เมื่อรถไฟเทียบชานชาลาสถานีปักกิ่ง กลุ่มของหมี่หลันหยางก้าวลงจากรถไฟก็ต้องตะลึงงันกับความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวง แม้สถานีปักกิ่งในยุคนี้จะเป็เพียงอาคารสองชั้นสีเหลือง แต่ก็มีขนาดใหญ่โตเกินกว่าที่หมี่หลันเยว่จะมองเห็นความงามใดๆ
แต่ในสายตาของหมี่หลันหยางและคนอื่นๆ สถานีรถไฟซวงเฉิงบ้านเกิดของพวกเขาเป็เพียงกระท่อมหลังเล็กๆ ไม่สามารถเทียบกับสถาปัตยกรรมขนาดมหึมาตรงหน้าได้เลย สมกับที่เป็เมืองหลวงของประเทศ โอ่อ่าอลังการจริงๆ
เจิ้งซวี่เหยากลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก เหตุผลหนึ่งคือเขาเห็นมาจนชินตา อีกเหตุผลหนึ่งคือเขาเคยเห็นสถานีรถไฟที่ยิ่งใหญ่กว่านี้มาแล้ว นั่นคือเหตุผลที่เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะกลับมายังบ้านเกิด เมื่อประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้น สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ก็จะพัฒนาตามไปด้วย
"มาทางนี้สิ"
เมื่อออกมาจากสถานีไม่ไกลนัก เจิ้งซวี่เหยาก็โบกมือเรียกให้ทุกคนตามเขาไป หมี่หลันหยางจับมือของน้องสาวไว้แน่น กลัวว่าเธอจะพลัดหลง
หมี่หลันเยว่ก็ปล่อยให้พี่ชายกุมมือ เธอรู้ว่าถ้าไม่ให้เขาจับ เขาจะกังวลใจ และการจับมือกับพี่ชายก็ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นใจ ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีครอบครัวอยู่เคียงข้าง เธอเข้าใจดีถึงความตื่นเต้นของการมาอยู่ในสถานที่แปลกหน้า
แต่เมื่อหมี่หลันเยว่เห็นเจิ้งซวี่เหยายืนอยู่หน้ารถจี๊ปคันใหญ่ ก็อดที่จะชะงักไม่ได้ ในยุคนี้คนที่สามารถขับรถจี๊ปได้ มักจะมีเื้ัที่ไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่เื่ฐานะทางการเงิน แต่ยังอาจมีอิทธิพลในด้านอำนาจอีกด้วย
"มาเถอะ เด็กน้อยทั้งหลาย ขึ้นรถกัน"
หมี่หลันเยว่และเพื่อนๆ ไม่มีสัมภาระอะไรมากนัก นอกจากเสื้อผ้าติดตัวไม่กี่ชุด ไม่อย่างนั้นคงจะนั่งกันไม่พอ เจิ้งซวี่เหยาก็ประหลาดใจเช่นกันเมื่อเห็นสัมภาระของพวกเขา
คนที่เดินทางไกลมาเรียนหนังสือ มักจะแบกสัมภาระมาพะรุงพะรัง ผ้าปูที่นอนก็หอบหิ้วมาจากบ้าน การเดินทางมาตัวเบาแบบพวกเขานั้นหายาก แต่หมี่หลันเยว่พูดถูก การแบกของจากบ้านมาไกลขนาดนั้น ไม่สู้เดินทางถึงที่หมายอย่างสบายๆ ส่วนสัมภาระอะไรที่จำเป็ค่อยมาซื้อเอาข้างหน้าจะคุ้มค่ากว่า
ทฤษฎีนี้ช่างล้ำสมัย เพราะคนในยุคนี้มักจะประหยัดเงินทุกบาททุกสตางค์ ใครจะกล้ามาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายที่ปักกิ่ง มีแต่เด็กสาวคนนี้เท่านั้นที่กล้าพูดจาโอ้อวดแบบนี้ แต่เจิ้งซวี่เหยารู้ว่าเธอทำได้จริง
"ว้าว อาจารย์เจิ้ง ที่บ้านอาจารย์มีรถด้วย แถมยังเป็รถแบบนี้อีก"
เฉียนหย่งจิ้นลูบคลำตัวรถด้วยความชื่นชอบ หมี่หลันเยว่ส่ายหน้า ผู้ชายก็เป็แบบนี้ แตกต่างจากผู้หญิงโดยสิ้นเชิง พวกเขาเกิดมาก็สนใจเื่รถ
"รีบขึ้นรถเร็วเข้า ทุกคนรออยู่ ถ้าอยากดูรถกลับไปดูที่บ้าน"
เจิ้งซวี่เหยาผลักเฉียนหย่งจิ้นเข้าไปในรถ รถคันนี้ค่อนข้างกว้างขวาง แต่การที่ห้าคนเบียดกันอยู่เบาะหลังก็ถือว่าแน่นทีเดียว หมี่หลันเยว่นั่งบนตักของพี่ชาย ส่วนหลินเผิงเฟยนั่งบนตักของเฉียนหย่งจิ้นและหนิวเถียจู้
โชคดีที่การจัดการจราจรในยุคนี้ยังไม่เข้มงวดนัก ไม่อย่างนั้นสภาพแบบนี้จะต้องถูกปรับอย่างแน่นอน
"ดีที่พวกเธอมีสัมภาระน้อย สัมภาระของฉันคนเดียวก็มากกว่าพวกเธอห้าคนรวมกันซะอีก"
เมื่อเห็นว่าทุกคนนั่งกันเรียบร้อยแล้ว เจิ้งซวี่เหยาก็บอกให้คนขับรถออกเดินทาง พลางพูดคุยกับทุกคนอย่างเป็กันเอง
"อาจารย์เจิ้ง อาจารย์มาจากต่างประเทศ จะเอาอะไรมาเทียบกับพวกเราได้ ยิ่งกว่านั้น อาจารย์กลับบ้าน แต่พวกเรามาเรียนหนังสือ ตอนที่พวกเรากลับบ้าน สัมภาระอาจจะเยอะกว่าอาจารย์ซะอีก"
แน่นอนว่าความรู้สึกของการจากบ้านกับการกลับบ้านนั้นแตกต่างกัน
"อาจารย์เจิ้ง บ้านอาจารย์อยู่ไกลไหมครับ"
เฉียนหย่งจิ้นเป็คนช่างพูด ถ้าให้เขาอยู่นิ่งๆ เขาคงอึดอัด แต่โชคดีที่เวลาเขาเจอหน้าลูกค้า เขาจะไม่เป็แบบนี้เลย ไม่มีคำพูดไร้สาระ มีแต่คำพูดที่เฉียบคมเท่านั้น ไม่อย่างนั้นหมี่หลันเยว่คงปวดหัว
"ไม่ไกลหรอก อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว"
เจิ้งซวี่เหยาไม่ได้รังเกียจที่จะคุยกับเฉียนหย่งจิ้น เขาเป็คนอ่อนโยนมาก ดูเหมือนว่าเขาจะคุยกับใครก็ได้ และสามารถได้รับการยอมรับจากผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็ข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ หมี่หลันเยว่สังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
หลายสิ่งหลายอย่างที่เธอต้องเรียนรู้และนำไปปรับใช้ ถึงเธอจะเคยมีชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในชีวิตนั้นเธอก็อ่อนแอเกินไป ตอนนี้เมื่อมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผู้แข็งแกร่ง เธอจึงเหมือนปลาที่ะโลงสู่ทะเลใหญ่ กระหายที่จะดูดซับพลังงานและสารอาหารจากท้องทะเล
"ดูสิ ร้านค้าที่นี่เยอะมาก ทั้งถนนแทบจะเป็ห้างสรรพสินค้าเลย หลันเยว่ พวกเราจะต้องเปิดร้านที่นี่ให้ได้ จะต้องเปิดร้านที่นี่ให้ได้นะ"
เมื่อเห็นความเจริญรุ่งเรืองบนท้องถนน เฉียนหย่งจิ้นก็เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีส่วนร่วมในที่แห่งนี้ ความรู้สึกนั้นรุนแรงจนตัวเขาสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
หมี่หลันเยว่ตบไหล่เขาเบาๆ เป็เชิงปลอบโยน
"ได้สิคะ พี่หย่งจิ้น พวกเราจะต้องเปิดร้านที่นี่ให้ได้ และจะต้องเปิดที่อื่นๆ อีกด้วย แต่พวกเราต้องไม่ใจร้อน เื่ที่ต้องเตรียมมีเยอะมาก"
แน่นอนว่ามีเยอะมากจริงๆ ทั้งต้องหาที่ตั้งโรงงานที่ดี ต้องหาโรงงานผลิตป้ายเล็กๆ ต้องหาแหล่งซื้อผ้าและวัสดุอื่นๆ ต้องหาช่างฝีมือทำเสื้อผ้า ต้องซื้ออุปกรณ์เย็บผ้าที่เหมาะสม เมื่อคำนวณคร่าวๆ ก็พบว่ายุ่งยากมาก ยังไม่นับรวมถึงโกดังสินค้าที่ต้องเช่าในภายหลังอีกด้วย
"ถ้าไม่รู้ว่าพวกนายสี่คนอายุมากกว่าหลันเยว่ ฉันคงคิดว่าหลันเยว่เป็พี่สาวซะอีก มีแต่หลันหยางเท่านั้นที่ดูเหมือนพี่ชายหน่อย พวกนายพึ่งพาเธอมากเกินไป แบบนี้ไม่ดีนะ ที่นี่คือปักกิ่ง เป็เมืองใหญ่ โอกาสและความเสี่ยงมีอยู่คู่กัน พวกนายไม่ควรให้เธอออกหน้าปกป้องพวกนายอยู่เสมอ"
เจิ้งซวี่เหยาพูดแบบนี้โดยไม่ได้มีเจตนาอะไรเป็พิเศษ ในความคิดของเขา ผู้ชายควรดูแลผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า แต่สถานการณ์ของหมี่หลันเยว่และเพื่อนๆ นั้นแตกต่างกัน ตอนที่ธุรกิจของหมี่หลันเยว่เริ่มต้น พวกเขายังเด็กเกินไป ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องทำตามคำสั่ง ตอนนี้มันกลายเป็ความเคยชินไปแล้ว
“ฉันชินกับการเป็คนวางแผนจัดการทั้งหมด พวกเขาหลายคนที่ทำงานกับฉันมาั้แ่ยังเด็กมาก ก็เลยเคยชินกับการฟังคำสั่งของฉัน เื่นี้ต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไป เพราะแต่ก่อนงานฝั่งบ้านเรายังเล็ก ฉันจัดการคนเดียวก็ยังไหว แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาเองก็ต้องได้รับโอกาสในการฝึกฝนและพัฒนาตัวเองบ้าง”
เมื่อได้ยินหมี่หลันเยว่พูดแบบนี้ เจิ้งซวี่เหยาก็ขบขัน
"พวกเขาอายุแค่นี้เอง แล้วเธออายุเท่าไหร่ล่ะ"
หมี่หลันเยว่ถึงกับพูดไม่ออก บางครั้งเธอก็มักจะลืมอายุที่แท้จริงของตัวเอง
"เอ่อ อาจารย์เจิ้ง พวกเราใกล้ถึงบ้านแล้วใช่ไหม อาจารย์บอกว่าใกล้มากไม่ใช่เหรอครับ"
เมื่อเห็นว่าน้องสาวไม่มีอะไรจะพูด หมี่หลันหยางก็รีบเปลี่ยนเื่ ถึงเขาจะคิดว่าคำพูดของอาจารย์เจิ้งนั้นถูกต้อง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงยังทำไม่ได้ ดังนั้นก็อย่าพูดถึงมันเลย ทุกคนจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด
"ถึงแล้วๆ กำลังจะถึงแล้ว"
เจิ้งซวี่เหยาก็สังเกตว่าหัวข้อที่เขาพูดถึงนั้นไม่ดีจริงๆ ดูเหมือนว่าทุกคนจะพูดอะไรไม่ออก ดูเหมือนว่าเขาจะไปแตะต้องสิ่งต้องห้ามของเด็กสาวเข้าแล้ว
ในขณะที่พูดคุยกัน รถจี๊ปก็ขับเข้าไปในบ้านสี่ประสานขนาดใหญ่ พูดตามตรง บ้านสี่ประสานแบบนี้แหละคือสิ่งที่หมี่หลันเยว่้า ประตูใหญ่ขนาดที่รถสามารถขับเข้าไปได้ ลานบ้านก็ใหญ่เหมือนจัตุรัสเล็กๆ ไม่เพียงแต่มีที่จอดรถสองคัน แต่ในลานบ้านยังมีกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่ สวยงามมาก
"เหยาเหยา กลับมาแล้วเหรอ"
เมื่อได้ยินเสียงรถดับเครื่องยนต์ หญิงวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปีก็เดินออกมาจากบ้านที่อยู่ตรงข้าม เธอเกล้าผมอย่างประณีตงดงาม ใบหน้าก็ดูหมดจดงดงาม สวมชุดอยู่บ้านที่สวยงาม
"แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว"
เจิ้งซวี่เหยารีบเดินเข้าไปสวมกอดผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่ถูกเรียกว่าเหยาเหยา หมี่หลันเยว่ก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ แม่ของอาจารย์เจิ้งช่างดูอ่อนเยาว์เหลือเกิน
"โอ้ เด็กๆ เหล่านี้คือ...?"
เมื่อเห็นกลุ่มเด็กเดินตามหลังลูกชายมา สตรีผู้งดงามก็เดินเข้ามาด้วยความยินดี จับมือของหมี่หลันเยว่ เด็กสาวคนนี้น่ารักจริงๆ ไม่ใช่ความสวยแบบฉูดฉาด แต่เป็ความสวยที่ดูดีมีเสน่ห์
"แม่ครับ พวกเขาเป็นักเรียนของผม นักศึกษาใหม่ของชิงหวาปีนี้"
เมื่อได้ยินว่าเป็นักเรียนของลูกชาย แม่เจิ้งก็ยิ่งกระตือรือร้น รีบชวนเด็กๆ เข้าบ้าน
"นั่งรถไฟมานาน คงจะเหนื่อยกันแล้วสินะ รีบเข้าไปพักผ่อนในบ้านเร็วเข้า"
หมี่หลันเยว่และเพื่อนๆ รีบขอบคุณคุณป้า แล้วก็เดินตามคุณป้าเข้าไปในบ้าน
"ล้างมือล้างหน้าก่อนนะ เดี๋ยวก็จะได้กินข้าวแล้ว"
ถึงจะทำอาหารอร่อยๆ ไว้มากมายเพื่อต้อนรับลูกชาย แต่เมื่อมีเด็กๆ มาเพิ่มอีกห้าคน ดูเหมือนว่าจะต้องเพิ่มอีกสองสามอย่าง
"แม่ครับ พวกเขาจะพักอยู่ที่บ้านเราสองสามวัน แม่ช่วยจัดห้องพักให้พวกเขาก่อน จัดที่พักให้เรียบร้อย แล้วค่อยล้างหน้าล้างตา กินข้าว"
ไม่คาดคิดว่าลูกชายจะชวนคนมาพักด้วย แต่แม่เจิ้งก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ยังคงกระตือรือร้นที่จะจัดเตรียมห้องพักให้หมี่หลันเยว่และเพื่อนๆ
"เด็กๆ ตามมาสิ ไปดูห้องกันก่อน"
แม่เจิ้งพาพวกเขาไปที่ด้านข้างของบ้านสี่ประสาน ด้านข้างนี้ก็มีห้องพักสามห้อง ดูเหมือนว่าจะเป็ที่พักสำหรับแขก
"พวกเธอไปดูกันว่าจะพักกันยังไง มีสามห้อง เด็กผู้ชายพักสองห้อง เด็กผู้หญิงพักหนึ่งห้อง พวกเธอเลือกกันเองนะ"
แม่เจิ้งมอบอำนาจในการเลือกห้องให้กับหมี่หลันเยว่และเพื่อนๆ เด็กผู้ชายก็สำนึกได้เอง พักห้องซ้ายขวาสองห้อง ปล่อยให้ห้องตรงกลางเป็ของหมี่หลันเยว่ โดยสัญชาตญาณ นี่คือการปกป้องน้องสาว
แม่เจิ้งพยักหน้า หนุ่มๆ เหล่านี้ดีมาก
"เอาล่ะ เอาสัมภาระไปเก็บ แล้วตามฉันไปล้างหน้าล้างตากันก่อนนะ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปแช่น้ำให้สบาย แล้วนอนหลับให้สบายสักงีบ จะได้หายเหนื่อย"
หมี่หลันเยว่ขอบคุณแม่เจิ้ง แล้วปล่อยให้แม่เจิ้งไปทำธุระของตัวเอง ทั้งห้าคนก็แยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเองเพื่อเก็บข้าวของ หมี่หลันหยางและหลินเผิงเฟยพักห้องเดียวกัน เฉียนหย่งจิ้นและหนิวเถียจู้พักห้องเดียวกัน หมี่หลันเยว่รีบเก็บข้าวของเสร็จ แล้วก็มาที่ห้องของพี่ชาย
"พี่คะ พี่คะเห็นไหมว่าบ้านอาจารย์เจิ้งดูใหญ่โตมากเลยนะ"
ในลานบ้านมีทหารยามสองคนยืนรักษาการณ์ ถึงจะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่โดดเด่น แต่ก็ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นบ้านสี่ประสานขนาดใหญ่ และพี่เลี้ยงที่เพิ่งยกผลไม้และรินน้ำในบ้าน แสดงให้เห็นว่าฐานะของครอบครัวเจิ้งซวี่เหยาในเมืองหลวงนั้นไม่ธรรมดา
"อืม พี่ก็สังเกตเห็นเหมือนกัน ยุคนี้คนที่สามารถใช้พี่เลี้ยงได้ อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ต้องมีเื้ัแน่ๆ แถมยังมีทหารยามสองคน บางทีพ่อของเจิ้งซวี่เหยาอาจจะเป็ข้าราชการใหญ่ก็ได้"
ข้าราชการใหญ่ขนาดไหนถึงจะมีบารมีแบบนี้ หมี่หลันเยว่ไม่รู้จริงๆ การออกจากบ้านเกิดทำให้หมี่หลันเยว่รู้ว่าสายตาของตนเองนั้นคับแคบ การไม่ออกไปข้างนอกทำให้ไม่รู้ว่าโลกภายนอกนั้นใหญ่โตเพียงใด
