สำนักยุทธ์ว่านจ้ง สายชีพจรฟ้า
“ศิษย์พี่หญิงฉู่” ขณะที่ฉู่เยว่ฉานกำลังหลับตานั่งทำสมาธิอยู่บนยอดเขา นางก็ได้ยิ่งเสียงเรียกที่ชัดเจนดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นจึงหันกลับไปมองทางด้านหลัง แต่กลับมองเห็นหญิงสาวที่มีท่าทางงดงามคนหนึ่งซึ่งกำลังยิ้มอยู่และมองมาที่ตนเอง โดยมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ข้างกาย
“หลิงเหยา?” ฉู่เยว่ฉานขมวดคิ้ว ส่งเสียงะโอย่างเหลือเชื่อ นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปทางหญิงงามคนนั้น และพูดขึ้น “ทำไมเ้าจึงว่างมาสำนักยุทธ์ว่านจ้งได้แล้วล่ะ?”
“ศิษย์พี่หญิงฉู่ไม่ไปหาหลิงเหยา หลิงเหยาก็ต้องมาเยี่ยมศิษย์พี่หญิงฉู่” หลิงเหยาพูดพร้อมรอยยิ้มที่เบิกบาน หญิงสาวคนนี้คือหลิงเหยาแห่งสำนักเหยาฉือ
“ศิษย์พี่หญิงฉู่ ไม่พบกันหลายปี สบายดีหรือไม่” ชายหนุ่มที่รูปลักษณ์ดีในชุดสีขาวที่ยืนอยู่ข้างนางได้กล่าวขึ้นช้าๆ นับแต่ได้พบฉู่เยว่ฉาน เขาก็ยังไม่ละสายตาจากฉู่เยว่ฉานเลยแม้แต่น้อย
“เ้าคือเสิ่นหลิงเฟิง?” ฉู่เยว่ฉานเหลือบมองชายหนุ่มคนนี้ และพูดด้วยความแปลกใจ
“ใช่ ก่อนที่จะมาข้ายังประหม่าอยู่มากนัก กลัวว่าศิษย์พี่หญิงฉู่จะจำข้าไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ขอให้ศิษย์พี่จ้าวมาด้วยกันกับข้า” ชายหนุ่มชุดขาวพูดด้วยความแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เผยเป็สีหน้าของความยินดี
และชายหนุ่มที่ดูเืเย็นที่ยืนอยู่ด้านข้างเขาขยับริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มขึ้นมา ก่อนจะพูดว่า “ได้นำทางให้โอรสศักดิ์สิทธิ์และธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักเหยาฉือ นับเป็เกียรติของจ้าวโหม่วยิ่งนัก”
สำนักเหยาฉือในตอนนี้ ไม่ใช่จะมีการประกาศรับศิษย์หญิง แต่ยังประกาศรับสมัครศิษย์ชายที่มีคุณสมบัติ ความสามารถและรูปลักษณ์ที่ดีเยี่ยมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แดนซิงเฉินในปัจจุบันก็ไม่อาจเทียบได้กับแดนเซียนอู่ในอดีต
“ศิษย์พี่จ้าวถ่อมตัวมากไปแล้ว ชื่อเสียงของผู้นำรุ่นที่ห้าจ้าวจิงหลงได้แพร่สะพัดไปถึงสำนักเหยาฉือแล้ว!” หลิงเหยายกมือป้องปาก
จ้าวจิงหลงอันดับสองในรายนามศิษย์อัจฉริยะในอดีต ได้เอาชนะการแข่งขันผู้นำรุ่นที่ห้าด้วยพละกำลังที่น่าใ!
สายตาของฉู่เยว่ฉานดูมืดมนลงอย่างสังเกตได้ไม่ชัดนัก ผู้นำรุ่นที่ห้า? หากเขายังไม่ได้เข้าไปที่นั่น ตำแหน่งผู้นำรุ่นที่ห้าจะไปตกอยู่ที่ตระกูลใดก็ยากจะบอกได้? คนที่สามารถทำให้อันดับที่หนึ่งของชายหนุ่มแห่งเผ่าหยาจื้อวิ่งหนีไปได้ นอกจากเขาแล้ว ในสำนักยุทธ์ว่านจ้งจะมีใครได้อีก?
แม้ว่าฉู่เยว่ฉานจะปกปิดอย่างดี แต่เสิ่นหลินเฟิงที่จ้องนางอยู่ตลอดกลับสังเกตได้ เสิ่นหลินเฟิงขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
“ครั้งนี้ได้เป็ผู้นำก็คงเป็เพราะความบังเอิญ ไม่ได้มีอะไร ร่างแก่นแห่งเต๋าของศิษย์น้องหลิง และร่างยุทธ์ัแท้ของศิษย์น้องเสิ่นเป็ที่น่าใจริงๆ เื่นี้คงกลายเป็เื่สั่นะเืไปทั้งคุ่นหลงซิงเฉินแล้ว” จ้าวจิงหลงพูดพลางหัวเราะอย่างเฉยเมย
“ศิษย์พี่จ้าว ถ่อมตนเกินไปมันก็ไม่ดีนักหรอก ผู้นำศิษย์รุ่นห้า มีผู้นำศิษย์คนใดของสำนักยุทธ์ว่านจ้งบ้างที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง?” เสิ่นหลิงเฟิงเหลือบมองจ้าวจิงหลงและพูดขึ้น
ใบหน้าที่เคร่งขรึมของจ้าวจิงหลงกระตุกขึ้นทันที คิ้วขมวดขึ้นด้วยอารมณ์ชิงชังอยู่เล็กน้อย อันที่จริง ในใจของเขารู้สึกอึดอัดใจเป็อย่างมาก โดยหลักแล้ว เขาคิดว่าตนเองเหมาะสมกับการเป็ผู้นำรุ่นที่ห้าแล้ว แม้ว่าเอาชนะฉือเซียวได้เช่นนี้ แต่คำพูดอย่างลับๆ ของศิษย์ในสำนักก็ยังทำให้จ้าวจิงหลงต้องรำคาญใจ เพราะยังมีคนพูดว่าตนเองยังเทียบอะไรไม่ได้กับคนใกล้ตายคนนั้น!
ภายใต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย จ้าวจิงหลงก็เคยสืบหาเบาะแสรายละเอียดของคนใกล้ตายคนนั้นมาเช่นกัน ศิษย์สายชีพจรหวง ไม่มีการจุดตะเกียงกรรม เป็คนธรรมดาที่สุดแสนจะธรรมดาของสำนัก แต่เมื่อได้เข้าไปยังแดนขัดเกลากลับสามารถนำพละกำลังสุดวิเศษออกมาใช้ได้ ท้ายที่สุด ยังสามารถสังหารอันดับห้าของเผ่าหยาจื้อ และยังทำให้คนเผ่าหยาจื้อนับพันคนต้องวิ่งหนี
เมื่อสืบพบถึงส่วนนี้ จ้าวจิงหลงก็ใอยู่ไม่น้อย แต่แล้วจะทำไมล่ะ? คนผู้นั้นไปเหวลึกอะไรนั่นแล้ว สอดคล้องกับสิ่งที่กล่าวกันว่าผู้ไม่ได้จุดตะเกียงกรรมจะต้องตายอย่างแน่นอน?
หากคนผู้นั้นไม่ตาย จ้าวจิงหลงก็คงไม่มีความเห็นอะไรแล้ว แต่คนผู้นั้นคงไม่มีวันได้กลับมา แล้วเช่นนั้นตำแหน่งผู้นำของตนเองจะมีอะไรที่ไม่คู่ควร?
ตามที่พวกเขาได้กล่าวกัน นี่จะไม่เป็การนำเอาศิษย์อัจฉริยะหนุ่มสาวแห่งยุคของสำนักยุทธ์ว่านจ้งออกมาเปรียบเทียบกันหรอกหรือ?
เป็เื่ไร้สาระสิ้นดี
เมื่อได้ยินคำพูดเสิ่นหลินเฟิง จ้าวจิงหลงก็ยิ้มโดยไม่พูดอะไร
“จริงสิ จ้าวจิงหลง ศิษย์พี่หญิงฉู่ ข้าพอจะถามถึงใครสักคนหนึ่งได้หรือไม่?” หลิงเหยาดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบพูดขึ้นทันที
“ใครกัน? ที่ศิษย์น้องหลิงพูดถึง” ฉู่เยว่ฉานกล่าว
“ก็พวกตัวร้ายที่น่ารังเกียจคนหนึ่ง เขาชื่อฉินอวี่ เข้ามาสำนักยุทธ์ว่านจ้งเมื่อหกปีก่อน” หลิงเหยากัดฟันพูดขึ้นทันที
ในตอนแรก หลังจากสุสานอสูรได้ถูกทำลายลงจนราบเป็หน้ากลอง หลิงเหยาก็อยู่ตามหาฉินอวี่ที่นั่นหนึ่งเดือน เดิมทีคิดว่าฉินอวี่น่าจะตายอยู่ในนั้นแล้ว หลิงเหยาจึงรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง และได้แต่โทษตัวเองมาโดยตลอด หลิงเหยาเดินทางไปยังเมืองหลักเทียนอู่เพื่อชดเชยให้กับครอบครัวของฉินอวี่ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าที่ตระกูลของฉินอวี่กลับว่างเปล่า และได้ยินมาว่าฉินอวี่ได้เข้าไปยังสำนักยุทธ์ว่านจ้งแล้ว สิ่งนี้ทำให้หลิงเหยาหงุดหงิดมาก คิดว่าฉินอวี่มีเจตนาที่จะหลบหนีตนเอง ดังนั้น จึงทำให้ตระกูลฉินย้ายออกไปจากเมืองหลักเทียนอู่
หลายปีมานี้ หลิงเหยาคอยหาโอกาสมายังสำนักยุทธ์ว่านจ้งอยู่ตลอด ในครั้งนี้นับว่าเป็โอกาสดีที่นางเฝ้ารอ จนทนไม่ได้ที่อยากจะพบฉินอวี่อย่างยิ่ง เพื่อสั่งสอนเขาสักหน
เมื่อพูดจบ หลิงเหยาก็มองฉู่เยว่ฉานอย่างสงสัย และมองไปทางจ้าวจิงหลง และเห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เผยสายตาที่ดูแปลกประหลาดขึ้นมา ฉู่เย่วฉานทั้งสับสนทั้งกังวล ส่วนจ้าวจิงหลงมีใบหน้าที่รับรู้ได้ถึงความโกรธเคือง
“เ้า... รู้จักฉินอวี่หรือ?” ฉู่เยว่ฉานจ้องตรงไปทางหลิงเหยา และเผยอมุมปากอันงดงามขึ้น ก่อนจะถามขึ้นเบาๆ
“ศิษย์พี่หญิงฉู่... ท่านรู้จักเ้าคนไม่เอาไหนนั่นด้วยหรือ?” ดวงตาหลิงเหยาเบิกกว้าง และพูดอย่างสงสัย สถานะของฉู่เยว่ฉานนับว่าไม่ธรรมดา และศิษย์ในสำนักยุทธ์ว่านจ้งยังมีอีกนับแสนคน ฉู่เยว่ฉานจะรู้จักฉินอวี่ได้อย่างไร?
“ทั้งสำนักมีคนชื่อฉินอวี่อยู่เพียงคนเดียว หากลองนับดูเขาก็น่าจะเข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อหกปีก่อน เพียงแต่... เขาตายไปแล้ว” จ้าวจิงหลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คมชัด
หลิงเหยาสั่นสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาจ้องตรงไปทางจ้าวจิงหลง ราวกับว่านางไม่เชื่อคำพูดที่ได้ยินมา นางจึงพึมพำขึ้น “ตายแล้ว? เขาจะตายได้อย่างไรกัน?”
ในตอนนี้ หลิงเหยารู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ในใจของนางเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ในแดนสุสานอสูร โดยเฉพาะในแดนปีศาจ นางมีภาพความทรงจำอยู่มากมาย แต่ในเศษเสี้ยวความทรงจำเ่าั้ทำให้นางไม่ค่อยแน่ใจ มาตามหาฉินอวี่ก็เพราะ้าจะยืนยัน แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะต้องมาได้ยินว่าเขาตายไปแล้ว
“หากจะว่าไปเื่มันยาว ให้ศิษย์น้องหญิงฉู่เล่าเองเถอะ นางรู้เื่มากกว่า” จ้าวจิงหลงมองไปทางฉู่เยว่ฉาน และค่อยๆ พูด
“เขาไม่น่าใช่ฉินอวี่ที่ศิษย์น้องหลิงพูดถึง น่าจะเป็ชื่อเหมือนกัน หากศิษย์น้องหญิงหลิง้าจะรู้อะไรเพิ่มเติม ก็ลองไปสอบถามดูเถอะ เอาล่ะ... ข้าอยากอยู่เงียบๆ สักหน่อย หากศิษย์น้องหญิงหลิงอยู่พักในสำนักยุทธ์ว่านจ้งสักระยะ อีกสองวันข้าจะไปหาเ้า” ฉู่เยว่ฉานพูดอย่างเฉยเมย ราวกับว่าไม่้าพูดถึงเื่นี้ ไม่อยากนึกย้อนกลับไป
พวกหลิงเหยาทั้งสามคนต่างนึกไม่ถึงว่าฉู่เยว่ฉานจะปฏิเสธเช่นนี้ เมื่อเห็นท่าทางที่ดูไม่สบายใจของฉู่เยว่ฉาน สายตาของเสิ่นหลินเฟิงก็ดูเคร่งขรึมขึ้นทันที
“เอาล่ะ ข้าจะลองไปสอบถามดู” หลิงเหยาพยักหน้า ในใจของนางก็หวังว่าจะให้เป็เพียงชื่อที่ซ้ำกัน หวังว่าเขา... จะยังไม่ตาย!
ฉินอวี่ไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้หลิงเหยามาเยือนถึงหน้าประตู เขาในตอนนี้มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนอสุนี์ประจำตัว
ความยากในการยกระดับสู่อสุนี์ประจำตัวนั้นอยู่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก ในตอนแรก มันไม่ยากเลยที่จะยกระดับอสุนีลึกลับขึ้นเป็อสุนีคำราม แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อทำการยกระดับอสุนี์ประจำตัว แล้วเกิดการโจมตีในแต่ละครั้ง ก็ดูเหมือนว่าฉินอวี่จะต้องทนกับการโจมตีนั้นไปด้วย โชคดีที่มันเป็ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยการโจมตีหลายครั้งติดต่อกัน ฉินอวี่ก็ได้รับความเ็ปเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“อสุนี์ประจำตัว มีความเชื่อมโยงกับชีพจร เป็ไปได้หรือไม่ว่า ข้าเองก็ต้องถูกโจมตีเป็พันครั้ง?” ฉินอวี่พูดอย่างขมขื่น แต่ความเร็วก็ไม่ได้ลดลง การยกระดับอสุนีคำรามประจำตัวขึ้นเป็อสุนี์ประจำตัวคือกุญแจสำคัญที่จะ่ชิงตำแหน่งเจ็ดสิบสองอสูรธรณี ฉินอวี่จึงไม่มีวันยอมถอยเด็ดขาด
เมื่อการโจมตีผ่านมาถึงสามพันครั้ง ฉินอวี่ก็ไม่อาจทนได้อีกแล้ว ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยาแ
เมื่อถึงครั้งที่ห้าพัน ร่างกายของฉินอวี่ก็เต็มไปด้วยเืที่อาบไปทั่วร่างราวกับมนุษย์โลหิต
เมื่อเข้าสู่ครั้งที่แปดพัน ร่างกายของฉินอวี่ก็เหมือนถูกเชือดเฉือนด้วยมีดนับพัน ไม่มีส่วนดีหลงเหลืออยู่บนร่างกาย เขาเ็ปอย่างหนัก กัดฟันทนอย่างรุนแรง ตัวสั่นสะท้านและพยายามยืนให้มั่นคง
“ยังเหลืออีกสองพันครั้ง!” ฉินอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และทำการปรับแต่งต่อไป แต่ความเร็วของเขาเริ่มลดลงเรื่อยๆ
เพียงพริบตา ก็เหลือเวลาเพียงสิบวัน ก่อนจะถึงการท้าประลองเจ็ดสิบสองอสูรธรณี
หวังมู่ หยางซาน และไป๋ฉี ต่างสวมชุดสีเทา ใบหน้าซีดขาวราวกับคนป่วยหนักกำลังยืนอยู่ตรงลานเหมือนพูดคุยอะไรกันอยู่
“หลี่โหย่วฉายเตรียมตัวในเวลาจวนตัวไปหรือไม่? หรือเขาจะสามารถฝึกฝนสำเร็จในเวลาเพียงไม่กี่วัน? เหล่าต้า ไม่ต้องรอเขาดีกว่า?” หวังมู่พูดอย่างทนไม่ไหว และเขาก็ดูถูกฉินอวี่เป็อย่างมาก
“เหล่าซื่อ เขาผ่านการทดสอบมาได้ จึงมีคุณสมบัติพอที่จะอยู่ที่นี่ เขาก็คือเหลาอู่ของพวกเรา เป็พี่น้องของพวกเรา เ้าควรจะปรับนิสัยนี้ได้แล้ว” ชายหนุ่มชุดคลุมสีเทากล่าวอย่างเรียบเฉย
“ก็เขา...” ขณะที่หวังมู่เหมือนกำลังจะพูดอะไรขึ้นมา เมื่อเห็นชายชุดเทาหันมามอง เขาก็หยุดพูด และตรงไปยังห้องของฉินอวี่ในทันที ก่อนจะเคาะประตูขึ้นสองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบกลับมาจากภายใน หวังมู่ก็เตรียมออกแรงผลักประตูทันที แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงของไป๋ฉีดังขึ้น “อย่านะ ไม่แน่เหลาอู่อาจกำลังฝึกฝนวิชาอยู่?”
หวังมู่ทำเป็ไม่ได้ยิน และผลักประตูเข้าไปทันที
“เปรี้ยง ตูม ตูม!” สายฟ้าฟาดปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดังสั่นะเืไปทั่วบริเวณ เกิดเป็พลังบีบบังคับที่รุนแรงหวังมู่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูรู้สึกได้ถึงวิกฤตแห่งความตายได้ปกคลุมไปทั่วทั้งตัว และเมื่อเห็นเงาร่างที่โชกไปด้วยเืตรงกลางห้อง หวังมู่ก็ใจสั่นขึ้นทันที
“ไสหัวไป!” เสียงะโอันแข็งแกร่งดังขึ้นมา ก่อนที่ประตูจะปิดลงในทันที!
