ใบหน้าของต่งซิงอู่ซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีเขาค่อนข้างเย่อหยิ่ง ทว่ายามนี้กลับกลัวหนิงเทียนจนเข้าไส้ ทั้งยังไม่เข้าใจสักนิดว่ามดปลวกในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้าจะดุร้ายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
แผ่นดินสั่นะเื อสูริญญาร้องคำราม ทันใดนั้นแหวนมิติในจัตุรัสก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะตกไปอยู่ในมือของหนิงเทียน
ยามนี้หนิงเทียนเปรียบเสมือนจักรพรรดิผู้มาเยือนโลกมนุษย์ เหล่าพฤกษาโดยรอบเปรียบได้กับกองทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทั่วทั้งจัตุรัสล้อมรอบด้วยอสูริญญา และไม่มีศิษย์หยวนซิวคนใดสามารถหลบหนีออกไปได้
“วันนี้พวกเ้าทุกคนจะต้องตายที่นี่!” เขาแผดเสียงเ็าราวกับมีดแหลมคมที่แทงทะลุหัวใจของศิษย์หยวนซิว
ก่อนหน้านี้หนิงเทียนต่อสู้กับศิษย์หยวนซิวกว่าสี่ร้อยคนเพียงลำพัง และทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าแม้เขาจะมีสามเศียรหกกร เขาก็ไม่มีทางรอดไปได้
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้นกลับตาลปัตร หนิงเทียนใช้ทักษะควบคุมอสูริญญานับพันเพื่อปิดกั้นทางหนีทีไล่ ทั้งยังโต้กลับด้วยเจตนา้าล้างบางศิษย์สำนักหยวนซิว!
ใบหน้าของซูอวิ๋นมืดมนอย่างฉับพลัน นางอยากจะะโกัดเขาให้ตายเหลือเกิน
ส่วนชิวซานอวิ๋นก็เลิกคิ้วกระบี่และเยาะเย้ย “ทักษะกองพลพฤกษาจำเป็ต้องมีการควบคุมที่ดี ด้วยระดับความแข็งแกร่งของเขาแล้วคงจะรักษาสภาพนี้ได้อีกไม่นาน เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวเขาเลย”
“ศิษย์พี่ชิวพูดถูก เ้าเด็กนี่กำลังสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตา เพียงเราใช้อาวุธิญญาสังหารเขาโดยตรง พฤกษาเ่าั้ก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว”
หนิงเทียนมองชิวซานอวิ๋นก่อนจะหัวเราะเยาะ “องค์ชายสามช่างมีวิสัยทัศน์ที่วิเศษเสียจริง ท่านคิดว่าถ้าข้าออกไปได้ ราชวงศ์จักรวรรดิเชียนซานจะสูญสลายไปในชั่วข้ามคืนเฉกเช่นตระกูลหลานหรือไม่?”
คำพูดนี้ค่อนข้างมีน้ำหนัก ยิ่งรวมกับคำพูดของเยี่ยหลิงหลานในวันที่ตระกูลแม่ทัพของจักรวรรดิถูกกำจัด และแม้แต่ราชวงศ์ก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ ชิวซานอวิ๋นจึงรู้สึกรำคาญใจขึ้นมา “นี่เ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ?”
หนิงเทียนพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ขู่ท่าน? ข้าแค่คิดว่าเมื่อเทียบกับสองผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักชื่อหยวนปังแล้ว จักรวรรดิเชียนซานยังตามหลังอยู่มาก และสำหรับสำนักวั่นจื๋อ การทำลายจักรวรรดิเชียนซานนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากการเหยียบมด”
ชิวซานอวิ๋นแสยะยิ้มอย่างโกรธเกรี้ยว “เ้าคิดว่าเ้าเป็คนเดียวที่มีอาจารย์หรือ? ฝ่ายข้าไม่มีอาจารย์หรืออย่างไร?”
หนิงเทียนตอบอย่างดูิ่ว่า “อาจารย์ของท่านสามารถเทียบกับอาจารย์ของข้าได้หรือ? หากท่านยอมฆ่าตัวตาย ข้าจะมองข้ามราชวงศ์จักรวรรดิเชียนซานให้ก็ได้นะ”
“เ้าหน้าเหม็น! เ้าคิดว่าวันนี้เ้าจะออกไปจากที่นี่แบบมีชีวิตได้หรือ?” ศิษย์สำนักอินทนิลคนหนึ่งะโใส่หนิงเทียน แล้วพูดสนับสนุนชิวซานอวิ๋น
ชิวซานอวิ๋นจ้องหนิงเทียนและพูดอย่างเ็า “เ้าบังคับให้ข้าสังหารเ้าหรือ?”
“เพียงเพราะท่านไม่ลงมือ ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่อยากสังหารข้า ท่านเคยคิดเช่นนี้ในหอตำรา แต่ยามนั้นท่านกลับลังเล” ดวงตาของหนิงเทียนเฉียบแหลมราวกับคมมีด เขาปรายตามองชิวซานอวิ๋นอย่างเหยียดหยาม ซึ่งทำให้ชิวซานอวิ๋นไม่พอใจอย่างมาก
“ศิษย์พี่ชิวอย่าไปสนใจเขาเลย ข้าจะทำให้เขาคุกเข่าต่อหน้าท่านและวิงวอนขอความเมตตาเอง”
ชิวซานอวิ๋นพูดอย่างเ็า “สังหารเขาเสีย! อย่าให้เวลาเขาได้พักหายใจมากเกินไป!”
อู่เจี้ยนหงตอบรับ “ใช่แล้ว! รีบคว้าชัยชนะมาโดยเร็ว การควบคุมอสูริญญาที่แข็งแกร่งย่อมกลืนกินพลังเขาไปมากมาย เขาอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก”
ในบรรดาศิษย์ของสำนักหานเทียน มีอยู่คนหนึ่งที่หนิงเทียนจำได้ นั่นคือเหมยเอ้าซง
ย้อนกลับไปในพระราชวังผลึกแก้ว เหมยเอ้าซงเกือบตายด้วยน้ำมือของหนิงเทียน และเขาก็เกลียดหนิงเทียนมาโดยตลอด
เป็เื่ยากที่ยอดฝีมือทั้งเก้าของสำนักหยวนซิวจะมารวมตัวกันเช่นวันนี้ หากพวกเขาไม่สามารถสังหารหนิงเทียนได้อีก นั่นจะไม่เป็เื่น่าขันไปหน่อยหรือ?
เหมยเอ้าซงมองดูสถานการณ์ตรงหน้าและพูดขึ้นว่า “สำนักของเรามีวิธีเอาชนะศัตรูมากมาย”
“ศิษย์พี่เหมย ท่านมีวิธีใดแนะนำบ้างหรือไม่?”
“ผู้าุโสำนักของเราเคยขัดเกลาอาวุธิญญาที่เรียกว่าทุ่งเยือกแข็ง ซึ่งเป็การใช้พลังเหมันต์อันลึกลับเพื่อระงับการเติบโตของจิติญญาพฤกษา มันจะยับยั้งพลังของจื๋อซิวเชื้อสายรากพฤกษา ทั้งยังสามารถกลืนกินพลังิญญาของหนิงเทียนได้”
“เป็ความคิดที่ดียิ่งนัก แค่กินเขาทั้งเป็”
“เมื่อหนิงเทียนถูกจองจำ พฤกษาของเขาก็ไร้ค่า เท่านี้เ้าหนูนี่ก็ไม่รอดแล้ว”
เมื่อซิ่งอวี่เจวียนได้ยินเช่นนี้ นางก็แสดงความกังวลและเร่งเร้า “โจมตีก่อนดีกว่า”
หนิงเทียนมองเหมยเอ้าซงและเยาะเย้ย “ถึงครั้งที่แล้วเ้าจะหนีไปได้ แต่คราวนี้เ้าไม่รอดแน่!”
เหมยเอ้าซงตะเบ็งเสียงด้วยความไม่พอใจ “หุบปากเหม็นๆ ของเ้าเสีย! รอดูเถิดว่าจากนี้ข้าจะทรมานเ้าอย่างไร เอาอาวุธิญญาออกมา!”
สิ้นคำข่มขู่ เหมยเอ้าซงก็เริ่มใช้ทุ่งเยือกแข็งด้วยความโกรธ มันเป็ธงที่บรรจุพลังเหมันต์เย็นะเือันน่าสะพรึงกลัว และแผ่รัศมีออกไปร้อยเท่าในชั่วพริบตา จากนั้นธงประมาณสิบจั้งก็ปักลงกลางจัตุรัสพร้อมเสียงดังกึกก้อง
น้ำแข็งกระจายตัวอย่างรวดเร็วบนพื้น อากาศที่เย็นจัดทำให้เกิดการหยุดชะงัก ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเติบโตของอสูริญญา
“ฆ่ามัน!”
ศิษย์จากทุกฝ่ายต่างรุกไปข้างหน้า พวกเขาล้วนเปิดใช้อาวุธิญญาและวิ่งเข้าหาหนิงเทียนอย่างรวดเร็ว
ศิษย์หยวนซิวที่สามารถข้ามทะเลทรายและเดินผ่านทุ่งหญ้ามาถึงเมืองร้างได้ล้วนเป็คนที่มีความแข็งแกร่งทั้งสิ้น โดยส่วนใหญ่จะเป็ผู้บำเพ็ญขอบเขตผนึกดาราขั้นแปดและขั้นเก้า แม้แต่ผู้บำเพ็ญระดับต่ำสุดก็ยังอยู่ในขอบเขตผนึกดาราขั้นหก
หนิงเทียนที่กำลังควบคุมอสูริญญาได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากความหนาวเย็น ทว่าความแข็งแกร่งของศิษย์สำนักชื่อหยวนปังและโถงเพลิงทมิฬที่อยู่ภายในอาณาเขตของทุ่งเยือกแข็งก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ซิ่งอวี่เจวียนคอยยิงธนูสังหารจากรอบนอก และช่วยเหลือหนิงเทียนอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับศัตรู
ลูกศิษย์ของแต่ละสำนักก็ไม่ได้โง่เขลา บางส่วนก็หยิบธนูมายิงใส่ซิ่งอวี่เจวียนที่คอยก่อกวนเช่นกัน
หนิงเทียนกำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงในที่สมรภูมิ ทุ่งเยือกแข็งรบกวนพลังของเหล่าพฤกษาอย่างยิ่ง ทั้งยังทำให้ความแข็งแกร่งของอสูริญญาอ่อนแอลง
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มหยวนซิวผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดเกลาอาวุธและกลุ่มศิษย์หลักจากแต่ละสำนักต่างก็พกอาวุธติดไม้ติดมือกันมา ซึ่งถือเป็ภัยคุกคามต่อหนิงเทียนอย่างมาก
หนิงเทียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในระยะประชิด เพื่อไม่ให้ศัตรูมีโอกาสปิดล้อม พร้อมทั้งคำนวณช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่าย
นี่คือการพลิกแพลงของตัวเลขเก้าหลักที่พัฒนาประสิทธิภาพได้อย่างดียิ่ง ทั้งยังสามารถใช้ค้นหาข้อบกพร่องในการโจมตีของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว
หนิงเทียนหยิบพู่กันิญญาหลากสีออกมาและใช้ทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์ ปลายพู่กันเปล่งประกาย ก่อนที่อสูรเพลิงจะปรากฏขึ้นในห้วงอากาศ
เสียงคำรามของอสูรสั่นะเืทุกทิศทาง มันพ่นเปลวเพลิงทำให้น้ำแข็งและหิมะละลาย
สีหน้าของเหมยเอ้าซงแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหันและร้องเตือนทันที “ระวัง! เด็กคนนี้เชี่ยวชาญวิชาจิตรกรรมิญญา ทั้งยังเป็จิตรกรจิติญญาที่หาได้ยาก!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่าทีของชิวซานอวิ๋นและซูอวิ๋นก็เปลี่ยนไปมาก จิตรกรจิติญญานั้นหายากยิ่งกว่าผู้ขัดเกลาอาวุธ หากพวกเขาเติบใหญ่ พวกเขาจะมีพลังที่น่ากลัวมาก
หนิงเทียนมีความเชี่ยวชาญในวิชาจิตรกรรมิญญา อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็ยอดฝีมือด้านการควบคุมิญญาที่หาได้ยาก เป็เหตุให้เขาสามารถอยู่ในฐานะจิตรกรจิติญญาได้ด้วย นี่มันชั่วร้ายเกินไปแล้ว!
“สังหารเขาเสีย! อย่าปล่อยให้เขารอดไปได้!”
ศิษย์หยวนซิวหลายคนเริ่มอิจฉาริษยา หนิงเทียนไม่เพียงแต่จะมีร่างกายที่แข็งแกร่งเป็พิเศษถึงหนึ่งแสนจินเท่านั้น เขายังเป็จิตรกรจิติญญาและควบคุมิญญาได้อีกด้วย ในภายภาคหน้าเขาย่อมเป็หายนะสำหรับหยวนซิว ดังนั้น อัจฉริยะเช่นนี้ต้องกำจัดให้สิ้นซาก!
ภายในจัตุรัส สัตว์อสูรห้าตนยังคงพ่นเปลวเพลิงพร้อมพุ่งเข้าหาศิษย์หยวนซิว ลำตัวของอสูรแต่ละตนยาวหลายสิบจั้ง ทั้งยังมีพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก
สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นจากรูปแบบทางจิติญญา มันไม่มีเืเนื้อที่แท้จริง ทว่าสามารถดึงความแข็งแกร่งของอสูรระดับสามออกมาได้
บริเวณรอบนอก เมื่ออสูรตัวจริงเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ดวงตาของพวกมันก็ฉายแววประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสูรเพลิงที่เคยถูกศิษย์หยวนซิวรุกราน
เหล่าอสูรในยอดเขาหมื่นอสูรล้วนเศร้าโศกราวกับกระต่ายสิ้นใจจิ้งจอกร่ำไห้[1] ซึ่งรู้สึกราวกับเผ่าพันธุ์ของพวกมันถูกทำลายสิ้น
หนิงเทียนใช้ยุทธศาสตร์ครอง์พร้อมด้วยทักษะควบคุมิญญา และพยายามบุกรุกรานเหล่าอสูร
ก่อนหน้านี้เขาพยายามใช้รอยประทับิญญาเพื่อควบคุมเพียงอสูริญญาเท่านั้น ซึ่งควบคุมได้ง่ายกว่าการใช้ยุทธศาสตร์ครอง์ แต่เมื่อเป้าหมายของเขาเปลี่ยนเป็อสูร จึงจำเป็ต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิม
ยุทธศาสตร์ครอง์มีพลังในการตั้งอาณาเขตบน์ด้วยเส้นลมปราณทั้งเก้า สามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็ะ และสามารถทั้ง์ได้
อสูรก็เป็หนึ่งในิญญาเช่นกัน แต่จะรุกรานได้ยากกว่าอสูริญญา เนื่องจากรากบ่มเพาะของหนิงเทียนเป็รากพฤกษานั่นเอง
หากรากบ่มเพาะของเขาเป็รากอสูร การควบคุมอสูรก็ย่อมง่ายกว่าอสูริญญา
หนิงเทียนหลีกเลี่ยงเื่ยุ่งยากและทำให้ทุกอย่างง่ายลง เขาเฝ้าสังเกตอสูรนอกสนามรบ ก่อนจะใช้ทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์วาดพวกมันขึ้นมา แล้วปล่อยให้สู้กับศิษย์หยวนซิวสำนักต่างๆ ในจัตุรัส
เมื่อบรรดาอสูรจากยอดเขาหมื่นอสูรรู้สึกราวกับพวกมันกำลังต่อสู้กับมนุษย์ อารมณ์ของพวกมันก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
หนิงเทียนใช้ยุทธศาสตร์ครอง์เพื่อใส่รอยประทับิญญาเข้าไปในร่างของสัตว์อสูร และด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อบกพร่องทางอารมณ์ของพวกมัน เขาก็สามารถทะลวงการป้องกันของสัตว์อสูรและเข้าควบคุมได้สำเร็จ
หนิงเทียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แสงเย็นวาบฉายขึ้นในดวงตา เขาไม่ได้สั่งให้สัตว์อสูรโจมตีในทันทีและกำลังรอโอกาสอันเหมาะสม
ผ่านไปครู่หนึ่ง หนิงเทียนก็มีท่าทีราวกับเริ่มเหนื่อยล้า เนื่องจากการใช้ทักษะควบคุมิญญาและทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์ในเวลาเดียวกันนั้นใช้พลังงานมากจริงๆ
“เด็กนั่นกำลังจะตาย ทุกคนจงลงมือให้หนักขึ้นอีก!” ต่งซิงอู่ะโด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง ก่อนจะตวัดหอกในมือและโจมตีอย่างเฉียบคมและทรงพลัง จนหนิงเทียนต้องหลีกเลี่ยงอย่างสุดกำลัง
หนิงเทียนค่อยๆ ออกจากพื้นที่ทุ่งเยือกแข็ง และเข้าใกล้สัตว์อสูรรอบนอกมากขึ้น
อสูริญญาที่หนิงเทียนควบคุมอยู่ถูกปราบด้วยพลังเหมันต์และอาวุธิญญาของศิษย์จากกลุ่มต่างๆ ทำให้เกิดการาเ็ล้มตายไปจำนวนมาก
ซิ่งอวี่เจวียนกรีดร้องด้วยความโกรธ แม้นางจะได้รับาเ็ แต่นางก็ยังคงพยายามยิงธนูออกไปอย่างสิ้นหวัง
“อย่าปล่อยให้หนิงเทียนหนีไปได้ เรามาร่วมมือสังหารเขากันเถอะ!” เหมยเอ้าซงกล่าวด้วยรอยยิ้มดุร้าย เขาดีดนิ้วน้ำแข็งที่แหลมคมราวกับหอกออกไปทิ่มแทงตามจุดสำคัญบนร่างกายของหนิงเทียน
ศิษย์ของสำนักอินทนิล สำนักชื่อหยวนปัง สำนักหานเทียน และโถงเพลิงทมิฬต่างคึกคักราวถูกฉีดเืไก่[2] ทุกคนล้วนมีขวัญกำลังใจอย่างยิ่งที่จะลงมือสังหารหนิงเทียน
มีผู้าเ็ล้มตายในระยะประชิด และศิษย์หยวนซิวค่อนข้างเสียเปรียบ ทว่าพลังแห่งทุ่งเยือกแข็งกลับสามารถระงับความเย่อหยิ่งของหนิงเทียนเอาไว้ได้
“หึ! ดูสิว่าจะวิ่งไปไหนได้อีก?” อู่เจี้ยนหงหัวเราะอย่างดุเดือด เขามองหนิงเทียนที่ถูกต้อนไปยังมุมหนึ่งของจัตุรัสด้วยความเกลียดชังที่แผดเผาอยู่ในใจ
ใบหน้าของหนิงเทียนไร้ความรู้สึก เขาผสานทะลวงพันชั้นเข้ากับวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น และเริ่มท้าทายเหล่าศิษย์สำนักต่างๆ ของหยวนซิว
“ต่อต้านข้าหรือ? จงตายเสียเถอะ!” ศิษย์ขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าจากสำนักอินทนิลผู้มีรูปร่างสูงคนหนึ่งกล่าวขึ้น ยามนี้แสงสีม่วงส่องประกายรอบกำปั้นของเขา ราวกับดวงอาทิตย์สีม่วงที่ทรงพลัง และทำให้ห้วงอากาศโดยรอบพังทลาย
หนิงเทียนเหลือบมองอย่างเ็า ตัวเลขทั้งเก้ากะพริบอยู่ในใจ กายาสุวรรณะนิรันดร์รวมเข้ากับยุทธศาสตร์ครอง์ และพลังทางกายภาพของเขาก็เกินหนึ่งแสนจินในทันที ทั้งยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้น ตัวเลขมากมายก็ปรากฏขึ้นในใจของหนิงเทียน ซึ่งเป็จุดแข็งของพลังหมัดนี้อย่างแน่นอน
“สุดขั้วของเนื้อหนัง พลังหนึ่งหยวน!” ดวงตาของหนิงเทียนเป็ประกาย แสงสีทองส่องสว่างบนหมัดราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา พลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวโจมตีหมัดของศิษย์สำนักอินทนิลผู้นั้นโดยตรง
เสียงปะทะดังสนั่น แสงสว่างลุกโชนในห้วงอากาศ คลื่นแสงแผ่กระจายทำให้หนิงเทียนถอยกลับไปสามจั้ง ลวดลายสีทองหลายชั้นปรากฏบนิัจนเขาดูเหมือนเทพเ้า
ศิษย์สำนักอินทนิลถอยไปสามก้าวติดต่อกัน แขนขวาของเขาห้อยลงมา พร้อมกับกำปั้นที่แตกกระจาย เสียงคำรามอันดุร้ายสั่นะเืไปทุกทิศทาง เขาไม่สามารถยอมรับผลในคราวนี้ได้
การโจมตีครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเขาเป็ฝ่ายได้เปรียบ แต่ทำไมเขากลับต้องมาตายเช่นนี้?
ด้วยขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าและทักษะของสำนักอินทนิล หมัดเมื่อครู่ควรทำให้ศิษย์สำนักอินทนิลได้รับชัยชนะ ทว่าในแง่ของความแข็งแกร่งทางกายภาพ พละกำลังของเขาเทียบเท่าหนิงเทียนไม่ได้เลย
“ข้าเอง!” ศิษย์สำนักชื่อหยวนปังขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าอีกคนหนึ่งพุ่งเข้ามาพร้อมเสียงคำรามอย่างรุนแรง หมัดของเขาลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง ทั้งยังมีลวดลายงูเพลิงเก้าตัวพันอยู่ด้วย
หนิงเทียนแผดเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยวแล้วใช้กำปั้นต่อยเขาอย่างแรง และเมื่อหนิงเทียนใช้พลังหนึ่งหยวน หมัดอันทรงพลังก็ะเิออก พร้อมกระแทกร่างทั้งคู่กระเด็นไปไกล
---------------------------------------
[1] กระต่ายสิ้นใจจิ้งจอกร่ำไห้ (兔死狐悲) หมายถึง พวกเดียวกันย่อมเห็นใจซึ่งกันและกัน หรือเศร้าโศกไม่ต่างกัน
[2] ฉีดเืไก่ (打鸡血) หมายถึง คึกคักหรือตื่นเต้นมาก
