ซูิเยว่ยิ้มแล้วยืนขึ้น “เหนียงเหนียง หม่อมฉันได้ทราบเื่ที่อยากรู้แล้ว เช่นนั้นขอทูลลากลับก่อนนะเพคะ”
“แต่ว่าแผลบนมือของเ้า....” เวินเยว่มองแผลบนมืออย่างเป็ห่วง ตรงจุดที่ถูกน้ำร้อนลวกมีตุ่มน้ำขึ้นเป็แถบ ดูแล้วน่ากลัวมาก “รออีกเดี๋ยวเถิด ข้าจะให้คนไปเอายาทามาให้”
“ไม่ต้องหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่เป็อะไร” ซูิเยว่ส่ายหน้า มองแผลน้ำร้อนลวกบนมือของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ “องค์ชายยังรอหม่อมฉันอยู่ด้านนอก เช่นนั้นขอทูลลาก่อนเพคะ”
ใบหน้าของเวินเยว่อ่อนลง นางถอนหายใจก่อนจะพูดอย่างยินดี “เช่นนั้นก็ได้ เปิ่นกงก็ไม่ฝืนรั้งเ้าเอาไว้แล้ว ได้ยินมาว่าฮ่องเต้ประทานงานแต่งงานให้เ้าแล้ว ต่อไปจะต้องดีมากแน่ ว่างๆ ก็เข้าวังมานั่งเล่นกับข้าได้นะ”
“เพคะ จะมาแน่นอน” ซูิเยว่รับคำ ทว่านางยังไม่ได้บอกเื่ที่ฮ่องเต้จู่ๆ ก็ประทานงานแต่งงานให้พวกนางนั้นมีแผนซ่อนอยู่เื้ั “เช่นนั้นหม่อมฉันกลับก่อนนะเพคะ”
“ไปเถิด” เวินเยว่ส่งนางถึงหน้าประตู
จังหวะนั้นก็ได้เจอกับนางกำนัลที่ไปเอายากลับมาพอดี “เหนียงเหนียง.....”
“ช่างเถิด” สายตาอ่อนโยนของเวินเยว่จ้องแผ่นหลังที่จากไปของซูิเยว่
ซูิเยว่รู้สึกว่าตัวเองเข้าวังมาได้ไม่นานมาก ตอนที่ออกมาถึงได้พบว่าพระอาทิตย์ขึ้นอยู่เหนือหัวพอดี
นางพูดคุยกับเวินเยว่จนลืมเวลาโดยไม่รู้ตัว จี๋โม่หานคงจะรอนานแล้ว พอคิดเช่นนี้นางก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม
จี๋โม่หานรออยู่ที่หน้าประตูวังอยู่ตลอด เขารออยู่ได้สองชั่วยาม ซูิเยว่ถึงออกมา
ซูิเยว่เปิดผ้าม่านออกแล้วขึ้นรถ จี๋โม่หานรู้สึกเหมือนมีลมผ่านมาวูบหนึ่ง สีหน้าก็อ่อนโยนขึ้น ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ซูิเยว่ก็เบียดเข้ามาในอ้อมกอดของเขาแล้วกอดที่เอว
จี๋โม่หานชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นมากอดแม่หนูของตัวเอง แล้วถามเสียงอ่อนโยน “เป็อะไรไป?”
ซูิเยว่ก้มหน้าอยู่ในอ้อมกอดของจี๋โม่หาน มือที่กอดเอวของเขาแน่นขึ้นมาหลายส่วน นางส่ายหน้าแล้วพูดเสียงอู้อี้ “หม่อมฉันไม่เป็อะไร ขอกอดสักเดี๋ยวได้หรือไม่”
“ได้สิ”
จี๋โม่หานรู้สึกได้ว่าซูิเยว่อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ถามมาก ทั้งสองกอดกันเงียบๆ อยู่อย่างนั้น
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างของคนในอ้อมกอดก็สั่นน้อยๆ พร้อมเสียงสะอื้นดังออกมาเล็กน้อย
จี๋โม่หานรู้สึกได้ว่าที่เสื้อของตัวเองเริ่มชื้น ในใจก็เ็ปขึ้นมาทันที
เขาก้มหน้าลงจูบที่กระหม่อมของนางอย่างอ่อนโยน แล้วพูดปลอบเสียงเบา “ไม่เป็ไรนะแม่หนู ไม่เป็ไร เ้ายังมีข้าอยู่นะ”
นอกจากเสียงสะอื้นแล้ว ซูิเยว่ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา จี๋โม่หานทำได้แค่กอดนางเอาไว้ เหมือนกำลังปลอบเด็กแล้วตบที่หลังของนางเบาๆ “หากทรมานก็ร้องไห้ออกมาเถิด”
ซูิเยว่ไม่ได้ส่งเสียง ทำเพียงแค่ซุกในอ้อมกอดของเขาหลายนาที
รถม้าวิ่งมาได้ไกลพอประมาณ ซูิเยว่ถึงได้สูดจมูกแล้วลุกขึ้นจากอ้อมแขนของจี๋โม่หาน ขอบตาแดงก่ำ แต่สีหน้ากลับไปเป็ปกติแล้ว
นางนั่งลงข้างจี๋โม่หาน แล้วก้มหน้าลงไม่ปริปากอะไร จี๋โม่หานเองก็ไม่ได้ถามอะไร
ในรถม้าปกคลุมด้วยความเงียบ หลังจากผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ซูิเยว่ก็เริ่มพูดเสียงเบาออกมา “ซูโม่สกุลซูที่อยู่ในจวนสกุลซูตอนนี้ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของหม่อมฉัน”
จี๋โม่หานชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็ปกติ เขาเอามือเล็กของซูิเยว่มาวางไว้บนฝ่ามือ “ไม่เป็ไรนะ เ้ายังมีข้าอยู่”
เขาเข้าใจว่ามันหมายความอย่างไรสำหรับซูิเยว่ ถึงแม้นางจะไม่ได้รับความรักจากซูโม่มาก่อน แต่อย่างน้อยก็ยังมีความปรารถนาอยู่ ทว่าในตอนนี้กลับไม่มีอีกแล้ว
น้ำเสียงของซูิเยว่เศร้าสร้อย แล้วพูดต่อ “ฮองเฮาบอกว่า พ่อแม่แท้ๆ ของหม่อมฉันถูกฮ่องเต้ลอบฆ่าอย่างลับๆ หลังจากที่หม่อมฉันเกิดได้ไม่นาน ซูโม่ในตอนนี้ก็คือคนของฮ่องเต้ที่ปลอมตัวมา”
นางพูดแล้วหัวเราะเสียงเบา ในเสียงหัวเราะนั้นได้รวมความรู้สึกเอาไว้เยอะมาก “ความจริงแล้วหม่อมฉันไม่ได้ทุกข์ใจ เพราะไม่เคยเจอพวกเขามาก่อน นอกจากสายเืในตัวแล้ว หม่อมฉันกับพวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกันเลยสักนิด คำว่าพ่อแม่สำหรับหม่อมฉันแล้วยังไม่เคยได้เรียกเลยสักคำ หลายปีมานี้ท่าทีของซูโม่เองหม่อมฉันก็คิดได้มานานแล้ว แต่หม่อมฉันแค่....แค่.. จู่ๆ ก็รู้สึกว่างเปล่าในใจ”
นางมีชีวิตอยู่มาหลายปี จู่ๆ วันหนึ่งก็ได้รู้ความจริงว่าตัวเองเป็เด็กกำพร้า ใช้ชีวิตอยู่กับศัตรูมานานหลายปี ทั้งยังเรียกศัตรูว่าพ่ออีก
“ข้ารู้ ข้ารู้” จี๋โม่หานโอบนางเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง “ข้ารู้แล้ว ไม่เป็ไรนะแม่หนู ไม่เป็ไร เ้ายังมีข้า ต่อไปข้าก็คือครอบครัวของเ้า”
ดวงตาของซูิเยว่เบิกกว้าง น้ำตาเอ่อคลอขอบตา แต่นางก็ฝืนตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา “นี่คือความจริงที่หม่อมฉันอยากรู้มาตลอด หม่อมฉันคิดว่าถ้ารู้ความจริงแล้วจะต้องใมากแน่นอน”
นางพูดไปก็สูดหายใจเข้าก่อนจะกลั้วหัวเราะ “หม่อมฉันควรจะคิดได้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่ควรจะคิดให้ได้ก่อนหน้านี้แท้ๆ”
จี๋โม่หานตบบ่าของนาง “ไม่เป็ไรนะแม่หนู ไม่เป็ไร ความแค้นระหว่างพวกเรากับฮ่องเต้จะช้าหรือเร็วก็ต้องมีทางจบแน่นอน”
ระหว่างทางซูิเยว่ก็พิงอยู่ในอ้อมกอดของจี๋โม่หานแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
กระทั่งกลับมาถึงจวนหวัง ซูิเยว่ถึงได้สงบอารมณ์ให้กลับมามั่นคง แล้วนางก็กลับมาเป็ปกติอีกครั้ง เหมือนกับว่าไม่เคยมีเื่อะไรเกิดขึ้น
จี๋โม่หานจูงมือนางลงจากรถม้า ซูิเยว่ยิ้มแย้มพูดคุยว่าตอนกลางวันอยากจะทานอะไรเหมือนกับคนที่ไม่ได้เป็อะไร
ยิ่งนางเป็เช่นนี้ จี๋โม่หานกลับยิ่งปวดใจ
หางตาของจิ่งฉือเห็นมือซ้ายใต้แขนเสื้อของซูิเยว่แดงเป็แถบ เขาจึงร้องเรียกด้วยความใ “มือของท่านเป็อะไรไป?”
ถึงว่าตอนที่เขาจับมือเมื่อครู่ ซูิเยว่ถึงได้เอามือซ้ายซ่อนเอาไว้ แล้วส่งมือขวาให้เขาแทน
ทั้งหลังมือซ้ายและนิ้วมือของซูิเยว่ตอนนี้แดงแจ๋ มีตุ่มน้ำขึ้นมาเต็มไปหมด ดูแล้วน่าใ แค่คิดก็เจ็บแล้ว
แต่นางก็เหมือนจะไม่เป็อะไร ทั้งยังหัวเราะออกมาได้ เมื่อครู่ก็ยังกอดจี๋โม่หานอยู่เลย ทั้งที่จุดที่ถูกลวกจนเป็ตุ่มพุพองนั้นถูกผ้าเสียดสี ท่าทางคงจะเจ็บมากน่าดู
“แผลแค่นี้เอง ตอนที่อยู่ในวังฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ทันระวังเลยถูกน้ำร้อนลวกเข้าน่ะ”
จี๋โม่หานจะเชื่อว่าเป็แผลเล็กจริงๆ ได้อย่างไร เขาจับมือของนางขึ้นมาแตะเบาๆ มือของซูิเยว่ก็สั่นน้อยๆ ในใจของจี๋โม่หานก็ยิ่งเ็ปมากขึ้น “เจ็บมากใช่หรือไม่?”
ซูิเยว่ไม่ได้ส่งเสียงออกมา เพราะความเ็ปบนมือเมื่อเทียบกับความจริงที่นางรู้เมื่อครู่แล้วแทบไม่มีค่าพอให้พูดถึง
จิ่งฉือที่อยู่ด้านข้างอดที่จะเอ่ยปากขึ้นมาไม่ได้ “มันแผลเล็กที่ไหนกันขอรับ ทั้งมือเจ็บไปหมดแล้วนะขอรับ พระชายานี่อดทนเก่งจริงๆ”
ที่อดทนมาได้ตลอดทางโดยไม่ส่งเสียงอะไร
จี๋โม่หานจูงมือของซูิเยว่เข้าจวนไป จากนั้นก็ออกคำสั่งเสียงดุ “หลิงชวน รีบไปเอายาที่ซูเฉิน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จี๋โม่หานจูงมือซูิเยว่มานั่งเก้าอี้ที่โถงหน้า เพียงครู่เดียวหลิงชวนก็เอายาทาแผลน้ำร้อนลวกมาให้
เดิมจี๋โม่หานอยากจะทายาให้นางเอง แต่ติดที่ว่าเขามองไม่เห็น จึงทำได้แค่ให้ิจิ่วลงมือแทน