พระจักรพรรดิทรงมีพระทัยหนักอึ้งในอก ทรงเดินทอดน่องอยู่ในสวนอันสว่างไสวราวกับแสงจันทร์ในพระราชวังต้องห้าม เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าข้าราชบริพาร และเสียงแสดงความเสียใจอย่างเงียบเชียบนั้น มิได้ช่วยบรรเทาความเ็ปรวดร้าวที่กัดกินดวงิญญาของพระองค์ได้ พระองค์ทรงกำจี้หยกไว้แน่น ราวกับเป็เครื่องปลอบประโลมใจที่ร้อนรุ่มจากการเสด็จตของจักรพรรดินีอู่ พระองค์รู้สึกล่องลอยราวกับเรือที่ถูกโยนทิ้งไปในทะเลแห่งความโศกเศร้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจาก
เงามืด พระองค์คือพระสงฆ์เต๋า จีวรสีสนธยา ใบหน้าถูกบดบังด้วยผ้าคลุมศีรษะหนาที่สวมอยู่ พระองค์ทรงเคลื่อนไหวด้วยพระสง่าราศีอันเหนือธรรมชาติ ราวกับเป็พลังเงียบงันที่แผ่ออกมาจากผืนดิน
เมื่อพระภิกษุยกพระพักตร์ขึ้นในที่สุด ดวงตาของเขาก็พร่าเลือนไปด้วยปัญญาโบราณ สะท้อนแสงดาวอย่างน่าหวาดหวั่น พระองค์มิได้ตรัสด้วย
คำประกาศอันศักดิ์สิทธิ์ที่จักรพรรดิคุ้นเคย หากแต่ตรัสด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำก้องกังวาน ราวกับผ่านหูไปและตรัสโดยตรงกับดวงิญญาของจักรพรรดิ “ความโศกเศร้าของพระองค์นั้นจับต้องได้ ฝ่าา ดุจพายุที่คุกคามจะกลืนกินพระองค์และอาณาจักรของพระองค์”
แม้จักรพรรดิจะทรงประหลาดใจกับรูปลักษณ์ของพระภิกษุรูปนั้น แต่กลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด พระองค์ทรงเคารพคำสอนของลัทธิเต๋ามาโดยตลอด ซึ่งเน้นย้ำถึงความกลมกลืนและการยอมรับธรรมชาติ กระนั้น ในความสิ้นหวัง ปรัชญาเ่าั้กลับไม่สามารถปลอบประโลมใจได้ “ไม่มีสิ่งใดปลอบประโลมใจเลย พระภิกษุ” พระองค์ตรัสตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและน้ำตาที่ยังหลั่งไหลอยู่ “จักรพรรดินีของข้า... พระนางจากไปแล้ว”
พระภิกษุพยักหน้าช้าๆ “วงล้อแห่งสังสารวัฏหมุนอย่างไม่หยุดยั้ง ฝ่าา การเกิด การตาย การเกิดใหม่ ล้วนเป็วิถีของสรรพสิ่ง แม้แต่การหมุนเวียนอย่างไม่หยุดยั้งของ…วงล้อสามารถ… มีอิทธิพลได้” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง สายตาไม่หวั่นไหว “ตำนานเล่าขานถึง ‘กระจกเสวียนอู่’ วัตถุโบราณลึกลับที่กล่าวกันว่ามีพลังในการมองเห็นเส้นเวลาอื่น ๆ แม้กระทั่ง… เปลี่ยนแปลงมันได้”
ลมหายใจของจักรพรรดิสะดุดลง กระจกแห่งเสวียนหวู่ เขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับมันมา
ั้แ่หนุ่ม และมองข้ามมันไปว่าเป็เพียงเื่เล่าเพ้อฝัน แต่บัดนี้ ท่ามกลางความสิ้นหวังอย่างที่สุด ความเป็ไปได้ของพลังเช่นนี้กลับกลายเป็เพียงเส้นชีวิต “เล่าให้ข้าฟังอีก” เขาเร่งเร้า เสียงของเขาแทบไม่เป็เสียงกระซิบ
พระภิกษุอธิบายว่ากระจกนั้นมิใช่เพียงสิ่งประดิษฐ์ หากแต่เป็เศษกระจก์ที่แตกสลายไปเมื่อนานมาแล้วในการต่อสู้ระหว่างพลังจักรวาลที่ขัดแย้งกัน แต่ละเศษกระจกมีพลังเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถมองทะลุผืนผ้าแห่งกาลเวลา และอาจซ่อมแซมเส้นด้ายของมันได้ แต่พระภิกษุเตือนว่า “กระจกนั้นถูกปกป้องอย่างเต็มกำลัง พลังของมันมหาศาล และการใช้ในทางที่ผิดอาจทำลายแก่นแท้ของการดำรงอยู่ การจะกู้กระจกนั้นกลับคืนมาต้องผ่านการเดินทางที่เต็มไปด้วย
อันตราย เป็บททดสอบความกล้าหาญ สติปัญญา และความรักอันลึกซึ้งที่ท่านมีต่อจักรพรรดินี”
จักรพรรดิทรงรู้สึกถึงความหวังอันพลุ่งพล่านและความรู้สึกท้าทายต่อโชคชะตาอันโหดร้าย
เขาจะออกเดินทางครั้งนี้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เขาจะฝ่าฟันทุกอันตราย เอาชนะอุปสรรคใดๆ เพื่อให้ได้ใช้เวลาแม้เพียงชั่วครู่กับอู่ เจ๋อเทียน ผู้เป็ที่รักของเขา “ข้าจะแสวงหากระจก” เขาประกาศด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า “ข้าจะทำทุกวิถีทาง”
สีหน้าของพระยังคงยากจะเข้าใจ “เส้นทางสู่กระจกนั้นไม่ง่ายนัก ฝ่าา ฝ่าาจะต้องเผชิญกับการทดสอบที่ทดสอบขีดจำกัดของความแข็งแกร่งและจิติญญา ฝ่าาจะได้พบกับสิ่งมีชีวิตในตำนานและนิทานปรัมปรา ผู้พิทักษ์ที่สาบานว่าจะปกป้องโบราณวัตถุ และฝ่าาจะต้องเตรียมพร้อมรับผลที่ตามมาจากการกระทำของพระองค์เอง เพราะการยุ่งเกี่ยวกับเวลาจะนำมาซึ่งราคาที่ต้องจ่ายอันแสนสาหัส”
จากนั้นพระรูปนั้นก็ทรงอธิบายถึงบททดสอบที่รออยู่เบื้องหน้า จักรพรรดิจะต้องเสด็จผ่านยอดเขาคุนหลุนอันแสนอันตราย ที่ซึ่งสายลมโหยหวนด้วยเสียงคำรามของผู้คนที่ถูกลืมเลือน และผืนดินสั่นไหวภายใต้น้ำหนักของความลับโบราณ พระองค์จะต้องเสด็จผ่านสายน้ำอันแสนอันตราย
ของแม่น้ำเหลือง ภายใต้การคุ้มครองของัเจี่ยวอันน่าเกรงขาม สัตว์อสูรกายรูปร่างคล้ายงู เกล็ดระยิบระยับด้วยแสงตะวันนับพัน พระองค์จะทรงเผชิญกับการไล่ล่าอย่างไม่ลดละของเหล่าเทพผู้พิทักษ์กาลเวลา ผู้ที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้จักรพรรดิเข้าถึงกระจกได้
“แต่ถึงแม้ท่านจะเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ได้สำเร็จ” พระภิกษุรูปนั้นกล่าวต่อ “การทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็จะอยู่ภายในตัวท่านเอง ท่านต้องตัดสินใจว่าจะเสี่ยงเปลี่ยนแปลงกระแสธรรมชาติของกาลเวลา เขียนประวัติศาสตร์ใหม่ หรือยอมรับความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต ความจริงอันแสนหวานปนขมของความรักและการสูญเสีย”
คำพูดของพระภิกษุนั้นหนักอึ้งอยู่ที่องค์จักรพรรดิ พระองค์ทรงจินตนาการถึงภารกิจอันเรียบง่าย การแสวงหาอย่างตรงไปตรงมา
วัตถุวิเศษ แต่การเปิดเผยของพระรูปนี้เผยให้เห็นเส้นทางที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น การเดินทางที่เจาะลึกเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของจิติญญา ท้าทายความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับชีวิต ความตาย และธรรมชาติของความเป็จริง บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการเดินทางของเขาไม่ใช่แค่การแสวงหาวัตถุวิเศษ แต่เป็การทดสอบอย่างลึกซึ้งถึงลักษณะนิสัย ศรัทธา และการยอมรับสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยการทดสอบทั้งทางร่างกายและจิติญญา จักรพรรดิผู้ซึ่งคุ้นเคยกับความสะดวกสบายและอำนาจของราชสำนัก พบว่าตนเองถูกปลดเปลื้องเปลือยเปล่า เผชิญไม่เพียงแต่สิ่งมีชีวิตในตำนานเท่านั้น แต่ยังเผชิญหน้ากับปีศาจภายในตัวของเขาเองอีกด้วย เขาใช้เวลาหลายวันในการทำสมาธิในวัดบนูเาอันห่างไกล แสวงหา คำแนะนำจากปรมาจารย์เต๋าผู้สูงวัย เขาเรียนรู้ที่จะควบคุมความโกรธและความเศร้าโศก และเปลี่ยนความทุกข์ทรมานให้กลายเป็ความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่
ท่านเรียนรู้ที่จะฟังเสียงกระซิบของสายลม เสียงนกร้อง และเสียงใบไม้เสียดสี ค้นพบความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งกับธรรมชาติ ท่านฝึกฝนชี่กง ขัดเกลาร่างกายและจิตใจ เตรียมพร้อมรับมือกับ
ความท้าทายทั้งทางร่างกายและจิติญญาที่รออยู่เบื้องหน้า พระภิกษุท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของ ความสมดุลแห่งการค้นหาความกลมกลืนระหว่างโลกและ์ หลักการนี้กลายเป็หลักชี้นำของจักรพรรดิ เส้นทางของพระองค์สว่างไสวด้วยภูมิปัญญาโบราณของลัทธิเต๋า
การเดินทางทดสอบเขา เขาไม่เพียงแต่เผชิญกับภัยคุกคามภายนอกเท่านั้น แต่ยังเผชิญกับการต่อสู้ภายในอีกด้วย ความสงสัยกัดกินเขา กระซิบถึงสิ่งล่อลวงที่จะเปลี่ยนแปลงอดีต เรียกจักรพรรดินีผู้เป็ที่รักของเขากลับคืนมาไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม แต่คำพูดของพระภิกษุยังคงก้องอยู่ในใจ การใช้กระจกอย่างผิดวิธีอาจทำลายแก่นแท้ของการดำรงอยู่ได้ เขานึกถึงการที่พระภิกษุเน้นย้ำถึงการยอมรับธรรมชาติ
ความสงบภายในความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง เขาเล่าถึงคำอธิบายของพระสงฆ์เกี่ยวกับเหล่าผู้พิทักษ์ เหล่าเทพผู้ปกป้องกระจกเงา พระสงฆ์ได้อธิบายว่าเหล่าเทพเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเท่านั้น แต่ยังเป็ตัวแทนของความสมดุลของจักรวาล ผู้พิทักษ์การไหลเวียนตามธรรมชาติของกาลเวลา การต่อต้านพวกเขาคือการท้าทายแก่นแท้ของการดำรงอยู่ จักรพรรดิทรงตระหนักว่าการแสวงหาของพระองค์ไม่ใช่แค่การเรียกจักรพรรดินีกลับคืนมา แต่เป็การทำความเข้าใจตำแหน่งของพระองค์ภายในผืนผ้าผืนใหญ่แห่งกาลเวลา การเรียนรู้ที่จะชดเชยความโศกเศร้าด้วยการยอมรับชะตากรรม
จี้หยกที่แนบสนิทกับผิวกายของเขา กลายเป็สัญลักษณ์แห่งความจงรักภักดี เป็เครื่องเตือนใจถึงความรักที่เขามีต่ออู่ เจ๋อ เถียน ความรักที่เหนือกาลเวลาและอวกาศ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็สิ่งเตือนใจถึงข้อ
จำกัดของแม้แต่เวทมนตร์อันทรงพลังที่สุด จี้นี้ไม่ได้นำพานางกลับคืนมา แต่จะนำทางเขาผ่านการเดินทาง มันไม่เพียงแต่บรรจุความรักที่เขามีต่อจักรพรรดินีเท่านั้น แต่ยังมีพลังที่จะยอมรับความสูญเสีย และโอบรับปัญญาที่ได้มาจากการเผชิญหน้ากับความลึกซึ้งในจิตใจของเขา
ความโศกเศร้า จักรพรรดิทรงเข้าใจว่าอำนาจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การท้าทายโชคชะตา แต่อยู่ที่การเข้าใจมัน ขณะที่เขาเตรียมตัวสำหรับการเดินทางครั้งสุดท้าย เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความสำคัญของการเปิดเผยของพระ การแสวงหากระจกเงานั้นไม่ใช่แค่การได้มาซึ่งวัตถุวิเศษ หากแต่เป็การเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการค้นพบและการยอมรับ นี่คือการเดินทางที่ไม่เพียงแต่กำหนดชะตากรรมของอาณาจักรของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชะตากรรมของจิติญญาของเขาเองด้วย เขายืนอยู่ ณ ธรณีประตูแห่งการเลือกอันลึกซึ้ง การเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตและโชคชะตาของอาณาจักรของเขาไปตลอดกาล
จักรพรรดิผู้ทรงมีความเข้าใจใหม่และความมุ่งมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทรงเดินหน้าการเดินทางของพระองค์ต่อไปด้วยพระทัยหนักอึ้งแต่จิติญญาที่แน่วแน่ โดยทรงก้าวเดินด้วยปัญญาของพระภิกษุเต๋าและความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงที่มีต่อจักรพรรดินีผู้ล่วงลับของพระองค์