เมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น เย่เฟิงก็ยิ้มแสยะด้วยความเ็า เขาไม่พูด และไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ใช้เพียงสายตาจ้องมองมาเงียบ ๆ
“วอนซะแล้ว!” ชายผู้นั้นตวาดอย่างเกรี้ยวกราด ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายากล้าดีอย่างไรมาต่อต้านเขา ในเมื่อเป็เช่นนั้น คงต้องสั่งสอนเ้าสวะไม่รู้ที่ตายนี่ซะแล้ว เขาอัดพลังหยวนใส่ฝ่ามือ พลางดวงตาฉายแววยิ้มเยาะออกมาอย่างเืเย็น แล้วฟาดฝ่ามือไปที่ร่างของเย่เฟิง พลังของมันช่างน่าเกรงขามมาก แต่ฝูงชนกลับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเย่เฟิงยืนนิ่งอยู่กับที่ เผชิญหน้ากับการโจมตีอันทรงพลังของชายผู้นั้น โดยไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย
“ชายผู้นี้จะใจกล้าเกินไปแล้ว!” เมื่อเห็นท่าทีของเย่เฟิง ความคิดที่คล้ายกันก็เกิดขึ้นในใจของทุกคน การโจมตีของขั้นรวมชี่น่ากลัวมาก แม้ว่าเย่เฟิงจะมีพลังอยู่บ้าง แต่ชายผู้นี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เย่เฟิงจะประมาทได้ เขาไม่ควรเพิกเฉยต่อการโจมตีของอีกฝ่าย
“ปัง!” ขณะที่ฝูงชนคิดว่าเย่เฟิงคงต้องจ่ายค่าตอบแทนในความชะล่าใจของตนอยู่นั้น การโจมตีของชายผู้นั้นก็มาถึงตัวเย่เฟิงแล้ว หลังเสียงดังสนั่นเกิดขึ้น เย่เฟิงยังคงยืนนิ่งเป็ูเาไท่ซาน บนร่างกายนั้นมีแสงป้องกันที่น่ากลัวไหลเวียนอยู่ พลังฝ่ามือของชายผู้นั้นสลายหายไปในพริบตา สีหน้าของชายผู้นั้นเปลี่ยนไปในทันที เขารู้สึกปวดร้าวไปทั่วแขน เหมือนเพิ่งชกหินั์มาอย่างไรอย่างนั้น การโจมตีของเขาไม่สามารถสั่นคลอนอีกฝ่ายได้
“ช่างเป็การโจมตีที่อ่อนแอเสียจริง!” เย่เฟิงกล่าวเสียดสี ดวงตาที่เ็าจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มคนนั้น “ลองกินนี่ดูซะ!”
เมื่อสิ้นเสียง ฝูงชนเห็นรังสีหมัดอันน่าสะพรึงกลัวปะทุออกมาจากด้านหน้าของเย่เฟิง ซึ่งเต็มไปด้วยพลังทําลายล้างที่ไม่มีจุดสิ้นสุด สายลมพัดโหมกระหน่ำในอากาศ ชายผู้นั้นหน้าถอดสีขึ้นมาทันใด เขาไม่คิดว่าเย่เฟิงจะไม่เป็อะไร แม้จะถูกเขาะเิพลังใส่ก็ตาม
เขาคิดจะหลบตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว รังสีหมัดนั่นทะลวงทุกสิ่ง ก่อนพุ่งโจมตีร่างเขา พลันพลังทําลายล้างแพร่กระจายไปทั่วร่างกายในทันที ทําให้ร่างกายของชายผู้นั้นสั่นสะท้านอย่างรุนแรงก่อนปลิวกระเด็นออกไป หน้าอกของเขาเป็รอยบุ๋มลงไป ไม่รู้ว่ามีกระดูกหักกี่ท่อน แต่เห็นได้ชัดว่าตายคาที่!
“พลังป้องกันของเย่เฟิงน่าทึ่งมาก สามารถรับการโจมตีของขั้นรวมชี่ได้อย่างไม่มีปัญหา แถมชายคนนั้นยังถูกสังหารในหมัดเดียวอย่างหมดจด ไม่เปิดช่องว่างเลยแม้แต่น้อย” บางคนในฝูงชนอ้าปากค้าง สีหน้าดูเป็ประกายและแอบชื่นชมความแข็งแกร่งของเย่เฟิงในใจ คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าด้วยใจสั่นระรัว ในบรรดาขั้นบ่มเพาะกายาที่พวกเขาเคยเห็นมา การป้องกันทางกายภาพของเย่เฟิงนั้นน่ากลัวที่สุด ระดับขั้นบ่มเพาะกายาแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ ไม่แปลกใจที่ฟู่หยิงถึงต่อกรกับเขาไม่ได้
ดวงตาคู่สวยของฟู่หยิงเป็ประกาย เมื่อเห็นเย่เฟิงแสดงความสามารถของตัวเองออกมา ในใจนางก็ยิ่งสับสน เมื่อนึกถึงคำพูดของตัวเองก่อนหน้านี้ก็ยิ่งรู้สึกอับอายเป็เท่าทวี
“ยังมีใครอยากสู้กับข้าอีกหรือไม่?” ในแดนมรดก เย่เฟิงกวาดสายตามองคนอื่น ๆ แล้วเปิดปากถาม เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างสบตากัน แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูด ด้วยความแข็งแกร่งของเย่เฟิงนั้น หากพวกเขาเข้าไปหาเื่ก็เหมือนกับรนหาที่ตาย
เมื่อเห็นผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ทำตัวเป็เต่าหัวหด เย่เฟิงก็เหยียดยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปมองแดนมรดกแถวที่สอง พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็อย่างที่เขาคาดไว้ แดนมรดกยิ่งถึง่ท้าย การแข่งขันก็ยิ่งโเี้มากขึ้น แดนมรดกส่วนสามถูกปิดกั้น เพราะแต่ละที่สามารถรองรับได้แค่หนึ่งคน เื่นี้สร้างความลําบากเป็อย่างมากในการแย่งชิงมรดกสูงสุด หากอยากได้ก็ต้องเหยียบพวกนี่จ้านเทียนขึ้นไปเสียก่อน มิฉะนั้นคงเป็เื่ยาก
“พี่เย่ หากสิ้นสุดการเรียนรู้แดนมรดกแถวที่หนึ่ง ท่านวางแผนจะทำอะไรต่อหรือ” ตอนนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากใกล้ ๆ ผู้พูดก็คือเซี่ยจวิ้นหลง หลังจากเซี่ยจวิ้นหลงตื่นขึ้นก็พบว่าแดนมรดกแถวที่สองถูกปิดเสียแล้ว
“เตรียมเข้าแถวที่สอง” เย่เฟิงตอบกลับเสียงเรียบ ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยระลอกคลื่นอารมณ์ราวกับว่าแค่บอกเล่าเื่ราวธรรมดา
แต่เมื่อคำพูดของเขาลอยเข้าหูฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ กลับทำให้แต่ละคนตาลุกวาวขึ้นมา
เย่เฟิงบอกว่าเตรียมเข้าแดนมรดกแถวที่สอง นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะบุกแดนมรดกแถวที่สองหรือ?
เมื่อคิดได้ดังนั้นทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ หากเป็ไปตามที่เย่เฟิงพูด แสดงว่าเย่เฟิงผู้นี้ไม่อาจใช้คำว่าเย่อหยิ่งมาอธิบายนิสัยของเขาได้ ใช้คำว่าหยิ่งผยองจะเหมาะกว่า
สามคนที่อยู่ในแดนมรดกแถวที่สอง มีใครบ้างที่ไม่ใช่สุดยอดอัจฉริยะ? คนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่ขั้นบ่มเพาะกายาอย่างเย่เฟิงจะต้านทานได้ การที่เย่เฟิงกล่าวเช่นนี้ เท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ
“ข้านึกแล้วเชียวว่าพี่เย่ต้องพูดเช่นนี้” เซี่ยจวิ้นหลงพยักหน้าพลางยิ้ม ๆ แม้เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็เข้าใจนิสัยของเย่เฟิงดี ชื่นชอบความท้าทาย ไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ คนประเภทนี้มีแนวโน้มขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้อย่างมั่นคง
บัดนี้แดนลับปรากฏ แล้วมีหรือเย่เฟิงจะไม่เข้าร่วมการแข่งขัน?
“เมื่อเป็เช่นนั้น ข้าเซี่ยจวิ้นหลงจะเคียงข้างพี่เย่เข้าแดนมรดกแถวที่สองไปด้วยกัน!”
เซี่ยจวิ้นหลงกล่าวพลางยิ้มก่อนจะก้าวไปยังที่ที่ฟู่เจินอยู่
“หมอนี่...”
เย่เฟิงจ้องมองแผ่นหลังของเซี่ยจวิ้นหลงด้วยดวงตาเป็ประกาย เพราะพอจะรู้เื่บุญคุณความแค้นของสองคนนี้ดี ในสายตาของเย่เฟิงนั้น ฟู่เจินแข็งแกร่งกว่าเซี่ยจวิ้นหลงมาก หากเซี่ยจวิ้นหลงลงมือในตอนนี้ อาจพบกับความสูญเสียก็เป็ได้
ที่โลกภายนอก ภาพที่เซี่ยจวิ้นหลงมุ่งหน้าไปหาฟู่เจินนั้นตกอยู่ในสายตาของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์วังเทพโอสถทั้งหมด แต่ละคนจึงแสดงแววตาที่คมกริบออกมา
“สวะนี่ใจใหญ่นัก ถึงกับกล้าหาเื่ฟู่เจิน ช่างรนหาที่เสียจริง!”
ฟู่หยางกล่าวอย่างเ็า เขาเชื่อมั่นในตัวบุตรชายของตัวเองมาก ถึงกับเรียกเซี่ยจวิ้นหลงว่าสวะ
ประโยคนั้นทำให้เซี่ยชิงซานไม่พอใจขึ้นมา และตวัดสายตาเ็ามองไปทางฟู่หยาง แต่ในใจก็คิดว่าเซี่ยจวิ้นหลงหุนหันพลันแล่นเกินไปแล้ว
ฟู่เจินแข็งแกร่งกว่าเซี่ยจวิ้นหลงมาก การลงมืออย่างประมาทเช่นนี้ ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด
“มองอะไร? ถ้าจะโกรธก็จงโกรธลูกชายของเ้าสิ ฟู่เจินเป็เ้าของมรดกสูงสุด แต่เ้าเด็กนั่นกลับริอ่านคิดแย่งชิง สมควรตาย!”
ฟู่หยางสังเกตเห็นแววตาของเซี่ยชิงซานจึงกล่าวอย่างเ็า ด้วยน้ำเสียงมิเกรงใจ
“ฟู่หยาง ท่านอย่าได้ใจไปหน่อยเลย จวิ้นหลงเขาอายุน้อยกว่าฟู่เจิน แต่ความแข็งแกร่งไม่ได้ห่างจากลูกชายของท่านนัก ถึงจวิ้นหลงจะเอาชนะฟู่เจินไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้!”
เซี่ยชิงซานโต้กลับอย่างเยือกเย็น เฒ่าประมุขใกล้สิ้นอายุขัย เกรงว่าการต่อสู้ระหว่างเขากับฟู่หยางคงใกล้จะทราบผลเร็ว ๆ นี้
“ฮ่า ๆ ๆ งั้นพวกเรามาดูกัน!”
ฟู่หยางแสยะยิ้ม จากนั้นไม่สนใจเซี่ยชิงซานต่อ แต่ในใจเขาเริ่มคาดหวังว่าฟู่เจินจะได้รับมรดกสูงสุด