หลังจากนี่จ้านเทียนออกไป ฉินเยียนหรานจึงคิดจะออกไปเช่นกัน แต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่ของเย่เฟิงตรึงไว้ในอ้อมแขน จนรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างอีกฝ่าย
“เ้าจะทำอะไร?” ฉินเยียนหรานเอ่ยถาม การที่อยู่ใกล้ชิดกับเย่เฟิงเช่นนี้ทำให้นางหน้าแดงระเรื่อ
“เ้าคือผู้หญิงของข้า เช่นนั้นข้าย่อมมีสิทธิ์ทำหน้าที่คนรัก” เย่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาได้โน้มหน้าลงไปหาริมฝีปากเล็ก ๆ ของฉินเยียนหราน เขาถูกหญิงผู้นี้ใช้เป็เครื่องมือ แล้วจะไม่เรียกค่าตอบแทนได้อย่างไร เมื่อฉินเยียนหรานเห็นการกระทำของเย่เฟิง จู่ ๆ ใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมา
“คนไร้ยางอาย ข้าไปเป็ผู้หญิงของเ้าั้แ่เมื่อไร?” ฉินเยียนหรานพยายามขัดขืน แต่เย่เฟิงกลับระบายยิ้มขณะมองสาวงามในอ้อมแขน เขาจะสั่งสอนหญิงผู้นี้ แล้วดูซิว่าต่อไปนางจะกล้าใช้เขาเป็โล่กำบังอีกหรือไม่
“เมื่อครู่ตอนนี่จ้านเทียนอยู่ เ้ายังกล้าบอกว่าข้าเป็คนที่เ้าชอบอยู่เลยไม่ใช่หรือ?” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มมุมปาก
“นั่นเป็เพราะข้าโกหกนี่จ้านเทียน มันไม่ใช่อย่างที่เ้าคิด ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” ฉินเยียนหรานกล่าว นางไม่นึกว่าหมอนี่จะใจกล้ามากถึงเพียงนี้ เห็นทีคราวก่อนที่ลอบดูนางอาบน้ำจะวางแผนไว้แล้ว สารเลวนี่ช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก
“ในเมื่อเ้าพูดออกมาแล้ว งั้นข้าจะคิดว่าเป็เื่จริง นับจากนี้ไปเ้าฉินเยียนหรานก็คือผู้หญิงของข้าเย่เฟิง หากใครกล้ารังแกเ้า ข้าผู้นี้จะให้มันชดใช้อย่างสาสม” เย่เฟิงกล่าวด้วยสีหน้าแน่วแน่ ราวกับว่าฉินเยียนหรานกลายเป็ผู้หญิงของเขาจริง ๆ ขณะที่ฉินเยียนหรานมองเย่เฟิงก็หยุดดิ้นรนอย่างไม่รู้ตัว
แต่จู่ ๆ สีหน้าแน่วแน่ของเย่เฟิงจางหายไป กลับไปดูทะเล้นเฉกเช่นเมื่อก่อน “มา ๆ ให้ข้าจูบสักหน”
พลันเย่เฟิงประกบริมฝีปากลงไปอย่างไม่รีรอ
“ไร้ยางอาย!” จู่ ๆ ฉินเยียนหรานก็โต้ตอบขึ้นมา ก่อนจะใช้แรงที่ไม่รู้มาจากไหนสลัดออกจากอ้อมแขนของเย่เฟิง จากนั้นนางหนีกลับเข้าห้องของตนโดยไม่หันหลังมามอง แต่ท่าทีเขินอายเช่นนั้นทำให้ผู้ชายต้องใจละลาย
“หญิงผู้นี้น่ารักเสียจริง!” เย่เฟิงระบายยิ้ม จู่ ๆ นึกถึงท่าทีเ็าของฉินเยียนหรานในยามปกติ แต่ไม่คิดว่าจะมีด้านอ่อนโยนเช่นนี้ด้วย
จากนั้นเย่เฟิงเดินไปข้างหน้าพร้อมดึงประตูห้องของฉินเยียนหรานช้า ๆ ก่อนจะมีกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกเขา ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เย่เฟิงเข้าไปในห้องอย่างไม่ลังเล ส่วนฉินเยียนหรานที่เห็นเย่เฟิงเดินเข้ามาก็ไม่เอ่ยปากห้าม แต่ในดวงตาคู่งามนั้นกลับแฝงความขุ่นเคือง ทั้งที่ใบหน้ายังแดงระเรื่อไม่หาย
“เ้าคนสารเลว คิดจะเข้ามาในห้องของผู้หญิงตอนไหนก็ได้หรือ?” ฉินเยียนหรานกล่าวเสียงเย็น เย่เฟิงเป็ผู้ชายคนแรกที่เข้ามาในห้องของนาง ซึ่งนางนั้นเป็ที่หมายปองของใครหลาย ๆ คนในสำนักยุทธ์ แต่กลับไม่มีใครสักคนที่มีนิสัยอย่างเย่เฟิง
“เ้าเป็ผู้หญิงของข้าแล้ว ข้าจะเข้าห้องเ้าก็เป็เื่ปกตินี่?” เย่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นในมือของเขาปรากฏผลไม้ที่แผ่กลิ่นหอมออกมา ก่อนจะยื่นไปให้ฉินเยียนหราน และกล่าวต่อ “คราวก่อนที่ออกจากหุบเขาเทียนเสวียนข้าลืมให้เ้า รับไปซะ”
ผลไม้นี้ก็คือผลเทียนเสวียน เขาคนเดียวคว้ามาได้ถึงแปดผล และเขาก็ไม่คิดจะเก็บไว้กินคนเดียว ฉินเยียนหรานตาเป็ประกายขณะมองเย่เฟิงพลางรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ก่อนจะรับผลเทียนเสวียนมา “ขอบคุณ”
“ถ้า้าขอบคุณ ก็มอบหัวใจให้ข้าสิ” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มกว้าง
“ถ้าเ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะไม่สนใจเ้าแล้ว” ฉินเยียนหรานกล่าวพร้อมหันหลังให้ ท่าทีเช่นนั้นดูแล้วน่ารักยิ่งนัก บางทีตัวนางในเวลานี้อาจยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ในระยะเวลาที่นางได้อยู่กับเย่เฟิง นางราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน
“เ้าทะลวงขั้นรวมชี่แล้วหรือ?” รอยยิ้มขี้เล่นของเย่เฟิงจางหายไป ก่อนจะเอ่ยถามเช่นนั้น
“อืม” ฉินเยียนหรานตอบตรง ๆ
“่นี้เ้าก่อเื่ไว้ไม่น้อยเลยนะ” ฉินเยียนหรานนึกอะไรขึ้นได้จึงกล่าวเช่นนั้น แม้จะแยกกับเย่เฟิงตอนอยู่ในแดนทดสอบหุบเขาเทียนเสวียน แต่ต่อมาเย่เฟิงก็สร้างวีรกรรมที่น่าใไม่น้อย แล้วฉินเยียนหรานจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า
ในงานประลองยุทธ์ เย่เฟิงทำลายการบ่มเพาะของเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ สังหารเฟิงเฉียนกับโจวมู่ไป๋ ทั้งยังท้าดวลกับผู้อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาในที่แห่งนั้น เื่เหล่านี้สร้างความผันผวนในสำนักยุทธ์เป็อย่างมาก แต่ก็เกิดขึ้นภายในวันเดียวและเป็ฝีมือของคนคนเดียว นี่ทำให้สถานการณ์วุ่นวาย หลังจากฉินเยียนหรานรู้เื่ราวเหล่านี้ก็ใมาก เมื่อก่อนนางเคยสั่งสอนเย่เฟิงโดยไร้ความเกรงกลัว แต่ไม่นึกว่าชายผู้นี้จะใจกล้าทำเื่เหล่านี้ได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็ใคร ตราบใดที่อีกฝ่ายล่วงเกินเขา เขาก็จะลงมือจัดการกับอีกฝ่ายโดยไร้ความปรานีใด ๆ
การแสดงของเย่เฟิงในงานประลองยุทธ์ทำให้หลายคนตกตะลึงกันมาก แต่หากสิ่งที่เกิดขึ้นในจัตุรัสแท่นศิลาเทียนเสวียนและหอวิชาแพร่กระจายออกไป คนเหล่านี้จะคิดอย่างไร?
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ข้าก็แค่ฆ่าคนไม่กี่คนเอง” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม
“แค่ฆ่าคนไม่กี่คนเองงั้นเหรอ?” ฉินเยียนหรานอึ้งกับคำพูดของเย่เฟิง แล้วคิดในใจว่า “หมอนี่เป็คนพูดอะไรไม่คิดเหรอ?”
“เ้ารู้ไหมว่าคนที่เ้าฆ่าเป็ใครบ้าง?” ฉินเยียนหรานเอ่ยถาม
“เฟิงเฉียนศิษย์สายตรงของผู้ทรงอำนาจสำนักยุทธ์ โจวมู่ไป๋ลูกหลานสายตรงตระกูลโจวแห่งเมืองหลวง เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ สามคนนี้น่ะหรือ?” เย่เฟิงกล่าวโดยไม่คิดอะไรมาก
“เ้านี่นะ” ฉินเยียนหรานไร้ซึ่งคำพูด นิสัยของเย่เฟิงจะแข็งกระด้างมากไปแล้ว ไม่สนใจสิ่งใด แต่มันก็ไม่ใช่เื่นี้
“ยังไงซะต่อไปเ้าต้องระวังตัวไว้หน่อย คนพวกนี้มีกองกำลังที่ทรงอิทธิพลหนุนหลังอยู่ พวกเขาคงคิดหาวิธีจัดการเ้าเป็แน่” ฉินเยียนหรานกล่าวเตือนเย่เฟิง ตอนนี้ทั้งสองถือว่าเป็สหายอย่างแท้จริง นางจึงไม่อยากเห็นเย่เฟิงมีอันเป็ไป
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า เขาพูดคุยกับฉินเยียนหรานสักพัก ก่อนจะกลับไปยังที่พักของตัวเอง จากนั้นไขว้ขานั่งลงบนเตียง ก่อนหน้านี้เขายืมทักษะหอกปลิดชีวีและคัมภีร์หล่อกายาเทพามาจากหอวิชา จึงอยากทำความคุ้นเคย ซึ่งทักษะหอกปลิดชีวีมีระดับความฝึกฝนที่ยากมาก มันมีทั้งหมดสามกระบวนท่า แต่ก็ใช่ว่าจะฝึกสำเร็จ และคนทั่ว ๆ ไปก็มิอาจเข้าถึงหัวใจหลักของมันได้
เย่เฟิงอยู่ภายในห้องไม่ออกไปไหนมาเป็เวลาสามวัน เขาจมอยู่ในสภาวะการเรียนรู้ทักษะหอกปลิดชีวีอย่างสมบูรณ์
วันที่สี่ เย่เฟิงออกจากห้องและทำการฝึกภาคสนาม
“ฟิ้ว!” รังสีหอกพาดผ่านห้วงอากาศ ทะลวงทุกสิ่ง
“ทักษะหอกปลิดชีวีกระบวนที่หนึ่ง หอกมรณะ” เมื่อหอกนี้ถูกแทงออกไป ท่ามกลางฟ้าดินจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
อีกสามวันต่อมา เย่เฟิงฝึกฝนจนคุ้นชินกับกระบวนที่หนึ่งหอกมรณะ เมื่อแทงหอกออกไป มันจะอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งความตายที่น่าสะพรึงกลัว ทั้งยังผสานด้วยอำนาจหอกขั้นผันแปร พลังจึงทวีคูณเป็เท่าตัว
“กระบวนที่หนึ่งหอกมรณะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทักษะหอกปลิดชีวีคุ้มค่าที่จะฝึกยิ่งนัก” เย่เฟิงคิดในใจพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ ขณะมองหอกทะลวงหินก้อนใหญ่
ห้าวันต่อมา เย่เฟิงฝึกฝนทักษะหอกปลิดชีวีกระบวนที่สองหอกตัดิญญา ด้วยความรู้ของเย่เฟิงที่มีต่อหอก จึงสามารถสำแดงหอกตัดิญญานี้ได้ ทั้งยังมีพลังที่น่าหวาดกลัว
เย่เฟิงเป็ผู้ใช้หอกมากความสามารถ หลังจากเรียนรู้อำนาจหอก เขาก็รู้สึกว่าตัวเองก็คือหอกเล่มหนึ่ง จึงสามารถเข้าใจสิ่งที่เกี่ยวกับหอกได้ทั้งหมด
สำหรับกระบวนที่สามหอกปลิดชีวี เย่เฟิงไม่ได้ฝึกต่อ เพราะเขารู้ว่าหอกปลิดชีวีไม่เพียงแต่ต้องใช้ความรู้และการฝึกฝนอย่างหนัก แต่ต้องอาศัยโอกาสและจังหวะในการฝึกหอกนี้ แต่โอกาสนี้ไม่ใช่ว่าจะสร้างขึ้นมาเองได้ ไม่เช่นนั้นทักษะหอกปลิดชีวีนี้ก็ไม่มีทางฝึกฝนยากถึงเพียงนั้น
อีกเจ็ดวันให้หลัง เย่เฟิงฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพาอย่างมุ่งมั่น พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า จนร่างกายและจิติญญาต้องทนกับความเ็ปและบททดสอบครั้งใหญ่ แต่ด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งที่มาจากทักษะหล่อิญญา ทำให้เย่เฟิงฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพาจนบรรลุขั้นเบื้องต้นภายในเจ็ดวัน
ซึ่งมันแตกต่างจากทักษะหล่อิญญา คัมภีร์หล่อกายาเทพาเน้นการขัดเกลาร่างกาย ส่วนทักษะหล่อิญญาเน้นการขัดเกลาจิติญญาของผู้ฝึกให้ถึงระดับจุดสุดยอด และมีพลังิญญามหาศาล และเมื่อมีพลังิญญาอันแกร่งกล้า ร่างกายก็จะแข็งแรงยิ่งขึ้น ดังนั้นหากฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพาถึงระดับสูง ก็จะได้รับร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้นไปอีก จนถึงขั้นมีร่างกายที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
คัมภีร์หล่อกายาเทพาเหมาะกับผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นยุทธ์เทวะ ซึ่งคัมภีร์หล่อกายาเทพาระดับสูง ร่างกายเพียงอย่างเดียวสามารถทนรับการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ได้
แต่เย่เฟิงรู้ว่ากระบวนขั้นตอนการฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพาจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้า มันไม่เร็วเท่าตอนที่เขาฝึกทักษะหล่อิญญา หากเขา้าฝึกคัมภีร์นี้ให้ถึงระดับเก้า เช่นนั้นระดับการบ่มเพาะของเขาก็ต้องอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ ซึ่งมันเป็เื่ที่ไกลเกินตัวมาก ๆ ตอนนี้เย่เฟิงยังมิอาจเข้าถึงระดับนั้นได้
ขั้นยุทธ์แท้ถือว่าเป็การดำรงอยู่สูงสุดของอาณาจักรจ้าว เช่นเดียวกับผู้าุโอย่างเฉินเซี่ยงเทียน เขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ระดับต้น แต่ผู้าุโส่วนใหญ่ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะอยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ จึงจินตนาการได้เลยว่า การดำรงอยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้จะน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้