23 พฤษภาคม พ.ศ. 3600
ราชอาณาจักรไทย
กรุงเทพฯ
“คิดว่าลูกของเรามีโอกาสจะถูกองค์กรเชิญเข้าร่วมเหมือนพวกเราสองคนไหม” พิพัฒน์ถามพลางอ่านหนังสือพิมพ์
ขอ“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พวกเราเองก็เจอกันที่นั่นแล้วแต่งงานกัน อนาคตมันมีอะไรไม่แน่นอน รวมถึงไม่รู้กฎเกณฑ์ในการเลือกด้วยซ้ำ เพื่อนฉันถูกเลือกแต่เพื่อนคุณไม่” เนตรดาวตอบพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“การไม่ถูกเชิญอาจจะสบายกว่าก็ได้ พวกเราก็ต้องเก็บเป็ความลับต่อไป เอกสารรายงานอาการลูกล่าสุดยังแพนิคอยู่เลย จะกลับไปเรียนไหวหรือเปล่า”
“ปล่อยลูกไปเถอะค่ะ บางอย่างพวกเราไม่สามารถเป็รั้วหนามให้ตลอดชีวิต ของแบบนี้ต้องเผชิญด้วยตนเอง”
“นั่นสินะ มาทำให้ดีกันเถอะ”
“มีเอกสารภารกิจลับส่งมา ท่าทางคงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเสียแล้ว เอายังไงดี”
“คุณไปคนเดียวสิคะที่รัก จดหมายเรียกตัวคุณ ไม่ใช่ฉันสักหน่อย” คำตอบของภรรยาทำให้รับรู้ว่าต้องปฏิบัติงานคนเดียว
5 ปีต่อมา
10 กันยายน พ.ศ. 3605
ราชอาณาจักรไทย
ชลบุรี
นนท์ภัทร ภูทนินทร์ อายุสิบเก้าปี บุตรคนโต ระดับการศึกษานิสิตชั้นปีสอง คณะบริหารธุรกิจ สถานะ สอบผ่านระดับชั้นมัธยมต้นได้ทั้งสามชั้นปี
เริ่มสืบทอดกิจการั้แ่อายุสิบเจ็ดปี ทำเฉพาะ่ปิดเทอมใหญ่ของชั้นปีเท่านั้น ระยะเวลาสามเดือนต่อครั้ง นับเป็หกเดือนต่อหนึ่งปี
นภัทร ภูทนินทร์ อายุสิบห้า บุตรคนเล็ก ระดับการศึกษาจบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ กำลังศึกษาต่อระดับชั้นปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ สถานะ สอบผ่านระดับชั้นประถมปลายและระดับชั้นมัธยมต้น
แม้ว่าจะจบการศึกษาเร็วกว่าบุตรคนโต แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วยสืบทอดกิจการจนกว่าจะอายุครบสิบเจ็ดปี ทางครอบครัวยังอนุญาตให้เที่ยวเล่นตามประสาเด็ก
“นี่เป็งานสุดท้ายที่พ่อแม่จะสลับกันมาพร้อมกับลูก คอยช่วยเหลือเวลาพูดคุยกับผู้ใหญ่ หรือแนะนำเื่ต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานเลี้ยงของบริษัทและงานถูกเชิญ”
“ใช่แล้วจ๊ะ เพราะฉะนั้นสามครั้งสุดท้ายพวกเราเลยตัดสินใจมาทั้งคู่เพื่อช่วยเหลือเต็มที่ หลังจากนี้ก็ปล่อยให้เป็หน้าที่ของพ่อบ้าน เลขาส่วนตัวแล้วกันนะลูก”
หลังจากเกิดอุบัติเหตุเมื่อห้าปีก่อน พ่อแม่ของผมก็ใส่ใจพวกเราสองพี่น้องมากขึ้นเป็พิเศษ บางครั้งแม้ว่าใครคนใดคนนึงจะไม่อยู่ แต่อีกคนจะอยู่พูดคุยด้วยตลอด โดยเฉพาะกับผมยิ่งพูดเป็พิเศษ
ถึงจะสงสัยนิดหน่อยแต่คิดว่าคงเป็ห่วงเหมือนสุภาษิตไทยที่ว่าวัวหายแล้วล้อมคอก ล่ะมั้ง รู้สึกอบอุ่นใจกับความใส่ใจของพวกท่าน แม้ว่าแต่ละคนจะงานยุ่งมาก ไม่ค่อยมาพร้อมกันสักเท่าไหร่
จนถึงตอนนี้นภัทรยังคงเข้ารับการตรวจสุขภาพจิตเกี่ยวกับอุบัติเหตุในครั้งนั้นอย่างละเอียด หมอที่เคยให้การรักษาเดิมบอกว่าอาจใช้เวลานานถึงห้าปี
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่รู้ทำไมถึงกลัวรถ กลัวเสียงดังมากเป็พิเศษ เพิ่งจะมาดีขึ้น่ระยะหลังนี้เอง ล่าสุดผลการตรวจบอกว่าหายขาด แต่ต้องมาตรวจอีกสามครั้งเพื่อความแน่ใจ
ไม่ค่อยเข้าใจวิธีการพูดของคนไทยเท่าไหร่ ถ้าบอกว่าหายก็แปลว่าไม่ต้องมาอีก ทำไมถึงพูดให้มา แบบนี้มันคือความกังวลว่าจะไม่หายต่างหาก
บรรยากาศงานในวันนี้เป็งานเลี้ยงกลางวัน จัดเลี้ยงบนเรือสำราญท่องไปสามวันสองคืน เป็งานลูกค้าระดับวีวีไอพี คู่ทางการค้าของตระกูลมาเนิ่นนาน
มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างบนเรือแห่งนี้ หากอยากหาความสำราญส่วนไหนเลือกใช้บริการได้ตามใจชอบ สระว่ายน้ำ ร้านอาหารหลากหลายชาติ ร้านเสื้อผ้าแบรนด์ชั้นนำ สนามกีฬาหลากหลายประเภท
รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกยามค่ำคืนอย่างร้านเหล้า บาร์ หอโคมแดงหญิง หอโคมแดงชาย คาสิโน (ถูกบัญญัติในยุคพันปีต่อมาว่าเป็กิจการถูกกฎหมาย ได้รับความคุ้มครองด้านความปลอดภัยเฉกเช่นอาชีพอื่น)
“ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กับงานฉลองครบรอบบริษัทและลูกค้าทุกท่านทั้งหมดบนเรือสำราญแห่งนี้ กำหนดการพบปะเฉพาะจะถูกส่งไปทางบัตรเชิญ่เวลาบ่ายวันนี้
เวลาอื่นที่อยู่นอกเหนือกำหนดการ รวมถึงเหล่าครอบครัวของลูกค้าทั้งหมดสามารถใช้บริการได้อย่างเต็มที่ ขอให้สนุกสนานกับการล่องเรือครั้งนี้”
“จะเป็แบบนั้นแน่เหรอ” นภัทรพึมพำออกมาเบาๆ
“นั่นสิ” นนท์ภัทรเห็นด้วย
เวลาออกไปร่วมงานแต่ละครั้งอัตราส่วนความราบรื่นและความไม่ราบรื่นทางชีวิตนั้นคิดเป็ร้อยละห้าสิบเท่ากัน และ่หนึ่งเดือนมานี้ค่อนข้างสงบเป็พิเศษ
เอาซะวางใจไม่ลงเลยทีเดียว หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงมาตลอดหนึ่งพันปี แต่เื่ขั้วอำนาจการต่อสู้ทางธุรกิจและการเมืองนั้นไม่แน่นอน รวมไปถึงเหล่ากลุ่มก่อการร้ายที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าใจหาย
“คุณชายเล็กเป็อะไรไปครับ ที่นี่ไม่สนุกเหรอ” กันต์ถามด้วยความสงสัย
“นายรู้ไหมว่า่นี้การไปร่วมของงานของฉันราบรื่นดีไหม”
“ค่อนข้างราบรื่นเป็พิเศษ กลับบ้านอย่างปลอดภัย ไม่เสี่ยงตายสักเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับเดือนที่แล้ววุ่นวายมากกว่านี้เพราะงานของลูกค้า”
“คุณชายหมายความงานนี้อาจจะเกิดเื่ไม่ดีใช่ไหม” แจ็คถามด้วยสีหน้ากังวล
“ใช่ สถานที่แห่งนี้รวบรวมเหล่าครอบครัวคนมีเงินและทำธุรกิจมือสะอาดกันทั้งนั้น ทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง หวังว่าจะไม่มีเื่นะ”
“พี่ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหม ในฐานะพี่ชาย”
“ว่ามาครับ” นภัทรบอกพลางยกมือเป็สัญญาณให้อีกฝ่ายลดมือลงหลังได้รับอนุญาต
“เป็พี่น้องกันมาสิบปี ไม่เคยมีครั้งไหนที่ลางสังหรณ์พลาดสักครั้ง รอบนี้พวกเรารวมกลุ่มกันไว้ดีกว่า นับจำนวนก็มีทั้งหมดหกคน ยังไงพ่อกับแม่เขาเก่งกันอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหาหรอก”
“ผมเห็นด้วย พวกเราซ่อนอาวุธไว้ตามเสื้อผ้าเท่าที่ทำได้ เวลาเกิดเหตุอะไรจะได้ช่วยเหลือตัวเองทัน”
ตารางที่พ่อแม่ของทุกคนได้รับนั้นช่างง่ายดาย นอกจากการพูดคุยธุรกิจแค่สองครั้งสองวันติดกัน ระยะเวลาประมาณสี่ชั่วโมง และตารางพิเศษนั่นคือทุกคนรู้แต่แรกว่าบนเรือลำนี้มีความผิดปกติ
ประมาณสามวันก่อน ทางบริษัทได้รับจดหมายเตือนจากกลุ่มก่อการร้ายแห่งหนึ่ง ว่าจะทำการสังหารหมู่เหล่าลูกหลานเศรษฐีรุ่นใหม่ในงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้ หากทำไม่ได้ก็อยากสร้างความเสียหายให้มากที่สุดเท่าที่ทำไหว
จึงมีการประชุมลับเกิดขึ้นเพื่อเตรียมแผนการรับมือกับเื่นี้ แต่เหล่าบรรดาผู้ทรงอิทธิพลประจำภูมิภาคกลับอกให้ตอบรับคำท้าทายด้วยสนามเรือสำราญหรูนี้ ยุคที่ตำรวจก็ไม่สามารถเข้าช่วยเหลือทันที
การมีกองกำลังปกป้องตนเอง หรือการต่อสู้เอาชีวิตรอดด้วยตนเองนับว่าถูกกฎหมายมาหลายร้อยปี และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตราบใดที่เหตุการณ์ยังไม่สงบแบบนี้
ทำให้เหล่ากลุ่มผู้ลงทุนที่มีอิทธิพลน้อยกว่าจำยอมรับข้อเสนอนี้ด้วย แต่เตรียมการคนของตนเองมาพอประมาณไม่ให้อีกฝ่ายแตกตื่น รวมถึงการวางแผนรับมือกับเื่นี้ในอนาคต
เรียกได้ว่าเป็ศึกท้าชนของกองกำลังทั้งสองฝั่ง โดยที่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงเป็เป้าโจมตีมากกว่าฝั่งที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายเสียอีก
“ลูกชายของนายเก่งมาก มองออกด้วยว่างานนี้มันไม่ปกติ” มากาเร็ตเอ่ยปากชม
ถึงจะไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่ก็ตาม แต่จากท่าทางและการหยิบจับอาวุธมาดูเป็ระยะ ไม่ผิดแน่...พวกเขากำลังตื่นตัว
“ฟังภาษาไทยออกเหรอ ถึงมาชมกันแบบนี้” พัฒน์ถามด้วยความสงสัย
“ฟังไม่ออกหรอก แต่สังเกตจากท่าทางและการจับกลุ่มกันไม่แยกกันเลยนับั้แ่ออกจากท่าเรือ ลูกของนายทั้งสองคนกำลังตื่นตัวกับศึกครั้งนี้”
“ฉันไม่ห่วงลูกเท่าไหร่ ยังไงก็เอาตัวรอดได้ แต่ลูกคนอื่นไม่รู้ว่าถูกฝึกมาแค่ไหนน่ะสิ จะรอดกันกี่คน”
