เจิ้งหยวนออกจากบ้านอาสะใภ้สามหลังกินข้าวเสร็จ แต่เธอเลือกที่จะยังไม่กลับบ้าน ่บ่ายต้นๆ เรียกได้ว่าอากาศร้อนที่สุด เธอไม่คิดจะเดินท้าแดดกลับบ้านหรอก จึงเอ้อระเหยอยู่ในมิติจนถึงสี่ห้าโมงเย็น แล้วค่อยสะพายห่อผ้าออกจากมิติเดินทางกลับอย่างไม่เร่งรีบ
คนบนท้องถนนไม่เยอะ สองข้างทางล้วนเป็ทุ่งนา ครั้นพอมองออกไปแล้วก็พบว่าคนในท้องนากำลังปรับหน้าดินอยู่เป็หย่อมๆ ยังไม่เลิกงานจนตอนนี้ พอใกล้จะถึงหมู่บ้านคนจึงเริ่มยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ เจิ้งหยวนเงยหน้ามองไปข้างหน้า เธอรู้ดีว่าหากถึงถนนเส้นเล็กที่กำลังจะเลี้ยว เดินอีกแค่หนึ่งลี้ก็ถึงแล้ว ถึงกระนั้น เจิ้งหยวนกลับรู้สึกเหมือนตัวเองเดินมานานมากแล้ว
มือเรียวปาดเหงื่อบนหน้าผาก เผลอเลียริมฝีปากแห้งผาก น่าเสียดายที่มีคนอยู่เยอะ เลยไม่อาจหาน้ำจากในมิติมาดื่มได้ เมื่อรีบเดินไปอีกก้าวสองก้าว อยู่ๆ ก็เห็นพี่สะใภ้ใหญ่เลี้ยวออกมาจากถนนอีกสาย แววตาเจิ้งหยวนพลันเป็ประกายกำลังจะโบกมือเรียกเธอ กลับเห็นผู้ชายคนหนึ่งตามอยู่ข้างหลังพี่สะใภ้ใหญ่เสียก่อน แล้วผู้ชายคนนั้นยังเอื้อมมือจะดึงตัวเธอด้วย
เจิ้งหยวนขมวดคิ้วมุ่น ประวัติของพี่สะใภ้ใหญ่เธอไม่สะอาดนัก! หรือพี่สะใภ้ใหญ่จะเกิดความคิดนอกใจั้แ่ตอนนี้กัน? ไม่น่าใช่มั้ง? ความรักระหว่างพี่ชายเธอกับพี่สะใภ้ใหญ่ยังหวานชื่นอยู่เลย
ขณะที่คิดฟุ้งซ่าน ผู้ชายคนนั้นก็เหมือนจะพยายามยัดของบางอย่างใส่มือพี่สะใภ้ใหญ่
พี่สะใภ้ใหญ่เบี่ยงตัวหลบ เป็จังหวะเดียวกับที่ฝ่ายชายหันมา
เจิ้งหยวนจึงเห็นหน้าเขาพอดิบพอดี
เหอะ! เป็เจิ้งเทียนหู่นี่เอง!
เจิ้งหยวนพรวดเข้าไปหา พร้อมตวาดเสียงดังทันที “เจิ้งเทียนหู่ นายกำลังจะทำอะไร!”
เจิ้งเทียนหู่สะดุ้งเฮือก ครั้นหันกลับมามอง ในดวงตาพลันเผยความรังเกียจ “เจิ้งหยวนเหรอ?” เขาเพ่งมองทิศทางที่เจิ้งหยวนมา หรี่ั์ตาลงอย่างไม่อาจปกปิดความมุ่งร้ายนั้นได้ “โอ๊ะ เธอเข้าอำเภอมาหรอกเหรอ? ไปทำอะไรมาล่ะ?”
แค่เขาขยับ เจิ้งหยวนก็รู้แล้วว่าเข้าคิดเลวอะไรอยู่ จึงเอ่ยว่า “ไปบ้านอาสามมา มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ? นายต่างหากก่อกวนพี่สะใภ้ใหญ่ของฉันทำไม? มายื้อยุดชุดแขนกัน ไม่รู้จักคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง!”
เจิ้งเทียนหู่หัวเราะในลำคอ ทั้งยังขยับเข้าใกล้เฝิงิเยว่มากกว่าเดิม “พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน พี่สะใภ้เธอก็พี่สะใภ้ฉัน ดูไม่ดีตรงไหนเหรอ? ญาติกันเองทั้งนั้น”
สีหน้าเฝิงิเยว่เสียฉับพลัน เธอรีบเบี่ยงตัวออก
เจิ้งหยวนเดินไปด้านหน้า กั้นระหว่างทั้งสองและหัวเราะเยาะหนึ่งคำรบ ภายในดวงตาหรี่ลง ทั้งยังปรากฏร่องรอยดูถูกดูแคลน การกระทำนี้ไม่ต่างอะไรกับการอ้าปากบอกตรงไปตรงมาว่า ‘ฉันไม่มีญาติแบบนาย’ เจิ้งหยวนสามารถยั่วโมโหคนอื่นได้อย่างง่ายดายด้วยภาษากายเดียวหากหาก้า
เจิ้งเทียนหู่โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ทั้งสองจ้องกันไปกันมาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ พอผ่านไปสักพัก เจิ้งหยวนจึงค่อยๆ ดึงมือเฝิงิเยว่กลับหลังหันจากไป
ทว่ายังไม่ทันก้าวออกไป เจิ้งเทียนหู่กลับวิ่งอ้อมเจิ้งหยวนมาขวางข้างหน้าทั้งคู่เสียก่อน “เฮ้ พี่สะใภ้ อย่าเพิ่งไปสิ…”
“ตกลงนายจะเอายังไงกันแน่?” เจิ้งหยวนถามเสียงคล้ายคนกำลังจะหมดความอดทน ฟังดูย่ำแย่มาก
พอได้ยินดังนั้น เจิ้งเทียนหู่พลันตวาดลูกพี่ลูกน้องตัวเองเสียงดังลั่น “ฉันมาให้พี่สะใภ้ทำเสื้อผ้า เธอยุ่งอะไรด้วย จู้จี้จุกจิกอยู่นั่นแหละ! หุบปากไปซะ!” ครั้นตวาดเสร็จ
ก็ทำสีหน้าประจบประแจงจะยัดคูปองกับเงินจำนวนหนึ่งใส่มือเฝิงิเยว่อีกรอบ
ถึงกระนั้น เฝิงิเยว่ก็ไม่รับ แต่เจิ้งหยวนมือไวแย่งมานับดูทันที พบว่ามีคูปองผ้ายาวหนึ่งซื่อฉื่อห้าใบและธนบัตรอีกสามใบ สองใบในนั้นเป็เงินหนึ่งหยวน ส่วนอีกใบมากขนาดห้าหยวน
เจิ้งเทียนหู่พยายามจะแย่งกลับมา แต่เจิ้งหยวนหลบทัน เขาจึงะโอย่างโมโห “เธอแย่งไปทำไม ฉันให้พี่สะใภ้ใหญ่นะ!”
ได้ยินเช่นนั้น เจิ้งหยวนจึงตอบด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “โอ้โฮ วันธรรมดาไม่ใช่หน้าเทศกาลเสียหน่อย ทำเสื้อผ้าใหม่เพื่ออะไรเหรอ?”
“ฉันจะไปดูตัวไม่ได้หรือไง!” เขาเอื้อมมือมาหมายคว้ามันอีกครั้ง
เขาแรงเยอะ เจิ้งหยวนคร้านจะต่อความยาวสาวความยืดกับเขา จึงปล่อยให้คูปองในมือถูกแย่งกลับไป แต่ยังไม่วายเอ่ยเสียงเหน็บแนม “อ้อ... พอแม่นายขายลูกสาวจนมีเงินแล้ว เลยจะสู่ขอสะใภ้ให้ลูกชายนี่เอง เข้าใจละ”
เจิ้งเทียนหู่ไม่สนใจเธอ เขายังไม่ลดละเลิกความพยายามในการยัดคูปองกับเงินใส่มือเฝิงิเยว่อีกครั้ง “พี่สะใภ้ ฉันรู้ว่าพี่ฝีมือดี เพราะฉะนั้นช่วยฉันเถอะนะ…”
เจิ้งหยวนดึงแขนของเฝิงิเยว่พลางว่า “อย่าไปทำให้เขาเชียวละ หากผู้หญิงเขาไม่ถูกใจ เขาจะโทษว่าพี่ทำเสื้อผ้าไม่ดีเอา”
“เจิ้งหยวน!” เจิ้งเทียนหู่เบนหน้ามาจ้องเธอเขม็ง เขาโกรธเสียจนเส้นเืตรงขมับโป่งพอง
ท่าทีเหมือนอยากจะพุ่งเข้าไปซัดต่อยตีคน
พอเห็นท่าทางอันธพาลนักเลงหัวไม้ของเจิ้งเทียนหู่ เฝิงิเยว่ก็ใกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือจริงๆ พวกเธอทั้งคู่ล้วนเป็สตรี เรี่ยวแรงน้อยกว่าผู้ชายมาก ไม่มีทางสู้ไหวอยู่แล้ว สุดท้ายคนที่เสียเปรียบจะเป็พวกเธอเสียเอง เธอเลยห้ามเจิ้งหยวนไว้ และกล่าวกับเจิ้งเทียนหู่ “หากนายจะสั่งทำเสื้อผ้าก็ไปที่กลุ่มเย็บปักเถอะ อาจารย์ช่างในกลุ่มฝีมือดีกว่าฉันเยอะ ชุดสูทจงซานกับเสื้อเชิ้ตที่ทำพอดีตัวมาก ผู้ชายที่จะดูตัวส่วนใหญ่ก็มาขอให้พวกเธอทำเสื้อผ้าทั้งนั้นละ ” ก่อนหันมาพูดกับเจิ้งหยวนต่อ “ห้าโมงเย็นแล้ว ที่บ้านน่าจะตั้งโต๊ะกันแล้ว พวกเรารีบกลับกันเถอะ”
เจิ้งหยวนไม่กลัวเจิ้งเทียนหู่ลงมือ คนี้เีที่ไม่ทำงานมาหลายวันจะมีแรงสักเท่าไรกันเชียว พวกเธอมีกันตั้งสองคน แถมถ้าสู้ไม่ไหวจริงก็ใช่ว่าจะหนีไม่ได้ แต่เธอไม่อยากก่อเื่ก่อราวเพิ่มอีก เลยเดินออกไปพร้อมกับเฝิงิเยว่ ระหว่างทางยังกำชับอีกด้วยว่า “ฉันเพิ่งว่าร้ายครอบครัวเขาไป ไม่รู้เขาผูกใจเจ็บหรือเปล่า พี่สะใภ้ ต่อไปพี่ต้องหลบไปให้ไกลจากเขาเลยนะ”
เฝิงิเยว่ขานรับแล้วเปลี่ยนเื่เหมือนไม่อยากคุยหัวข้อนี้ต่อ “เธอแบกอะไรมาน่ะ? ซื้อผ้ามาได้แล้วเหรอ?”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ เจิ้งหยวนเตรียมเหตุผลไว้เรียบร้อยแล้ว “ฉันไปถามอาสะใภ้สามแล้ว อาสะใภ้สามบอกว่าผ้าที่ไม่ต้องใช้คูปองมีน้อย แถมไม่ใช่ว่าใครจะซื้อก็ซื้อได้ ต้องใช้เส้นสายหน่อย ฉันเลยลองไปเดินที่ห้างสรรพสินค้าดู คาดไม่ถึงว่าจะพบคนรู้จัก คนนั้นเขารู้จักกับผู้จัดการของห้างสรรพสินค้า บอกว่าในคลังสินค้ามีผ้ามีตำหนิขายไม่ออกอยู่ลอตหนึ่ง สามารถขายถูกๆ โดยไม่ต้องใช้คูปองผ้าเลยก็ได้”
เฝิงิเยว่คาดไม่ถึงว่าจะมีเื่บังเอิญดีๆ เช่นนี้ ชวนให้ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย “จริงเหรอ? งั้นเธอซื้อมาได้เท่าไร? สินค้ามีตำหนิในห้างน่าจะมีอยู่ไม่เยอะนะ? ส่วนใหญ่ต้องให้คนในห้างซื้อไปแน่ๆ”
เจิ้งหยวนยิ้มภาคภูมิใจ “ฉันถึงบอกว่ามันบังเอิญไงละ ฉันเห็นราคาถูกเลยซื้อมาเยอะ รวมกับผ้าเนื้อหยาบที่คุณแม่เย็บไว้ก็พอใช้แล้ว”
ด้านเฉินชุ่ยอวิ๋นที่ทำอาหารเสร็จแล้ว กำลังรอเจิ้งหยวนกับเฝิงิเยว่กลับมากินข้าวด้วย เธอตาแหลมเหมือนเหยี่ยวเพราะดันเหลือบไปเห็นห่อผ้าใบนั้น ดังนั้น ทันทีที่เจิ้งหยวนเปิดประตู จึงลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ไม่อาจปกปิดอาการตื่นเต้นได้แม้แต่น้อย “โอ้โฮ นี่แกซื้อผ้ามาได้ด้วยเหรอ?”
“ซื้อได้แล้วๆ” เจิ้งหยวนว่าพลางยื่นห่อผ้าไปตรงหน้าเฉินชุ่ยอวิ๋น “ซื้อมาเยอะเลย พรุ่งนี้เริ่มทำผ้าห่มได้แล้วละ”
“ขอฉันดูหน่อย” เฉินชุ่ยอวิ๋นรับไป ก่อนแก้ปมห่อผ้าออกดูจนผ้าสีสันสดใสกระจัดกระจาย
ตอนเธอวิเคราะห์ผ้า เจิ้งหยวนก็เอ่ยข้ออ้างที่บอกเฝิงิเยว่เมื่อกี้ให้เฉินชุ่ยอวิ๋นฟังอีกรอบ ก่อนกล่าวเสริม “ผ้าผืนละสองหยวน แถมยังไม่ต้องใช้คูปองผ้า ฉันเห็นว่าถูกดีก็เลยซื้อมาเยอะหน่อยน่ะค่ะ”
เฉินชุ่ยอวิ๋นคลำเนื้อผ้าพลางว่าด้วยความแปลกใจ “นี่มันผ้าดีหมดเลยนะ ทำไมถูกขนาดนี้?”
“อ้อ เป็สินค้ามีตำหนิน่ะค่ะ”
หลังจากพลิกๆ ดู ผ้าสีขาวข้างใต้ก็เผยออกมา ซึ่งเจิ้งหยวนตั้งใจเอามาทำเป็ผ้าห่มชั้นใน เฉินชุ่ยอวิ๋นเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “สำหรับทำผ้าห่มชั้นในใช่ไหม? ซื้อกระทั่งผ้าห่มชั้นในมาด้วย จ่ายไปทั้งหมดเท่าไรล่ะ?”
“ผ้าลายดอกสี่ผืน ผ้าขาวสองผืน ราคาทั้งหมดแค่สิบหยวนค่ะ ส่วนผ้าลายดอกเป็สินค้ามีตำหนิ ราคาก็เลยถูก ไม่ต้องใช้คูปองผ้า แต่ผ้าขาวไม่ใช่สินค้ามีตำหนิ ฉันจ่ายคูปองผ้าไปสิบใบค่ะ” ที่เธอพูดเช่นนี้ เพราะขาไปเฉินชุ่ยอวิ๋นให้เงินยี่สิบหยวนกับคูปองผ้ายี่สิบใบกับเจิ้งหยวน หากไม่ใช้คูปองผ้าเลยสักใบแล้วยังใช้เงินน้อยแค่นั้นคงดูปลอมไปเสียหน่อย นี่มันผ้าสำหรับทำผ้าห่ม และผ้าชิ้นใหญ่สุดยังยาวตั้งสองเมตรครึ่ง แถมกว้างตั้งสองเมตรเลยทีเดียว!
ยิ่งฟัง เฉินชุ่ยอวิ๋นก็ยิ่งดีใจจนพึมพำว่า ‘ดี’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมยังบอกอีกด้วยว่า “คุ้มมาก พวกเราโชคดีแล้ว”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้