังจากซูโม่นั่งลงแล้วถึงจะหันไปมองซูิเยว่แบบเต็มตา สายตามีแววตาพิจารณาอยู่ “ได้ยินมาว่าเ้าได้รับาเ็ ร่างกายเป็อย่างไรบ้าง?”
ซูิเยว่มองซูโม่แล้วเลิกคิ้วขึ้น นางประหลาดใจเล็กน้อยที่เขาถามคำถามเช่นนี้ออกมา ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อย “ลูกสบายดีมากเ้าค่ะ ไม่ต้องให้ท่านพ่อเป็ห่วงหรอกเ้าค่ะ”
หากนางเป็อะไรขึ้นมาจริงๆ มันก็จะเป็ไปตามที่เขา้าไม่ใช่หรือ จนถึงตอนนี้ซูโม่ยังทำท่าทีเสแสร้งจอมปลอมอยู่อีก นางจึงอดที่จะแค่นหัวเราะออกมาไม่ได้
ซูโม่เหมือนฟังไม่ออกว่าในคำพูดของซูิเยว่มีการเสียดสีแฝงอยู่ เขายังคงพยักหน้าน้อยๆ “เ้าไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว ที่ข้ามาในวันนี้ก็แค่อยากจะมาเยี่ยมเ้า เ้าเองก็ไม่ได้กลับบ้านนานมากแล้ว”
ซูิเยว่หัวเราะออกมา มือที่กุมอยู่กับจี๋โม่หานกำเข้าหากันแน่นขึ้น “ท่านพ่ออยากจะมาดูว่าลูกตายไปแล้วหรือยังใช่หรือไม่เ้าคะ? เช่นนั้นก็แย่หน่อย เพราะมันไม่ได้เป็ไปอย่างที่ท่าน้า”
พอรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของซูิเยว่ มือของจี๋โม่หานก็กุมประสานนิ้วของนาง อีกมือหนึ่งก็ลูบหลังของนางเบาๆ
ในที่สุดอารมณ์ของซูโม่ก็เปลี่ยนไป คิ้วขมวดเข้าหากัน ดวงตาจ้องซูิเยว่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหมือนจะถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา “ข้ารู้ว่าเ้ากำลังโกรธข้า โกรธที่ข้าไม่เชื่อเ้า ไม่ได้ไปขอร้องฝ่าาแทนเ้า”