เทียนหยวน [1] ต้นเดือนสิบเอ็ดปีที่สิบห้า เกล็ดหิมะล่องลอยอยู่ในอากาศทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
สีขาวสะอาดวาววับ พากันร่วงหล่นโปรยว่อนปกปิดความน่าอัปยศนอกประตูเมืองถงหลิน ทับถมพื้นที่ที่ถูกเผาจนเละเทะไปทั้งผืนหนึ่งชั้น
ตาตาร์กับหว่าชื่อโจมตีกำแพงเมืองมาแล้วหนึ่งเดือนกว่า พลทหารที่ได้รับาเ็และผู้ที่เสียชีวิตเป็จำนวนเกือบสองหมื่นนาย ถูกอุบายที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบของอาณาจักรต้าสยาจัดการจนเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ พวกเขาโจมตีกำแพงเมืองอย่างสุดกำลังมานับไม่ถ้วนก็ยังไม่สามารถยึดเมืองได้อยู่ดี จึงทำได้เพียงถอยทัพกลับไปด้วยความคับแค้น และถือโอกาสถอนทัพกลับไปยังเมืองเหลียงซานในยามราตรี กองทัพใหญ่แบ่งฐานที่ตั้งอยู่เมืองเหลียงซานกับอำเภอจิง พื้นทีู่เาด้วยท่าทีเสมือนเป็าา
ส่วนทหารศัตรูทางเมืองเฉียนตงได้ละทิ้งอำเภอชินจัวที่มีกำลังในการป้องกันอ่อนแอและไม่เหมาะในการตั้งรับทิ้งไป แล้วเข้าตั้งมั่นอยู่ภายในเมืองตานชังแทน สองฝ่ายปรึกษาและตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะรักษาอยู่ภายในกำแพงเมืองที่โจมตียึดมาได้ไว้ก่อน รอผ่านฤดูหนาวที่หนาวเหน็บไปและหลังจากพักฟื้นตัวแล้ว เมื่อถึงปีถัดไปค่อยทำการคิดวางแผนอีกหน
หานสี่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่ไว้บนไหล่ ยืนอยู่บนกำแพงเมืองด้วยท่าทางตรงดิ่ง เกล็ดหิมะนอกประตูเมืองปลิวว่อนตามกระแสลมพัด ราวกับ้าฝังกลบความวุ่นวายและเสียงโฮ่ร้องทั้งหมดบนโลกมนุษย์นี้
หลัวจิ่งสวมเครื่องแบบทหารอันทรงพลานุภาพ ลูกตาดำล้ำลึก ยืนอยู่เื้ัหานสี่ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“องค์ชายสามของหว่าชื่อกับผู้นำตาตาร์อยู่นอกเมืองเหลียงซานเริ่มขุดคูเมืองเพื่อรักษาเมือง ดูท่าเหมือนจะตัดสินใจแล้วว่า้ายึดครองเมืองเหลียงซานกับอำเภอจิงระยะยาว ด้านเมืองเฉียนตงทางนั้น ตาตาร์ได้ละทิ้งอำเภอชินจัวที่การป้องกันเมืองไม่พร้อมไป และตรงเข้าไปตั้งมั่นที่เมืองตานชัง คิดๆ ไปคงใช้วิธีเช่นนี้ ด้านหนึ่งซ้ายด้านหนึ่งขวา แยกชัยภูมิอันเป็จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการเข้าออกทางตะวันตกเฉียงเหนือออกจากกัน” หานสี่ทอดมองสายตาออกไปไกล การที่ตาตาร์ถอยทหารกลับ เป็ผลดีต่อสถานการณ์ของอาณาจักรต้าสยาในตอนนี้ยิ่งนัก
พระพลานามัยของเสด็จพ่อเริ่มทุเลาลงช้าๆ อิทธิพลของพรรคพวกองค์ไท่จื่อได้รับการถูกสกัดกั้น การบริหารอำนาจบ้านเมืองของราชสำนักมั่นคง ประเทศชาติจึงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ ต้าสยาจะผงาดขึ้นมาในวันหนึ่ง ดังนั้นคูเมืองต่างๆ ที่ตาตาร์ยึดครองไป ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องได้คืนมาในที่สุด
“ฝ่าา ฤดูหนาวทางตะวันตกเฉียงเหนือหนาวเหน็บยิ่งนัก กองหิมะหนาลึก ไม่เอื้ออำนวยต่อการเคลื่อนทัพแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คิดจะแย่งชิงอำเภอและเมืองที่ถูกยึดครองไปกลับคืนมา ก็ต้องรอถึงปีหน้าหลังหิมะน้ำแข็งละลาย
หานสี่หัวเราะ เหตุผลนี้เขาย่อมทราบดี “หลางเจียงหลัว าปกป้องเมืองนับหลายครั้งของเมืองถงหลิน คุณงามความดีของเ้าเกรียงไกรมากนัก เ้าวางใจได้ การใส่ร้ายป้ายสีสกุลหลัวของเ้า เปิ่นกงจดจำอยู่ในใจแล้ว รอจังหวะและโอกาสสุกงอม ต้องล้างมลทินจากความผิดที่ไม่ได้ก่อแทนพวกเ้าอย่างแน่นอน”
“ขอบพระทัยฝ่าา!” หลัวจิ่งคุกเข่าลงไปหนึ่งข้างกล่าวขอบคุณเสียงหนักแน่น
“ไม่ต้องมากพิธี หลางเจียงหลัว ตอนนี้สถานการณ์คลายลงชั่วคราว เ้ามีความปรารถนาอื่นใดที่้าร้องขอหรือไม่?” หานสี่มองบุรุษวัยเยาว์ที่เฉลียวฉลาดมากความสามารถและรูปโฉมงดงาม คิดถึงอุบายปกป้องเมืองแต่ละอย่างที่เขาทูลขึ้นมา มุมปากอดประดับรอยยิ้มขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกว่าเขาช่างเป็คนที่ถูกใจตนเป็อย่างยิ่ง
หลัวจิ่งดวงตาเป็ประกายขึ้นมาทันที สภาพจิตใจที่ต้องควบคุมให้เย็นไว้โดยตลอดมา เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นในชั่วพริบตา
...ขบวนกู้ฉียังไม่ทันเข้าเมืองหลวง ข่าวคราวพระอาการประชวรของฮ่องเต้ที่ดีขึ้นก็แพร่กระจายดั่งน้ำเดือดพล่าน [2]
คนสัญจรและพ่อค้าที่เร่ขายของไปตามท้องถิ่น ร้านน้ำชาริมข้างทาง พ่อค้าหาบเร่ต่างทยอยวิพากษ์วิจารณ์กัน บนใบหน้าคนส่วนใหญ่ล้วนประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม พระพลานามัยของฮ่องเต้ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมมั่นคงและแข็งแรงในระดับสูงขึ้นมาก ช่างเป็การปลอบขวัญประชาชนที่เกิดความหวาดกลัวจากความวุ่นวายของภัยาชายแดนนัก
กู้ฉีสังเกตปฏิกิริยาของประชาชนสองฝั่งข้างทางถนนอย่างละเอียด ตนเองจึงมีความรู้สึกชื่นใจออกมาเล็กน้อย
บนใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม ประสิทธิภาพของโสมคนชั้นยอดโดดเด่นจริงๆ ถวายขึ้นไปไม่กี่วัน ฮ่องเต้ก็สามารถฟื้นสติขึ้นมาพูดคุยได้แล้ว เขาเชื่อว่าหากใช้ไปอีกไม่นาน บนเก้าอี้ัที่เว้นว่างไปจากการใช้งานจวนจะสามปี ก็จะสามารถปรากฏเงากายของฮ่องเต้ได้
กู้ฉีอุ้มเล่อเล่อขึ้นไว้ในอ้อมอก จิตใจค่อนข้างมีความสุขเป็อย่างมาก เขาเอนกายพิงอยู่บนเกวียนรถ ลูบขนยุ่งของเล่อเล่ออย่างอ่อนโยน
ขบวนรถเคลื่อนเข้าสู่ถนนที่คุ้นเคยช้าๆ มุ่งไปจวนท่านโหวเหวินชางด้านทิศตะวันตกของเมือง
โหยวอวี่เวยาเ็ กู้ฉีต้องไปอธิบายสถานการณ์ให้ท่านน้าฟังอย่างกระจ่างแจ้งสักหน่อย อย่างไรเสียนางก็เป็ผู้ขวางลูกธนูให้เขาถึงได้รับาเ็ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดหรือความรู้สึกเช่นไรของนางที่ทำเช่นนั้น เขาล้วนต้องไปขอบคุณถึงที่บ้าน
สีหน้ากู้ฉีไม่เป็ธรรมชาติขึ้นมาอยู่บ้าง เขารู้ หากไปครั้งนี้คงต้องถูกท่านน้าต้อนรับอย่างเมินเฉยหรือถูกตำหนิหนึ่งรอบอย่างเสียมิได้ แต่เขาไม่ใช่ชายหนุ่มดื้อรั้นที่ร่างกายอ่อนแอขี้โรคอย่างเมื่อก่อนแล้ว ไม่มีทางทำตามแต่ใจของตนเองอย่างแน่นอน
ขณะที่ใจลอย รถม้าของโหยวอวี่เวยก็เร่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“พี่ห้า ท่านเอาเล่อเล่อมาให้ข้า ข้ากลับบ้านเองได้” โหยวอวี่เวยพูดคุยกับเขาผ่านช่องหน้าต่างเกวียน
กู้ฉีส่งสัญญาณให้หยุดรถม้า
“ข้าจะไปส่งเ้ากลับจวน ถือโอกาสไปเยี่ยมท่านน้าด้วยเลย”
“ไม่ๆ ท่านกลับบ้านไปก่อนเถอะ ท่านป้าน่าจะรอจนร้อนใจแล้ว วันอื่นท่านค่อยมาเยี่ยมท่ามแม่ข้าที่บ้านเถอะ” โหยวอวี่เวยส่ายหน้า นางได้รับาเ็เช่นนี้ หากกู้ฉีตามไปพบท่านแม่ของนางด้วยต้องถูกด่าเสียเละเทะแน่ นางไม่หวังว่าจะได้เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น
กู้ฉีลังเลเล็กน้อย “ข้าไปส่งเ้าก่อน ไปเยี่ยมท่านน้าสักหน่อย ไม่เสียเวลาเท่าไรหรอก”
“ไม่ต้องให้ท่านไปส่งหรอก นี่ก็เกือบจะถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ท่านกลับไปก่อนเถอะ พอท่านแม่เห็นข้าจะต้องมีคำพูดมากมายอยากจะกล่าวกับข้าแน่นอน ไม่มีเวลาดูแลท่านหรอก ครั้งหน้าท่านค่อยมาพร้อมกับเทียบเชิญนะ” โหยวอวี่เวยยืนกรานปฏิเสธ
นางส่งสัญญาณให้จื่อยู่ลงรถม้าไปอุ้มเล่อเล่อมา
กู้ฉีจนปัญญา พร้อมกล่าวกำชับ “เช่นนั้นเ้ากลับไปแล้ว ให้ท่านหมอดูอาการาเ็ของเ้าหน่อย อย่าให้เหลืออันตรายที่อาจส่งผลระยะยาวไว้ล่ะ ขี้ผึ้งทาผิวขวดหยกนั้นอย่าลืมทาให้ตรงเวลาด้วย เดินบนพื้นก็ช้าๆ หน่อย อย่าะโโลดเต้น ระวังาแปริออก รอผ่านไปสองวันเมื่อมีเวลาว่างข้าจะไปเยี่ยมเ้า”
“อื้มๆ!” คำพูดของกู้ฉี โหยวอวี่เวยฟังแล้วในใจคล้ายกับดื่มน้ำผึ้งลงไปก็ไม่ปาน ช่างหวานชื่นยิ่งนัก “ข้าทราบแล้ว พี่ห้า ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ เร่งเดินทางไกลมาหลายวันเพียงนี้ ลำบากแล้ว”
กู้ฉีมองขบวนรถม้าของโหยวอวี่เวยที่เคลื่อนเข้าตรอกไป แล้วจึงออกเดินทางกลับจวนสกุลกู้ได้
...โหยวอวี่เวยกลับมาถึงลานบ้านจิ้งหลัน เฉินซื่อเกาะเมอเมอที่คอยประคองเดินเข้าลานบ้านของนางด้วยใบหน้าร้อนใจ
“อวี่เวย… อวี่เวย… เ้าาเ็ตรงไหน? ให้แม่ดูหน่อย แม่ส่งคนออกไปเชิญท่านหมอแล้ว”
โหยวอวี่เวยเพิ่งล้างหน้า และเปลี่ยนชุดกระโปรงเสร็จ กำลังคิดจะไปทำความเคารพมารดาตนเอง แต่ผู้เป็มารดากลับวิ่งมาอย่างอดรนทนรอไม่ได้เสียนี่
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้เป็อะไร ยังดีๆ อยู่เลยเ้าค่ะ” นางเดินออกมาจากห้องนอน เข้าไปใกล้เฉินซื่ออย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ โผเข้าในอ้อมกอดของนางด้วยความออดอ้อน “ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านจัง ท่านคิดถึงข้าบ้างหรือไม่เ้าคะ?”
“โธ่เอ๋ย คุณหนูคนดีของข้า ท่านต้องระมัดระวังหน่อยนะเ้าคะ ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์อยู่เ้าค่ะ” เมอเมอด้านข้างพยุงเฉินซื่อด้วยความกังวล
“…ตั้งครรภ์?” โหยวอวี่เวยเงยหน้า มองเฉินซื่ออย่างตกตะลึงสติหลุดลอย
เฉินซื่อสีหน้าเปลี่ยนเป็แดงขึ้นมา นางมองเมอเมอที่ปากมากแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์
“แค่กๆ อวี่เวย เ้าเป็แม่นางที่โตแล้ว อย่าเอาแต่ชอบพุ่งเข้าหาคนเหมือนตอนเป็เด็กน้อยเช่นนั้นบ่อยๆ สิ”
โหยวอวี่เวยทำแก้มพองลมขึ้นมาทันที “ท่านแม่ นี่ท่านจะมีน้องชายหรือน้องสาวแล้ว ท่านก็เริ่มไม่ใส่ใจข้าแล้วกระมังเ้าคะ?”
“เ้าเด็กคนนี้นี่ กล่าวมั่วซั่วอะไรกัน?” เฉินซื่อหน้าแดง คลึงใบหน้าของนาง
หลังจากที่โหยวอวี่เวยออกไปจากเมืองหลวง เฉินซื่อก็เบื่อน้ำชาไม่คิดถึงอาหารไม่อยากทานสิ่งใด คนทั้งกายรู้สึกจิตใจอ่อนล้า ไม่มีเรี่ยวแรง โหยวฮั่นเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกปวดใจเป็อย่างมาก จึงส่งคนไปเชิญท่านหมอหลวงมา หลังจับชีพจรก็พบว่าเฉินซื่อตั้งครรภ์ได้เดือนกว่า
ข่าวนี้ทำเอาเฉินซื่อและโหยวฮั่นตะลึงงัน สองคนปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปดั่งสายน้ำ ยอมแพ้ความหวังในการให้กำเนิดบุตรอีกครั้งไปนานแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ อายุถึงตัวเลขนี้กลับมีข่าวคราวที่ดีเช่นนี้ขึ้นมาได้อีก
เฉินซื่อดีใจกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายนี้อย่างมาก ทั้งยังรู้สึกเขินอายอยู่บ้างเล็กน้อย อายุมากแล้วกลับตั้งครรภ์ขึ้นมาเสียได้ แม้จะดีใจแต่ก็ไม่กล้าป่าวประกาศไปทั่วเช่นกัน
โหยวอวี่เวยพยุงนางให้นั่งลง ลูบ่ท้องของมารดาด้วยความประหลาดใจ ครรภ์เพิ่งมีอายุได้สองเดือน เลยไม่ได้ยื่นนูนออกมาชัดเจน
เฉินซื่อกังวลอาการาเ็ของนาง จึงซักไซ้ไล่เลียงถึงสาเหตุของการได้รับาเ็ไม่หยุด
โหยวอวี่เวยลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวตามความเป็จริงออกไป
เฉินซื่อตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก บุตรสาวสุดที่รักแสนล้ำค่าของนาง เพื่อชายคนหนึ่งที่ไม่เคยชอบนางเลย แม้แต่ลูกธนูก็เอาตัวเข้าไปขวางแทนเขาได้ ไม่เสียดายที่จะละทิ้งชีวิตเลยสักนิด
เฉินซื่อเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นานมาก “เช่นนั้นพี่ห้าของเ้าคิดอย่างไรบ้าง?”
ขวางลูกธนูเพื่อเขา ยังจะไม่สนใจอยู่อีกหรือไม่?
“ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร นี่ก็เป็ความเต็มใจของข้าทั้งสิ้น ท่านแม่ ท่านห้ามเอาเื่นี้ไปขู่พี่ห้านะเ้าคะ” โหยวอวี่เวยกล่าวขึ้นทันที
เฉินซื่อกรุ่นโกรธขึ้นมาฉับพลัน เื่อะไรก็ล้วนให้ท้ายเด็กหนุ่มผู้นั้น หากต่อไปแต่งงานกันขึ้นมาจริงๆ ไม่ต้องให้เขาควบคุมทุกอารมณ์ความคิดในชีวิตเลยหรือ
“เ้าเด็กคนนี้ ขวางลูกธนูดอกนี้เพื่อเขา เจตนาคืออะไร? ไม่ใช่คิดอยากให้เขาสนใจเ้ามากหน่อยหรือ? เ้าช่วยชีวิตเขาไว้ ทำไมแม่จะเอาเื่นี้กล่าวขึ้นมาเรียกร้องไม่ได้?”
“ไม่ใช่สิ ข้าขวางลูกธนูเพื่อเขามันเป็สัญชาตญาณ เห็นว่าลูกธนูยิงมาทางเขา ข้าคิดอะไรไม่ทันก็เลยโผออกไป ไม่ใช่เจตนาเพื่อสิ่งใดเลยเ้าค่ะ” โหยวอวี่เวยรีบปฏิเสธคำพูดของนาง
เฉินซื่อมองใบหน้าอันงดงามบอบบางน่าทะนุถนอมของบุตรสาว ประดับไว้ด้วยการปฏิเสธอย่างหนักแน่น ราวกับคำพูดของนางเองทำให้หัวใจอันแสนบริสุทธิ์ของหญิงสาวตรงหน้าด่างพร้อย ทำให้การกระทำที่ช่วยเหลือของนางแปดเปื้อนไปด้วยการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า
นางอดถอนหายใจยาวไม่ได้ บุตรสาวของนางหากแต่งให้กับกู้ฉีไม่ได้ ชั่วชีวิตที่เหลืออยู่จะทำอย่างไรต่อไป
ทว่าโหยวอวี่เวยกลับไม่ได้นำมาใส่ใจ อาจเพราะได้รับผลกระทบมาจากเจินจู นางก็รู้สึกขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดเช่นกันว่าแม้จะไม่แต่งงาน ตนเองคนเดียวก็สามารถมีชีวิตอยู่อย่างดีได้
นางจึงให้ความสนใจกับเ้าตัวเล็กในท้องของเฉินซื่อมากกว่า เริ่มถามรายละเอียดขึ้น เช่น กี่เดือนแล้ว? ผู้ชายหรือผู้หญิง? เ็ปไม่สบายหรือไม่? ท่านพ่อแสดงออกมาอย่างไร?
สนทนากันไปมาอยู่พักหนึ่ง ท่านหมอหลวงก็มาถึงภายในจวน
หลังจับชีพจร หมอหลวงก็รายงานแก่เฉินซื่อ ว่าร่างกายโหยวอวี่เวยฟื้นฟูกลับคืนมาได้ดีมากแล้ว ไม่มีอันตรายแฝงอื่นใด แค่จำเป็ต้องผักผ่อนอย่างสงบจนกว่าาแจะตกสะเก็ดและหลุดออกไปเอง แล้วค่อยทาสมุนไพรขี้ผึ้งลงไปบนรอยถลอกก็พอ ไม่จำเป็ต้องสั่งยาอะไรอีก
คำพูดของหมอหลวง ทำให้เฉินซื่อผ่อนคลายลมหายใจลงได้
...ฟืนสำหรับใช้ในฤดูหนาวของสกุลหู ในที่สุดก็ตุนไว้ได้เพียงพอก่อนที่หิมะแรกของหมู่บ้านวั้งหลินจะย่างกรายเข้ามา
เกล็ดหิมะปลิวว่อนร่วงหล่นลงบนใบหงเฟิงสีแดง ก่อตัวเป็ทัศนียภาพยาวหนึ่งสายที่แสนโดดเด่น มองไปจากที่ไกลๆ ในสีแดงเพลิงนั้นมีสีขาวของหิมะประดับอยู่ เกิดเป็สีอ่อนๆ ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของฤดูหนาว
“น้องสาม หิมะตกแล้ว งานทางหุบเขาที่นั่นก็ต้องหยุดลง เมื่อวานท่านลุงหลิ่วมาแจ้งให้ทราบ วันนี้ควรคิดค่าแรงให้พวกเขาเลยใช่ไหม?” หวงถิงเฉิงอุ้มบัญชีรอคำตอบ
“ใช่เ้าค่ะ คิดค่าแรงให้พวกเขาก่อน ทุกคนยุ่งกันมาหลายเดือนล้วนเหนื่อยยากลำบากกัน ให้ค่าแรงของพวกเขาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งร้อยเหวิน นับเป็เงินพิเศษฉลองปีใหม่ ส่วนท่านลุงหลิ่วเพิ่มให้ห้าร้อยเหวิน เมื่อท่านคิดบัญชีเสร็จแล้ว ตอนบ่ายข้าจะให้ผิงอันแจ้งพวกเขาให้มารับเงินเ้าค่ะ” เจินจูกล่าวอย่างละเอียด
“อื้ม ได้เลย ข้าจะรีบคำนวณ” ในใจหวงถิงเฉิงทอดถอนใจกับความใจกว้างของครอบครัวท่านอารองอย่างยิ่ง ทุกครั้งของการทำงานเสร็จจะเพิ่มเงินให้หนึ่งร้อยเหวิน รวมกับห้าร้อยเหวินของหลิ่วฉางผิง ก็แทบจะจ่ายออกไปสองเหลียงอยู่แล้ว
งาน่ปลายปีมีมากมายนัก หูฉางกุ้ยดูแลเพียงสถานที่ทำอาหารหมักก็ยุ่งไม่ได้หยุด ดังนั้นเื่ในบ้านเจินจูจึงทำได้เพียงจูงหลี่ซื่อมาจัดการด้วยกัน
ทำการจัดเตรียมของขวัญเทศกาลปีใหญ่หนึ่งส่วน ก่อนที่ชาวบ้านจะมารับเงินค่าแรง
กระดูกหมู เครื่องในหมู มันหมู และหนังหมูที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วของที่บ้าน ต่างก็แบ่งไว้ให้ทุกคนคนละส่วน เหมาชิงปู้ [3] ชั้นดีตัดในขนาดที่เพียงพอต่อทุกคนคนละสองชุด ชุดหนึ่งสีน้ำเงิน ชุดหนึ่งสีเทาเข้ม ทนทานต่อการใช้งานและสิ่งสกปรก ล้วนเป็ของขวัญปีใหม่ที่มีประโยชน์และใช้ได้จริงที่สุด
ตอนบ่ายโรงเรียนเริ่มชั่วโมงเข้าเรียน ชาวบ้านที่มารับเงินค่าแรง ต่างทยอยกันนำตะกร้าติดตัวมาด้วยและรวมตัวอยู่หน้าบ้านสกุลหู
พวกเขาทำงานอยู่บ้านสกุลหูมาเกือบสามปี รู้ว่าทุกปลายปีสกุลหูจะแจกของขวัญสิ้นปีให้หนึ่งชุด จึงนำตะกร้าไผ่สานของตนเองมาด้วยอย่างตระหนักรู้ได้กันทุกคน
ไปรับเงินที่ห้องคิดบัญชีก่อน หลังจากนั้นเรียงแถวกันอยู่ภายในห้องโถงของสกุลหูเพื่อรับของขวัญ
หนึ่งมือหิ้วตะกร้าไผ่สานใบหนัก หนึ่งมืออุ้มผ้าพับใหม่เอี่ยม ชาวบ้านสิบกว่าคนออกจากบ้านสกุลหูไปด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความสุข
เชิงอรรถ
[1] เทียนหยวน หรือ 天元 คือ 周历建子 หรือก็คือปฏิทินโจว เริ่มเดือนจื่อในปฏิทินกานจื่อ (หรือปฏิทินแผนภูมิ์ ซึ่งเป็ปฏิทินโบราณจีนชนิดหนึ่ง) ในเดือนแรกซึ่งตรงกับฤดูหนาวเดือนสิบเอ็ดตามปฏิทินจันทรคติจีน ภายหลังได้ใช้ปฏิทินโจวเพื่อคำนวณหาวันที่ถูกต้อง และกลายมาเรียกว่า “เทียนหยวน” ซึ่งจะแบ่งปฏิทินออกเป็ 4 ชื่อ และเริ่มนับเดือนหนึ่งต่างกันไปตามราชวงศ์ ได้แก่ 1. 夏历建寅 คือ ปฏิทินเซี่ยใช้ฤดูใบไม้ผลิเดือนหนึ่งตามปฏิทินจันทรคติจีนเป็เดือนแรก อยู่พอดีกับเดือน 寅 (อิ๋น) ของปฏิทินกานจื่อ 2. 商历建丑 คือ ปฏิทินซางใช้ฤดูหนาวเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติจีนเป็เดือนแรก อยู่พอดีกับเดือน 丑 (โฉ่ว) ของปฏิทินกานจื่อ 3. 周历建子 คือ ปฏิทินโจวใช้ฤดูหนาวเดือนสิบเอ็ดตามปฏิทินจันทรคติจีนเป็เดือนแรก อยู่พอดีกับเดือน 子 (จื่อ) ของปฏิทินกานจื่อ 4. 秦历建亥 คือ ปฏิทินฉินใช้ฤดูหนาวเดือนสิบตามปฏิทินจันทรคติจีนเป็เดือนแรก อยู่พอดีกับเดือน 亥 (ห้าย) ของปฏิทินกานจื่อ
[2] ดังน้ำเดือดพล่าน หมายถึง ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์
[3] เหมาชิงปู้ คือ ผ้าทอมือแบบดั้งเดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้