เซี่ยโม่ดึงความคิดกลับมา ซ่งมู่ไป๋เดินนำอยู่ด้านหน้า เมื่อถึงตัวรถไฟก็ให้พวกเธอสองพี่น้องขึ้นไปก่อน
เธออุ้มน้องชายขึ้นไปบนรถไฟ ก่อนที่เธอจะตามขึ้นไป จากนั้นพี่ซ่งถึงค่อยตามขึ้นมา
ทั้งสามคนเดินไปแถวอ่างล้างมือ กะว่าจะยืนอยู่แถวนี้จนกว่าจะถึงสถานีต่อไป
อาจเป็เพราะบุหรี่ยี่ห้อต้าเฉียนเหมิน พอพนักงานต้อนรับบนสถานีขึ้นมาบนรถไฟก็เปิดห้องแบบส่วนตัวให้ “ทั้งสามคนเข้าไปนั่งในห้องนี้”
พูดจบก็เดินจากไป
“ขอบคุณมาก” ซ่งมู่ไป๋พูดขอบคุณก่อนจะให้สองพี่น้องเข้าไปในห้องก่อน
เซี่ยโม่มองภายในห้องส่วนตัวซึ่งมีขนาดเล็ก เพียงพอให้นั่งได้แค่สองคนเท่านั้น เธอนั่งลงก่อนจะอุ้มน้องชายให้นั่งลงบนตัก เว้นที่ว่างด้านข้างเอาไว้ จากนั้นหันไปกล่าวกับซ่งมู่ไป๋ที่ยืนอยู่ตรงประตูว่า “พี่ซ่ง เข้ามานั่งเถอะค่ะ”
ซ่งมู่ไป๋มีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้ามานั่ง
เขาอ้าถุงที่หิ้วมาด้วยออก ที่แท้ภายในถุงคือซาลาเปาสีขาวนวลห้าลูก
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันคิดว่าพวกเธอสองพี่น้องน่าจะหิวกันมาก รีบกินเถอะ”
เซี่ยโม่ทราบดีว่า ในยุคนี้ซาลาเปาสีขาวนวลแบบนี้ต้องใช้อะไรแลกมากว่าจะได้มา
ต้องใช้ทั้งเงินและคูปองปันส่วนข้าวถึงจะซื้อหามาได้ ยุคนี้เป็ยุคที่ผู้คนต้องแบ่งปันอาหารกัน คูปองนี้มีค่าเท่ากับเงินเลยทีเดียว
เธอเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “พี่ซ่ง พี่ช่วยพวกเราสองพี่น้องมามากพอแล้ว จะให้พี่มาสิ้นเปลืองคูปองปันส่วนข้าวเพราะพวกเราอีกได้ยังไงคะ”
“ไม่เป็ไร การที่พวกเราได้เจอกันถือว่ามีวาสนาต่อกัน ฉันให้พวกเธอกิน พวกเธอก็กินไปเถอะ” ประโยคที่เต็มไปด้วยความเมตตานี้ ทำให้คนฟังอดรู้สึกอบอุ่นในหัวใจไม่ได้
นับั้แ่ได้กลับมาเกิดใหม่ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองอาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความเ็า แต่ประโยคนี้ทำให้เธออบอุ่นใจยิ่ง
“ขอบคุณค่ะ” เซี่ยโม่หยิบซาลาเปาในถุงออกมาหนึ่งลูก แม้จะหิวแต่เธอคิดว่าน้องชายก็น่าจะหิวมากเหมือนกัน เธอจึงยื่นซาลาเปาลูกนี้ให้น้องชายก่อน
เวลานี้เองที่ท้องของเธอส่งเสียงร้องโครกครากออกมา ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ เธอรู้สึกอับอายเหลือเกิน
ซ่งมู่ไป๋ยื่นซาลาเปาให้อีกลูกพลางกล่าวว่า “ฉันล้างมือแล้ว เธอรีบกินเถอะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ขณะที่เด็กสาวยื่นมือไปรับซาลาเปา นิ้วมืออันเย็นเฉียบของเธอบังเอิญแตะโดนนิ้วมือร้อนผ่าวของเขาเข้า
ใบหน้าชายหนุ่มขึ้นสีแดงในฉับพลัน ลามไปจนถึงใบหู
เซี่ยโม่รู้สึกว่า แม้มือของอีกฝ่ายจะหยาบกร้านหากก็อบอุ่น เหมือนประโยคของเขาเมื่อครู่ที่นำพาความอบอุ่นมาสู่หัวใจเธอ
ทั้งชาติที่แล้วและชาตินี้ เธอยังไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหน และยังไม่เคยนั่งข้างชายใดแบบนี้มาก่อนเลย ชาติที่แล้ว อย่างมากก็แค่จับมือทักทายกับพวกนักธุรกิจผู้ชายแค่เดี๋ยวเดียว
ด้านซ่งมู่ไป๋ แม้จะแสร้งทำเป็สุขุม และมีหลุดท่าทางดุดันเ็าออกมาบ้าง กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่ายังเป็ชายหนุ่มที่อ่อนต่อโลกอยู่ไม่น้อย
ซาลาเปาไส้เนื้ออร่อยมาก เพียงแค่กัดคำแรกกลิ่นเนื้อก็กำจายอยู่ในปาก
เซี่ยโม่เลิกคิดนู่นคิดนี่ เธอกับน้องกินซาลาเปาอย่างเอร็ดอร่อย
ซ่งมู่ไป๋เห็นสองพี่น้องกินซาลาเปาแล้ว จึงหยิบออกมาลูกหนึ่งแล้วลงมือกินบ้าง
เซี่ยโม่กับน้องเพิ่งจะกินหมดไปหนึ่งลูก ทว่าซ่งมู่ไป๋กินหมดไปแล้วสองลูก ชายหนุ่มเลยยื่นลูกสุดท้ายให้สองพี่น้อง
“พวกเธอสองคนกินเถอะ ฉันกินไปแล้วสองลูก”
เซี่ยโม่ดูออกว่าชายหนุ่มยังไม่อิ่มจึงเอ่ยออกไปว่า “พี่ซ่ง ฉันกับน้องอิ่มแล้วค่ะ ซาลาเปาลูกนี้พี่กินเถอะ”
สีหน้าซ่งมู่ไป๋ขรึมลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย “ไม่ต้องพูดมาก ฉันให้กิน พวกเธอก็กินซะ”
เอ่ยจบก็เดินออกไป
เซี่ยโม่มองตามหลังชายหนุ่ม คิดในใจว่าพี่ซ่งนิสัยใจร้อนเอาเื่ นิสัยแบบนี้เธอชอบ
เธอยื่นซาลาเปาลูกสุดท้ายให้น้องชาย เซี่ยเฉินเฟิงรับไปก่อนจะบิแบ่งครึ่ง
“พี่ กินด้วยกัน”
เธอมองแววตาไร้เดียงสาของน้องชาย มือยกขึ้นลูบศีรษะที่ผมไม่ค่อยจะเป็ทรงเท่าใดนัก ก่อนจะยื่นไปรับซาลาเปาครึ่งหนึ่งที่น้องชายแบ่งให้มา
ไม่นานพวกเธอสองพี่น้องก็จัดการซาลาเปาจนหมด
เธอมองมือที่มันแผล็บ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบกระดาษทิชชูออกมาหนึ่งแผ่น เช็ดที่มือของตนเองและมือของน้องชาย
เซี่ยเฉินเฟิงมองกระดาษทิชชูแผ่นนี้อย่างสงสัย คิดในใจว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่พี่สาวเอากระดาษทิชชูที่ใช้แล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อหรอกหรือ ทำไมตอนนี้ถึงมีกระดาษทิชชูที่สะอาดเอี่ยมโผล่ออกมาจากกระเป๋าอีกแผ่นได้ล่ะ
เซี่ยโม่ทราบดีว่าน้องชายเป็คนพูดน้อย แต่เธอก็ยังกลัวว่าน้องชายจะพูดเื่นี้ออกไปอยู่ดี
หลังจากจัดการกับกระดาษทิชชูที่ใช้แล้ว เธอยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก
หมายความว่าให้เก็บเื่นี้เป็ความลับ
น้องชายผู้ฉลาดหลักแหลมของเธอเข้าใจความหมายของท่านี้ พยักหน้ารับปากรัวเร็ว
เวลานี้เองที่เสียงประกาศดังออกมาจากลำโพง “ลำบากหรือไม่ ลองคิดถึงกองทัพแดงทั้งสองหมื่นห้าพันนายดู รถไฟขบวนนี้กำลังจะถึงสถานีตำบลผิงอันในอีกไม่ช้านี้ ผู้โดยสารที่้าจะลงสถานีนี้กรุณาเตรียมตัว”
สถานีตำบลผิงอันคือที่อยู่ของพวกเธอสองพี่น้อง
เซี่ยโม่เปิดประตู พบว่าซ่งมู่ไป๋ยืนอยู่บนทางเดินข้างหน้าต่างฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มเป็คนตัวสูง เมื่อต้องไปอยู่ในห้องเล็กๆ คงจะรู้สึกอึดอัด
อีกเหตุผลหนึ่งที่ชายหนุ่มออกมายืนข้างนอกเพราะไม่อยากให้ใครสงสัย นี่ยิ่งทำให้เธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจมากขึ้นไปอีก
“พี่ซ่ง ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็ไร ลงจากรถไฟกันเถอะ”
หลังลงจากรถไฟ ชายหนุ่มเดินไปส่งสองพี่น้องออกจากสถานี
ก่อนแยกจากกัน เธอนึกถึงลูกอมนมที่อยู่ในโกดังสินค้า เธอแกล้งล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบลูกอมหลายเม็ดออกมาจากในนั้น แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อของชายหนุ่ม
ซ่งมู่ไป๋มีสีหน้าประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าเด็กสาวจะมีลูกอมอยู่ในกระเป๋า เขาหยิบขึ้นมาหนึ่งเม็ด แกะห่อก่อนจะนำเข้าปาก รสชาติหวานเหลือเกิน
ครั้นเห็นสองพี่น้องเดินจากไปไกล เขาหันหลังทำท่าจะเดินจากไปบ้าง ทว่ากลับนึกอะไรขึ้นมาได้เสียก่อน เขายกมือตีศีรษะตัวเองไม่แรงนัก
เขาลืมถามว่าสองพี่น้องอยู่หมู่บ้านไหน
ช่างเถอะ ครั้งหน้าอาจจะมีโอกาสได้เจอกันอีก
ระหว่างสองพี่น้องเดินไปตามทาง เซี่ยโม่นึกถึงบ้านของคุณตาคุณยาย ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟไปไม่ไกล และอยู่ในหมู่บ้านข้างเคียงกับหมู่บ้านของเธอ
เดินไปได้สักพักเซี่ยเฉินเฟิงก็หยุดเดิน เอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “พี่ ผมไม่อยากกลับบ้าน ผมกลัว…”
เธอรู้ดีว่าน้องชายกลัวอะไร กลัวจะถูกแม่เลี้ยงเอาไปทิ้งอีกครั้ง
แม้น้องชายเธอจะยังเด็กแต่ไม่ได้โง่ หลังถูกหลานของแม่เลี้ยงพาขึ้นไปบนรถไฟ สั่งให้รออยู่บนนั้นก็รู้ทันทีว่าถูกแม่เลี้ยงทอดทิ้งแล้ว
เธอรู้สึกเ็ปในใจราวกับถูกเข็มทิ่มแทง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เฉินเฟิง พี่จะพาเราไปบ้านคุณตาคุณยายดีไหม”
แววตาของเด็กชายเป็ประกาย ใบหน้าตอบเล็กฉายแววยินดี
น้องชายพยักหน้ารัวเร็ว “ดีครับ!”
เดินต่อไปได้สักพักเซี่ยเฉินเฟิงก็หยุดเดินอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยว่า “พี่ครับ ผมเจ็บเท้า เดินต่อไม่ไหวแล้ว”
เธอก้มมองเท้าของน้องชาย กำลังคิดจะให้น้องชายขี่หลังก็พบว่า รองเท้าที่น้องชายของเธอสวมใส่อยู่ พื้นบางจนแทบจะหลอมรวมเป็ส่วนเดียวกับพื้นทางเดิน หน้ารองเท้าพังจนนิ้วเท้าทั้งห้าโผล่ออกมา อีกทั้งมีหลายนิ้วที่มีตุ่มพองอันเกิดจากการเสียดสี
และเมื่อลองเพ่งดูให้ดี พบว่าแท้จริงแล้วพื้นของรองเท้าคือกระดาษแผ่นบางๆ มีแต่ด้านข้างของรองเท้าเท่านั้นที่เป็ผ้า ทั้งยังมีรอยขาดหลายแห่งอีกด้วย
เธอโกรธจนควันพวยพุ่งออกมาจากศีรษะ เข้าใจในอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที
แม่เลี้ยงเคยพูดเอาไว้ว่า “เฉินเฟิงเด็กคนนี้ชอบวิ่งเล่น วิ่งจนรองเท้าพังไปแล้วหลายคู่ เปลืองมาก ต้องคอยทำให้ใหม่ทุกสามสี่วัน เหนื่อยเหลือเกิน”
ใช้กระดาษมาทำพื้นรองเท้าให้เด็กห้าขวบ ใช้ได้ถึงสี่ห้าวันก็นับว่าไม่เลวแล้ว
นึกถึงก่อนหน้านี้น้องชายถูกหลานของแม่เลี้ยงพาเดินอ้อมตั้งไกลเพื่อแอบขึ้นรถไฟ เมื่อครู่ยังเดินเป็ระยะทางไม่ใช่น้อยอีก
พื้นรองเท้าทำจากกระดาษก็ไม่ต่างอะไรกับเดินเท้าเปล่า เธอต่อว่าตัวเองในใจว่าทำไมถึงไม่รู้จักสังเกตเลยนะ
เซี่ยโม่ดึงน้องชายเข้ามากอดด้วยความปวดใจ
จากนั้นล้วงมือลงไปในกระเป๋า แกล้งทำเป็หยิบกระดาษทิชชูกับเข็มเย็บผ้าจากในนั้นออกมา ที่จริงแล้วเธอหยิบมันมาจากในโกดังสินค้า เธอใช้กระดาษทิชชูเช็ดเท้าของน้องชายจนสะอาด ก่อนจะใช้เข็มจิ้มลงไปที่ตุ่มพองเพื่อเอาน้ำออก
เธอนึกภาพโกดังสินค้า ก่อนจะหยิบถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบที่เธอคิดว่าน้องชายน่าจะสวมได้ออกมา
เซี่ยเฉินเฟิงมองพี่สาวหยิบของออกมาจากกระเป๋า ในกระเป๋าของพี่สาวมีของมากมายหลายอย่าง แม้แต่ถุงเท้ารองเท้าก็ยังมี
เธอรับรู้ได้ถึงสายตาของน้องชายที่มองมา แม้จะพยายามปกปิด แต่น้องชายก็ยังรู้จนได้ “ถุงเท้ากับรองเท้าคู่นี้พี่ซ่งเป็คนให้มา ส่วนเข็มพี่พกติดตัวเอาไว้ตลอดอยู่แล้ว”
หากต่อมาน้องชายทำให้เธอต้องรู้สึกตกตะลึง เด็กชายยิ้มก่อนจะเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก หมายถึงจะเก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับ ไม่พูดออกไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้