เดินเข้าไปด้านในครู่หนึ่งก็มาถึงห้องพักของนายอำเภอ เห็นนายอำเภออยู่ในชุดธรรมดานั่งคุกเข่าอยู่นอกห้อง สถานที่ที่เกิดไฟไหม้เมื่อครู่คงจะเป็ที่นี่ ชั่วขณะนี้ไฟดับลงแล้ว เหลือเพียงซากปรักหักพังทิ้งไว้ให้เห็น
เมื่อเห็นฉีเฉินมา นายอำเภอก็เหมือนกับเห็นดาวช่วยชีวิต คลานเข้ามาอยู่ข้างกายฉีเฉิน ท่าทางร่ำไห้จะเป็จะตายชวนให้คนอดรู้สึกเวทนาไม่ได้
"หวางเหย่ ในที่สุดท่านก็มาแล้ว"
สายตาฉีเฉินมองไปที่จวินหวง ในใจของจวินหวงย่อมรู้ดี แต่ไม่สามารถเผยความจริงออกมาได้ ได้แต่บอกว่าตนเองจะไปสำรวจดูความเสียหายแล้วเดินออกไป ฉีเฉินส่งสัญญาณให้คนตามไป จากนั้นก็พาตัวนายอำเภอเข้าไปในห้องด้านข้าง
ฉีเฉินนั่งอยู่บนที่นั่งตำแหน่งประธาน มองนายอำเภอที่คุกเข่าอยู่กลางห้องด้วยสายตาเย็นเยียบ อดไม่ได้ตะคอกด่าออกมา "เ้าสวะไร้ประโยชน์ ข้าเลี้ยงเ้าไว้มีประโยชน์อันใด?"
"หว่างเหย่ไว้ชีวิตด้วย หว่างเหย่ไว้ชีวิตด้วยเถิด" กลิ่นไอสังหารที่เจืออยู่น้ำเสียงที่ฉีเฉินพูดออกมา นายอำเภอฟังแล้วก็กลัวจนหัวหด ตะเกียกตะกายเข้าไปหาฉีเฉินแล้วดึงชายเสื้อของเขาไว้ร้องขอชีวิต
ฉีเฉินยกเท้าเตะนายอำเภอจนกระเด็นไป หลังจากสูดหายใจลึกๆ สงบอารมณ์แล้ว ก็ค่อยๆ เอ่ยปากถามขึ้น "คนที่มาใช่โจรจริงๆ หรือ?"
"จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะหวางเหย่ คนพวกนั้นเหี้ยมหาญหาใดเทียม จะต้องเป็โจรพเนจรมาจากหุบเขาอย่างไม่ต้องสงสัย" เหงื่อเย็นเปียกชุ่มไปทั้งแผ่นหลังของเขา เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของฉีเฉินก็ลนลาน กลัวว่าฉีเฉินจะมีใจคิดสังหารตนขึ้นมาจริงๆ
แต่ฉีเฉินยังไม่มีความคิดจะจัดการกับนายอำเภอในตอนนี้ เขายังรู้สึกเสียดายเงินที่จู่ๆ ก็สูญไปของตนเองอยู่
จวินหวงสังเกตเห็นมีคนตามอยู่ข้างหลังก็หัวเราะเยือกเย็นในใจ ทำท่ามองไปรอบๆ ศาลาว่าการอย่างจริงจัง แล้วกล่าวปลอบประโลมบ่าวไพร่ที่ยังคงใหวาดกลัว ตอนที่ออกจากศาลาว่าการกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว นางกดจุดที่ขมับ แล้วเข้าห้องไปพักผ่อนหนึ่งถึงสองชั่วยาม
ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เป็เวลาเที่ยงวัน ฉีเฉินพาคนออกไปแล้ว ในโรงเตี๊ยมจึงเหลือแค่นางกับหนานสวิน
ตอนที่ลงมารับประทานอาหาร เห็นหนานสวินนั่งรอนางอยู่ที่นั่น นางเดินเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วถามขึ้น "เื่จัดการเรียบร้อยแล้ว?"
หนานสวินพยักหน้า "ผู้ที่บุกเข้าไปในศาลาว่าการเมื่อคืนเป็โจรจริงๆ แต่เป็เพราะถูกอำนาจในท้องถิ่นบีบบังคับ ตกที่นั่งลำบากไม่มีทางเลือกจึงต้องเป็โจร ตอนนี้คิดว่าพวกเขาคงนำเงินเ่าั้ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติแล้ว"
"เื่นี้พวกเราไม่สะดวกออกหน้าจนเกินไปจริงๆ มอบให้พวกเขาจัดการก็ดีแล้ว" จวินหวงกล่าว
หนานสวินมองไปที่จวินหวง นางเอาแต่ก้มหน้าดื่มชา ดูท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาย่นคิ้วถามขึ้นทันที "อารมณ์ไม่ดีหรือ?"
จวินหวงเงยหน้าขึ้นมามองเขา ยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าวอย่างรู้สึกเสียใจ "ข้าแค่ไม่คิดว่าองค์ชายรองจะใช้การเยี่ยมเยือนครั้งนี้เพื่อยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง มิได้ใส่ใจความเป็ความตายของไพร่ฟ้าเลยสักนิด ข้าจึงอดปลงสังเวชไม่ได้เท่านั้น"
"สันดานคนโลภ เ้าจำเป็ต้องเก็บมากังวลด้วยหรือ?" หนานสวินกล่าวเรียบๆ
จวินหวงเอาแต่หัวเราะ ไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่รู้สึกว่าภายในใจของนางก็เหมือนกับอาณาบริเวณที่อยู่ภายนอก เวิ้งว้างเหน็บหนาวไม่มีที่สิ้นสุด
อาจเป็เพราะเทพยดาฟ้าดินซาบซึ้งในการกระทำของพวกจวินหวง ท้องฟ้าที่แห้งแล้งยาวนานหลายเดือนก็เกิดฝนตกซู่ลงมาอย่างหนักในยามพลบค่ำ ฝนกระหน่ำเทลงบนดินเหลืองแห้งผาก น้ำที่ขังเป็แอ่งตื้นขุ่นคลั่ก ประชาชนที่ไม่ได้เห็นน้ำฝนมานานแล้วเ่าั้ต่างพากันออกมายืนกลางสายฝน ะโโห่ร้องด้วยความยินดี
จวินหวงและฉีเฉินยืนอยู่ใต้ชายคา มองไปไกลๆ เสียงฝนจ้อกแจ้กดังลั่น พวกเขาจึงต้องตะเบ็งเสียงคุยกันไปโดยปริยาย
"น้องเฟิงคิดว่าต่อจากนี้ควรจะทำอย่างไร?"
"จู่ๆ ฝนฟ้าก็ตกลงมา ปวงประชาต่างยินดี หวางเหย่จะต้องจัดหาที่พักให้ประชาชนเป็อันดับแรก ข้าน้อยคิดว่าเวลานี้ควรจะสร้างสถานที่พักพิงให้กับประชาชน" จวินหวงกล่าวอย่างจริงจัง
ฉีเฉินก้มหน้าครุ่นคิด ฝนสาดจนเลอะอาภรณ์แพรต่วนตัวยาวของเขา สถานที่แบบนี้เขาทนอยู่ต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงอนุมัติข้อเสนอของจวินหวง แล้วให้นางมีอำนาจเต็มในการจัดการเื่นี้
ฝนตกหนักต่อเนื่องเกือบครึ่งเดือน แม่น้ำที่เคยแห้งเหือดก็กลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง ในตอนแรกจวินหวงเข้าใจว่าการที่ฝนตกจะทำให้การก่อสร้างบ้านเรือนล่าช้า แต่ใครจะรู้ พอประชาชนได้ยินว่าราชสำนักจะสร้างบ้านให้กับพวกเขา ก็เกิดความกระตือรือร้นอย่างท้วมท้น บุรุษวัยฉกรรจ์เริ่มวิ่งมาที่โรงเตี๊ยมแสดงเจตจำนง้าร่วมมือกับทางการก่อสร้างบ้านเรือน
แผนเดิมต้องใช้เวลาในการก่อสร้างหนึ่งเดือนจึงลดลงมาเหลือเพียงครึ่งเดือนก็เสร็จสมบูรณ์ วันที่ฝนหยุดการก่อสร้างบ้านเรือนก็เสร็จสิ้น ถึงเวลาที่คณะเดินทางของฉีเฉินควรจะกลับสู่เมืองหลวง
เหล่าประชาชนต่างมาส่งพวกเขาเดินทางนับสิบลี้ เสียงโห่ร้องเทิดทูนสรรเสริญอย่างเคารพรักจากประชาชนทำให้ฉีเฉินพึงพอใจอย่างยิ่ง จนลืมเื่ที่ตนเองเคยยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยพิบัติไปเสียสิ้น แม้ว่าในใจจะรู้สึกแย่อยู่บ้าง แต่เงินที่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าของตนเองเ่าั้ก็ไม่มีอีกแล้ว จะไม่รู้สึกเสียดายย่อมเป็ไปไม่ได้
เขาไม่ได้นึกสงสัยในตัวของหนานสวิน เพียงแค่คิดง่ายๆ ตื้นๆ ว่าตราบใดที่หนานสวินยังไม่รู้เื่ที่ตนเองยักยอกเงิน ฮ่องเต้ก็จะไม่พบปัญหานี้ คิดได้เช่นนี้ ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
ระหว่างการเดินทางกลับฉีเฉินอารมณ์ไม่ค่อยดี แตกต่างจากก่อนหน้าที่เดินทางมาราวฟ้ากับดิน เขาหมกตัวอยู่แต่ในรถม้าทั้งวัน แต่หนานสวินกับจวินหวงขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุด
"ในที่สุดเื่นี้ก็ผ่านไปแล้ว" จวินหวงกล่าวพลางทอดถอนใจ
หนานสวินพยักหน้า "ใช่แล้ว ตอนนี้ปวงประชาต่างก็กลับมาใช้ชีวิตเป็ปกติอย่างในอดีต หลังจากผ่านเหตุการณ์เื่นี้ พวกเขาจะต้องมีความเชื่อมั่นต่อราชสำนักเพิ่มมากขึ้นแน่นอน"
จวินหวงหันกลับไปมองรถม้าของฉีเฉิน แล้วเบะปาก "เพียงแต่... ไม่ทราบว่าหวางเหย่วางแผนจะกราบทูลฝ่าาเื่ที่องค์ชายรองแอบยักยอกเงินอุดหนุนผู้ประสบภัยพิบัติอย่างไร?"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนานสวินก็เริ่มไตร่ตรองปัญหานี้อย่างจริงจัง วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า "เื่นี้เป็เื่ใหญ่และมีความสำคัญ ควรจะค่อยๆ พิจารณาปรึกษาหารือกันในระยะยาว"
ไม่นานนัก พวกเขาก็กลับมาถึงเมืองหลวง การเดินทางของฉีเฉินในครั้งนี้ช่วยแก้ไขปัญหาที่เป็ดั่งไฟลามพระขนงของฮ่องเต้อยู่ นอกจากนี้เขายังแก้ปัญหาเื่นี้ได้เป็อย่างดี ฮ่องเต้ทรงปีติยินดีเป็อย่างยิ่ง รอยพระสรวลยิ่งปรากฏชัดบนพระพักตร์ ทรงออกจากเมืองมาต้อนรับฉีเฉินั้แ่เช้าตรู่
ฉีเฉินเข้าใจความหมายในคำพูดที่จวินหวงพูดกับเขาอย่างลึกซึ้งแล้ว ดังนั้นแม้ว่าที่ชายแดนเขาสองคนจะเคยมีเื่หมางใจกันมาอย่างไร ครั้งนี้เขาก็ไม่อาจวางเขื่องอวดเบ่งได้ ครั้นแล้วจึงะโเรียกจวินหวงซึ่งเดินทางฝ่าลมฝุ่นคลุ้งมาตลอดทางเข้าไปในรถม้า
ก่อนที่จวินหวงจะเข้าไปหาเขา ขณะนั้นพวกเขาได้มาถึงสถานที่ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่กี่สิบลี้ ทิวทัศน์งดงามูเาเขียวขจี สายน้ำใสสะอาดบรรยากาศเงียบสงบ นางพลิกกายลงจากหลังอาชาแล้วเดินไปที่รถม้า เมื่อเข้าไปด้านในก็เห็นฉีเฉินนั่งอยู่ที่นั่น ในมือยังถือถ้วยชาอยู่ น้ำชาในถ้วยกระเพื่อมไปการควบขับของรถม้า ดูราวกับสายน้ำแห่งฤดูใบไม้ผลิ
"ไม่ทราบว่าหวางเหย่เรียกหาข้าด้วยเื่อันใด?" จวินหวงถามขึ้น พลางมองไปที่ฉีเฉิน
ฉีเฉินยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะเตี้ย รถม้าโคลงเคลงจนน้ำชาหกรดลงมาใส่ แต่ฉีเฉินหาได้ใส่ใจแม้เพียงเศษเสี้ยว เชื้อเชิญจวินหวงให้นั่งลงพูดคุยกัน จวินหวงก็มิได้แสดงท่าทางเกรงใจ เดินตรงเข้าไปนั่งตรงข้ามกับฉีเฉิน รอเขาพูดแสดงเจตนาที่แท้จริงออกมา
"น้องเฟิงก็รู้น้ำหนักความสำคัญของข้าในพระทัยของเสด็จพ่อดี น้องเฟิงกับหนานสวินมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ข้าจึงอยากจะให้น้องเฟิงไปเจรจากับเขา ให้เขาอย่านำความที่มีโจรบุกเข้าไปที่จวนนายอำเภอทูลให้เสด็จพ่อทรงทราบ ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ! " พูดจบฉีเฉินยังประสานมือคำนับจวินหวงด้วยสีหน้าจริงจัง
จวินหวงหัวเราะเ็าอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับมิได้แสดงอะไรออกมา เพียงแค่พยักหน้ารับ "เื่นี้มอบให้ข้าจัดการเถอะ แม้ว่าข้ากับเขาจะมิใคร่ได้คบค้าสมาคมกันเท่าไร แต่อย่างไรก็ยินดีจะลองดูเพื่อหวางเหย่"
นางพูดอย่างใจกว้าง แต่กลับขีดแบ่งเส้นความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหนานสวินอยู่เงียบๆ เวลานี้จะให้ฉีเฉินระแวงการไปมาหาสู่ระหว่างตนเองกับหนานสวินไม่ได้
เมื่อฉีเฉินได้รับคำตอบตกลงของจวินหวงเป็ที่แน่นอนแล้วก็รู้สึกโล่งใจ จวินหวงก็ไม่อยากเล่นละครเสแสร้งกับฉีเฉินอีก จึงลุกขึ้นกล่าวอำลาตั้งใจจะถอยออกมา ขณะที่กำลังจะลงจากรถกลับหยุดชะงัก แล้วหันกลับมาพูดว่า "มิทราบว่าจะขอสุราจากหวางเหย่สักไหจะได้หรือไม่?"
ฉีเฉินนิ่งอึ้ง รีบกระวีกระวาดหยิบสุราส่งให้จวินหวงทันที จวินหวงรับไหสุราหยกขาวมาแล้วก็ถอยออกไปอย่างพึงพอใจ พอลงจากรถเห็นหนานสวินนั่งอยู่บนหลังอาชาสีขาวมองมาที่ตนเองอยู่ไกลๆ ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นยิ้ม ยกไหสุราชูขึ้น หนานสวินหยุดม้าเพื่อรอนาง
ขณะที่ใกล้จะถึงเมืองหลวง หนานสวินและจวินหวงรั้งอยู่ท้ายสุดของขบวน ทั้งสองจึงถือโอกาสลงจากม้าไปเสียเลย เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านต้นหนึ่ง จวินหวงและหนานสวินก็นั่งลงกับพื้น ไม่รู้ว่าจวินหวงไปหาแก้วหยกขาวมาจากที่ไหน หลังจากรินสุราก็ส่งให้หนานสวินจอกหนึ่ง
"เมื่อครู่ฉีเฉินเรียกหาเ้าด้วยธุระอันใด?" หนานสวินถามขึ้นขณะที่รับจอกสุรามา
"เขาให้ข้ามาขอร้องท่านอย่าบอกฝ่าาเื่จวนนายอำเภอถูกโจรปล้น" จวินหวงไม่ปิดบัง เล่าเื่ทั้งหมดให้หนานสวินฟัง
หนานสวินได้ฟังก็ตะลึงไปเล็กน้อย เพียงชั่วพริบตาก็หัวเราะแล้วส่ายหน้าไปมา ดื่มสุราเข้าไปหนึ่งคำ แล้วจึงค่อยๆ เอ่ยปาก "เดิมทีก็ไม่ได้ตั้งใจจะทูลบอกฝ่าาอยู่แล้ว เื่นี้ไม่จำเป็ต้องให้ฝ่าาทรงรับทราบ"
จวินหวงแสดงความเห็นพ้อง "ก็ใช่ โจรปล้นเดิมทีก็คือท่าน แล้วท่านจะทูลฝ่าาอย่างไร มิสู้ปล่อยให้เื่นี้ผ่านไป ถือเป็การแสดงน้ำใจให้ข้าสักครั้ง" นางหัวเราะอย่างเอาแต่ใจ ชูจอกสุราขึ้น ดวงตาประดุจดวงดาวมองไปที่หนานสวิน แล้วก้มศีรษะดื่มสุราจนหมดจอก
เวลาชั่วร่ำสุราหนึ่งไหผ่านไป หนานสวินก็ลุกขึ้นยืน หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก็ตัดสินใจบอกเื่ราวบางอย่างแก่จวินหวง "ข้าไม่เคยปรึกษาเื่นี้กับเ้ามาก่อน แต่ก่อนหน้านี้สักพักหนึ่งข้าส่งคนกลับไปที่เมืองหลวง ให้พวกเขาปล่อยข่าวเื่ฉีเฉินยักยอกเงินผู้ประสบภัยพิบัติ เกรงว่านอกจากฝ่าา คนในราชสำนักที่ติดตามฉีเฉินต่างรู้เื่กันหมดแล้ว"
จวินหวงคิ้วขมวดขณะที่มองไปที่หนานสวิน พึมพำเบาๆ อยู่ชั่วครู่แล้วก็พยักหน้า "ไม่มีปัญหา เดิมก็ควรจะเป็เช่นนี้อยู่แล้ว ถึงเวลาที่จะขุดคุ้ยปราการที่อยู่เื้ัฉีเฉินแล้ว" พูดจบนางก็ยิ้มเ้าเล่ห์ หนานสวินนิ่งอึ้งเล็กน้อย ใน่เวลานั้นเขาอยากเห็นจวินหวงแต่งกายเป็สตรียิ่งนัก แต่ก็เพียงแค่คิดเท่านั้น
ทั้งสองคนไม่ได้สนทนากันอีก หลังจากยืนอยู่ครู่หนึ่งก็ขึ้นม้าติดตามกลุ่มหลักไป เข้าเมืองหลวงแล้ว โอกาสที่พวกเขาจะได้พบกันก็น้อยลง หนานสวินอดไม่ได้ที่จะมองนางอยู่บ่อยๆ แต่จวินหวงไม่รู้ตัว
การกลับมาของฉีเฉินทำให้ฮ่องเต้ทรงดีพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์พาขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งมารอรับการกลับมาของฉีเฉินและคณะอยู่นอกประตูวังหลวง ทันทีที่ก้าวเข้าสู่เมืองหลวง ฉีเฉินก็เปลี่ยนไปขี่อาชาสีขาว ให้คนนำรถม้าลากกลับไปที่จวนเฉินอ๋อง
ฉีเฉินพลิกกายลงจากหลังม้า คุกเข่าถวายบังคมด้วยท่าทางนอบน้อม "ถวายบังคมเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี"
"เ้ารีบลุกขึ้นเร็วเข้า เดินทางมาลำบากแล้ว" ฮ่องเต้ฉลองพระองค์ชุดัสีเหลือง เสด็จเข้ามาประคองฉีเฉินให้ยืนขึ้น หลังจากนั้นก็ทรงทอดพระเนตรคนที่อยู่ด้านหลังฉีเฉิน
เนื่องจากจวินหวงเป็แขกของจวนเฉินอ๋อง แม้ว่าจะเป็ผู้วางแผนกลยุทธ์ แต่ไม่เหมาะจะมาปรากฏตัวในวาระโอกาสแบบนี้ ดังนั้นหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้วก็กลับจวนเฉินอ๋องทันที แต่หนานสวินเป็ผู้ที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งไปปฏิบัติภารกิจ จึงจำเป็ต้องอยู่ที่นี่
หลังจากสนทนาทักทายกันแล้ว กลุ่มคนนั้นก็เดินเข้าไปในวังหลวง หนานสวินเดินตามอยู่หลังสุดด้วยสีหน้าเฉยเมย คอยฟังที่ขุนนางใหญ่เ่าั้คุยกัน
"ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าองค์ชายรองจะเป็คนเลวร้ายเยี่ยงนี้ เสียแรงที่พวกเราปกป้องเขา เขากล้าทำเื่ชั่วช้าเช่นนี้ออกมา ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังจริงๆ"
"ก็นั่นน่ะสิ ฮ่องเต้ควรเป็คนที่เห็นแก่ประชาชนเป็สำคัญ ไม่ใช่คนที่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน เอาแต่หลงระเริงไม่ใส่ใจในความเป็ความตายของประชาชน"
"เห็นทีพวกเราควรจะมองหาราชันย์ผู้ปรีชาสามารถพระองค์อื่นถึงจะเหมาะสม"
ขุนนางใหญ่ที่อยู่ข้างหน้ามิได้สังเกตหนานสวินที่อยู่ด้านหลัง หนานสวินยิ้มออกมา ยังคงเดินตามอยู่เงียบๆ ราวกับซ่อนงำรัศมีอำนาจรอบกายเอาไว้ เพียงแต่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดี ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนที่ตนเองคิดไว้