ไป๋เฉินลงมาจากชั้นสองด้วยสีหน้าแจ่มใส โดยโลหะทั้งสี่ก้อนนั้นตนได้จัดการให้ศาลาเมฆินทร์ไปส่งให้เขาที่ตระกูลฉินโดยที่ตนไม่ต้องแบกมันกลับไป
ทันใดนั้นเมื่อเขากำลังจะก้าวออกจากประตูศาลาเมฆินทร์ เขากลับหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหันและมองไปยังฉินเหวินเทียนพลางโค้งตัวลงกระซิบเบาๆ "เหวินเทียน เ้ากลับไปที่ตระกูลก่อน ข้ามีเื่สำคัญบางอย่างจะต้องทำและต้องออกเดินทางไปยังศูนย์การค้าชั่วครู่"
ฉินเหวินเทียนเอนคอมองอย่างใสซื่อ พลางกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ "เช่นนั้นพี่เขย ท่านรีบๆกลับมาและรีบมาสอนกระบวนท่าที่ท่านบอกให้แก่ข้าด้วย"
"แน่นอน" ไป๋เฉินลูบศีรษะฉินเหวินเทียนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนที่ฉินเหวินเทียนจะออกจากศาสลาเมฆินทร์ไปด้วยความสดใส
เมื่อฉินเหวินหายไปจากระยะสายตา แสงสีโลหิตในแววตาของไป๋เฉินส่องประกายด้วยเจตนาฆ่า "ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่นักฆ่าที่ส่งมาโดยฉินฟง..."
.
.
.
ไป๋เฉินออกจากศาลาเมฆิทร์ตรงไปยังทิศเหนือด้วยมือสองข้างที่กำลังไพล่หลังราวกับนายน้อยไร้กังวล หากจะกล่าวได้ว่าทิศทางที่กำลังเดินไปเป็คนละทิศทางกันกับตระกูลฉินโดยสิ้นเชิง
หากสังเกตจะเห็นได้ว่าทิศทางที่กำลังเดินไปคือทิศทางใกล้เคียงกับสลัมร้างที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ แต่ทว่าสิ่งที่แปลกประหลาดออกไปคือสลัมแห่งนี้เรียงรายไปด้วยตึกร้างและอาคารร้างที่มีระยะห่างไม่เกิน 20 ก้าวย่างของแต่ละหลัง
สถานที่แห่งนี้เป็ที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลอบสังหารใครสักคน!
ในระหว่างที่ไป๋เฉินกำลังย่างกรายอย่างสบายอกสบายใจ ทันใดนั้นกลับมีแสงสีเงินระยิบระยับส่องว่างจากระยะเกือบ 8 เมตร!
แสงสีเงินส่องแสงวาบตรงไปยังศีรษะของไป๋เฉินจากทางด้านหลังด้วยความแม่นยำที่ไร้การเบี่ยงเบนใดๆ ด้วยความเร็วและระยะห่างเพียงแค่นี้จึงมิอาจมีผู้ใดสามารถหลบเลี่ยงหรือหนีพ้นจากหายนะไปได้
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือการที่ไป๋เฉินตอบสนองโดยการงอร่างกายส่วนบนไปด้านหลัง 25 องศาโดยไม่ทันหน้ามามอง ก่อนที่มือขวาของเขาจับมั่นไปที่ด้ามของมีดสั้นที่กำลังพุ่งตรงมาด้วยความแม่นยำสูงสุด
หากเป็บุคคลปกติด้วยระยะห่างเพียงแค่นี้คงจะไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีหรือหลบเลี่ยงการจู่โจมไปได้เป็แน่ แต่ทว่าด้วยสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมและประสาทััอันเฉียบคมส่งผลให้ไม่ว่าระยะการจู่โจมจะใกล้เพียงใด ไป๋เฉินก็สามารถที่จะพลิกแพลงและรับมือกับภยันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาได้
แต่ทว่าที่กำลังเผชิญอยู่คือการลอบสังหารภายในระยะแค่แปดเมตรเท่านั้น! หากมิใช่ราชันย์แห่งนักฆ่าคงจะไม่มีผู้ใดในโลกเก่าสามารถกระทำการเบี่ยงเบนเช่นนี้ได้
ไป๋เฉินหมุนกายพลิกร่างพริ้วไหว สายตาของเขาจดจ้องไปยังทิศทางที่กระแสลมจากมา จู่ๆร่างของเขาก็หายลับตาไปหลังจากที่ย่างก้าวเพียงแค่สามก้าว!
แน่นอนว่าเหตุผลที่ตนเดินมายังที่แห่งนี้ก็เพื่อล่อนักฆ่าให้ปรากฏตัว ซ้ำยังเป็การปกปิดความสามารถของตนต่อบุคคลอื่นๆไปด้วย
"อะไร!?" เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลซึ่งเป็ตำแหน่งเดียวกันกับที่ไป๋เฉินได้มองย้อนกลับไป ทว่าเสียงนั้นกลับเป็เสียงของหญิงสาวอย่างคาดไม่ถึง
นักฆ่าที่หลบซ่อนอยูเื้ัอาคารร้างเห็นท่าไม่ดี นางพยายามรีบหลบหนีไปให้ไกลที่สุด
แม้นจะรู้ว่าไป๋เฉินไร้รากปราณ แต่ด้วยการคว้ามีดสั้นในระยะเพียงแค่นี้ก็บ่งบอกแล้วว่าทักษะของไป๋เฉินนั้นอยู่เหนือยิ่งกว่าบุคคลจำนวนมาก ซึ่งแม้แต่ตัวของนางเองเช่นกัน
แต่เมื่อนักฆ่ากำลังจะหันหลังกลับ นางกลับต้องพบเจอกับสายตาสีโลหิตอันอำมหิตของไป๋เฉินที่มาปรากตัวขึ้นเมื่อใดไม่ทราบได้
มือซ้ายของไป๋เฉินคว้าจับที่ต้นคอเรียวดุจหงส์ ในขณะที่มือขวามีมีดสั้นสีดำจ่อระยะประชิดและมีโลหิตซิกๆไหลตามรอยบากเล็กๆของต้นคอ
ริมฝีปากของไป๋เฉินกล่าวเชื่องช้าด้วยลมหายใจอุ่นๆ "ผู้ใดเป็คนส่งเ้ามา?"
แม้นจะหวาดกลัวต่อการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของไป๋เฉิน แต่หญิงสาวยังไม่ยอมแพ้ นางยันเท้ากลับไปด้านหลังเพื่อผลักไป๋เฉินให้ออกจากระยะที่ชิดติดกับนาง พร้อมทั้งพยายามยกข้อมือเพรียวบางเบี่ยงเบนมีดสั้นที่ลำคอ
ั์ตาของไป๋เฉินส่องประกายด้วยแสงเจตนาฆ่า มือขวาเตรียมพร้อมที่จะปาดคอหอยโดยพลัน
แต่จู่ๆกลับมีมีดสั้นอีกหนึ่งเล่มกำลังตรงมายังขม่อมไป๋เฉินในทิศทางตรงกันข้าม
เมื่อเห็นเช่นนั้นไป๋เฉินทำได้เพียงยอมปล่อยร่างของหญิงสาวในขณะที่มีดสั้นที่อยู่ในมือขว้างสวนกลับไปหาแสงสีเงินที่ส่องประกาย
"เชร้ง!"
เมื่อมีดสั้นทั้งสองปะทะกันต่างก็กระดอนไปคนละทิศทาง
ในเวลาเดียวกันไป๋เฉินตีลังกากลับหลังเขาฉวยกริชที่เหน็บอยู่ข้างเอวด้วยสองมือเหวี่ยงเป็มุมเฉียงไปที่สองเป้าหมายจากระยะเลือนราง
"เชร้ง!"
แต่ปรากฏว่ากริชทั้งสองของไป๋เฉินกลับถูกหันเหได้อย่างง่ายดายด้วยการกวาดข้อมือเพรียวบางแค่คนละครั้ง
ในขณะนั้นเขาสามารถมองเห็นได้ว่าผู้ที่ลอบสังหารเขามีรูปร่างอันผอมเพรียวดุจต้นหลิวของสตรีสองนางที่ซึ่งทั้งสองสวมหน้ากากสุนัขจิ้งจอกสีขาวและสีแดงแตกต่างกัน
หนึ่งนางมีอาภรณ์สีขาวราวหิมะและอีกหนึ่งนางเป็อาภรณ์สีชมพูบานเย็นพริ้วตามสายลม
เมื่อเท้าไป๋เฉินเกือบจะถึงพื้นกลับมีแสงวาบสองจุดปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ร่างของหญิงสาวทั้งสองประชิดร่างของตนไว้ภายในเสี้ยววินาทีด้วยมีดสั้นที่พยายามเข้าจู่โจมตนหลังจากที่มิอาจจะขยับเขยื้อนตัวได้
นี่เป็โอกาสทองสำหรับกลุ่มของนักฆ่าได้รับการฝึกฝนมาเป็อย่างดี เมื่อร่างของบุคคลหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศจะเป็จุดอ่อนไปโดยทันที
ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจ จังหวะและเวลาของหญิงสาวทั้งสองนางนั้นแม่นยำอย่างยิ่งในฐานะมือสังหารระดับพระกาฬ
หากเป็ไป๋เฉินเองเขาก็ตัดสินใจจู่โจมในขณะที่เป้าหมายอยู่กลางอากาศเช่นกัน
แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ประสบพบเจอมา ไป๋เฉินรีบคว้ากริชอีกสองเล่มที่เหลือสะบัดขว้างเบี่ยงเบนเป้าหมายขว้างทำมุมคลับคล้ายกับบูมเมอแรงกลางอากาศ
หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวหมุนข้อมือก่อนที่มีดสั้นจะปรากฏขึ้นภายใต้อาภรณ์พริ้ว ด้วยการพลิกข้อมือหนึ่งครั้งกริชทั้งสองของไป๋เฉินก็ถูกปัดป้องไปอย่างง่ายดาย
แต่ทว่าเมื่อนางแหงนหน้าขึ้นมาและกริชหายไปจากระยะการมองเห็น ไป๋เฉินก็กลับหายไปจากตำแหน่งเดิมอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
"มันอยู่ที่ไหน!?" หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวนามชิงเอ๋อร์อุทานอย่างไม่เชื่อ
นางเพียงคลาดสายตาจากไป๋เฉินแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่นางไม่คาดคิดเลยว่าภายในระยะเวลาแค่เพียงเสี้ยววินาที ไป๋เฉินกลับสามารถหลบหนีได้แม้นจะอยู่ห่างจากนางแค่เพียงไม่ถึงสิบเมตร
"ฉางเอ๋อร์ แยกย้ายกันไปตามหาและหากเป้าหมายคลาดสายตาให้มาเจอกันที่เดิม" ชิงเอ๋อร์ออกคำสั่งอย่างเร่งด่วนในขณะที่พุ่งทะยานไปยังทิศเหนือโดยไม่รีรอ
ฉางเอ๋อร์เพียงแค่ผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึมก่อนจะแยกย้ายไปทางทิศใต้หมายจะกลับไปยังทิศทางของตระกูลฉิน
หากไป๋เฉินกลับเข้าสู่ตระกูลฉินก่อนที่จะหาตัวเจอ พวกนางจะไม่มีโอกาสในการลอบสังหารไป๋เฉินอีกต่อไป
โดยหารู้ไม่ว่าหลังตึกร้างที่มีระยะห่างจากพวกนางแค่เพียงสิบเมตร ร่างสีขาวของไป๋เฉินกำลังลอบมองอยู่ด้วยคิ้วที่มุ่นลง "ไม่คาดคิดว่านักฆ่าที่มาในครั้งนี้มีฝีมือเสียยิ่งกว่าเ้าเฒ่าผู้นั้นหลายเท่าตัว"
แน่นอนว่าการเผชิญหน้าสั้นๆเมื่อครู่ ไป๋เฉินยังมิได้เปิดเผยพลังปราณของเขาแม้แต่น้อยนิด นั่นเป็เพราะว่าต่อให้เปิดเผยพลังปราณคงยากที่จะสังหารพวกนางในการต่อสู้ซึ่งๆหน้า
แต่ทว่าหากพวกนางเป็นักฆ่าที่ไร้พลังปราณเฉกเช่นเดียวกับเขาหรืออย่างชีวิตที่แล้วในโลกมนุษย์ ไป๋เฉินจะไม่ยอมปล่อยให้ศัตรูมีชีวิตอยู่ต่อโดยเด็ดขาด
แต่ปัจจัยของทวีปเทียนหลางนั้นมีมากเกินไปและสิ่งที่มองเห็นได้อย่างเด่นชัดคือระดับพลังปราณของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันมากจนเกินไป
ไป๋เฉินยังคงจ้องมองไปยังทิศทางของหญิงสาวสองนางที่หายลับตา สีหน้าของเขาปรากฏร่องรอยของความรู้แจ้ง "กลิ่นกายของหญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูเมื่อครู่ เป็คนๆเดียวกันกับบุคคลที่พยายามลอบสังหารข้าด้วยพิษคร่าหัวใจ"
"แต่อีกนางหนึ่งนั้น..." ไป๋เฉินทำได้เพียงลอบถอนหายใจเนื่องจากข้อมูลที่มีไม่เพียงพอต่อการสรุปตัวตนและที่มา
"มีเพียงสถานที่เดียวเท่านั้นที่สามารถให้คำตอบเื่นี้แก่ข้าได้" ไป๋เฉินไม่เสียเวลาคิดเองให้มากความ ร่างของเขาหายลับไปในทิศทางของสมาพันธ์นักฆ่าโดยพลัน