เนื่องจากเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในตำหนักโซ่วอันในวันนั้น ใน่ไม่กี่วันมานี้ ไทเฮาจึงมักจะฝันร้ายทุกคืน ราวกับถูกตามหลอกหลอนไม่มีสิ้นสุด เช้าจรดค่ำล้วนนอนไม่หลับ เชิญหมอจากทั่วทุกสารทิศเข้ามาตรวจอาการก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
มันหนักมากเสียจนยามนี้นางอยู่ในสภาพไร้ชีวิตชีวาตลอดทั้งวัน สามารถนอนหลับได้เพียง่เวลาสั้นๆ ในระหว่างวันเพื่อเติมพลังชีวิตของตนเพียงเท่านั้น
ดังนั้นแม้ว่าไทเฮาจะทรงมีพระประสงค์ที่จะค้นหาความผิดของมู่จื่อหลิง นางก็ยังไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่ครั้งนี้นางไม่คิดว่ามู่จื่อหลิงจะหาเื่มาให้นางด้วยตนเอง
ในตำหนักโซ่วอัน ในยามที่ไทเฮาเพิ่งผล็อยหลับไปเพียงครู่เดียว ทันใดนั้นก็ถูกนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามาปลุกนางด้วยท่าทางเร่งรีบ
เนื่องจากไม่ง่ายเลยที่นางจะนอนหลับ จู่ๆ ก็ต้องตื่นขึ้นมา ไทเฮาจึงโกรธกริ้วทันที
แต่เมื่อเห็นว่าผู้ใดกำลังเข้ามา ไทเฮาก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ นางกำนัลคนนั้นคือชิวเยวี่ย นางกำนัลส่วนพระองค์ขององค์หญิงอันหย่า
เนื่องจากอาการเจ็บป่วยขององค์หญิงอันหย่า ชิวเซียงและชิวเยวี่ยจึงอยู่ข้างกายนางเสมอ ฮองเฮาทรงรู้ว่าการที่ชิวเยวี่ยจะเข้ามาด้วยท่าทางที่กระสับกระส่ายทั้งยังมีการกระทำที่หยาบกระด้างเช่นนี้ได้ จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับหย่าเอ๋อร์ของนางเป็แน่
ตามที่คาดการณ์ไว้
ทันทีที่นางได้ยินรายงานของชิวเยวี่ย ได้รู้ว่าองค์หญิงอันหย่าเกิดอาการประชวรอีกครั้ง ไทเฮาก็รีบลุกขึ้นจากพระที่นั่งอันอ่อนนุ่ม ตรัสอย่างกังวลว่า “อะไร? หย่าเอ๋อร์เป็อย่างไรบ้าง มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?”
ไทเฮาหันไปสั่งขันทีชราข้างกายนางอย่างกระวนกระวายใจโดยไม่รอให้ชิวเยวี่ยตอบคำถาม “ซุนกงกง จงรีบไปสำนักหมอหลวงแล้วส่งหมอหลวงออกจากวังไปดูเร็วเข้า”
ขันทีเฒ่ารับคำสั่งด้วยความเคารพแล้วจากไป
ไทเฮาเหลือบมองชิวเยวี่ย ที่ยังคงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของนาง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น “บอกมา เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ จะเจ็บป่วยได้อย่างไร?”
“กราบทูลไทเฮา เป็ฉีหวางเฟย นางมาแต่เช้าตรู่...” ชิวเยวี่ยตัวสั่นด้วยความกลัว นางเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้าอย่างสั่นสะท้าน
ในเวลาไม่ถึงอึดใจ ชิวเยวี่ยก็ทำให้มู่จื่อหลิงกลายเป็ผู้ที่สร้างปัญหาที่ประตูวังหลวงในตอนเช้าตรู่ ทั้งยังเป็ผู้ที่ดูิ่และสร้างความอับอายให้กับองค์หญิงอันหย่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในท้ายที่สุดยังเล่าว่าอาการหัวใจวายขององค์หญิงอันหย่าก็เกิดจากมู่จื่อหลิง
ทุกคนที่ประตูวังหลวงรู้ดีว่าที่จู่ๆ องค์หญิงอันหย่าล้มป่วยลงไป เป็เพราะนางใกับการะเิของรถม้าอย่างกะทันหัน แต่ชิวเยวี่ยกลับผลักทุกอย่างให้เป็ความผิดของมู่จื่อหลิง
ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่ต้องห้ามที่สุดสำหรับไทเฮาคือเื่ของฉีอ๋อง เขาเป็ดั่งหนามพิษที่ทิ่มแทงใจของไทเฮา แต่ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็ไม่อาจดึงมันออกมาได้
ดังนั้น ชิวเยวี่ยจึงหลีกเลี่ยงความจริงที่ว่าฉีอ๋องก็อยู่ที่นั่นด้วย นอกจากนี้ องค์หญิงของพวกนางก็ชื่นชอบฉีอ๋อง ดังนั้นนางจะปล่อยให้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาได้อย่างไร
และหากไทเฮาทรงทราบ ความฝันขององค์หญิงที่จะได้สมรสกับฉีอ๋องก็จะยิ่งห่างไกลออกไป
ทันทีที่มีการกล่าวถึงมู่จื่อหลิง ไทเฮาก็โกรธขึ้นมาทันที ดวงตาของนางลุกเป็ไฟด้วยความโกรธ “บังอาจ บังอาจยิ่งนัก มู่จื่อหลิงผู้นี้จะกล้าหาญเกินไปแล้ว กล้ามากที่มาลงมืออยู่บนหัวของอายเจียในยามนี้”
ก่อนหน้านี้ไทเฮาทรงคิดอย่างไร้เดียงสาว่านางจะสามารถใช้ประโยชน์จากเื่ของหลงเซี่ยวหนานมาจัดการกับมู่จื่อหลิงได้ แต่นางคาดไม่ถึงว่าในเวลาเพียงไม่กี่วัน ฮ่องเต้เหวินอิ้นจะมีรับสั่งให้นางไขคดีนี้ด้วยตนเอง ทั้งยังขอให้นางรักษาหลงเซี่ยวหนานอีกด้วย
ไม่รู้ว่าเ้าแผ่นดินผู้สง่างามแห่งแคว้นคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยอมปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดได้สืบคดีที่ตนอาจเป็ผู้ก่อขึ้นด้วยตนเอง มันช่างเป็เื่ตลกที่สุดในใต้หล้า
ในเวลานั้น ไทเฮากำลังอยู่ใน่ที่ถูกฝันร้ายเข้าจู่โจมจนทุกข์ทรมาน แต่เมื่อนางได้ยินข่าวนี้ นางก็แทบะเิออกมาด้วยความโกรธ ทั้งยังมุ่งตรงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหวินอิ้นเพื่อตำหนิเขาต่อหน้า
การตำหนิของไทเฮาไม่ใช่เพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงทัศนคติอย่างกะทันหันของฮ่องเต้เหวินอิ้นเท่านั้น แต่ยังเป็เพราะการตามใจมู่จื่อหลิงของเขาด้วย
มู่จื่อหลิงไม่เพียงช่วยหลงเซี่ยวหนานได้เท่านั้น แต่ก่อนที่คดีจะคลี่คลายลง ฮ่องเต้เหวินอิ้นยังได้ประทานรางวัลให้แก่มู่จื่อหลิงเป็ป้ายทองอภัยโทษ [1] เช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเื่หนอนกู่ไม่เพียงไม่เกี่ยวข้องกับมู่จื่อหลิงเท่านั้น แต่มันยังเป็ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สำหรับนางในการช่วยชีวิตหลงเซี่ยวหนาน หากมู่จื่อหลิงทำการทรยศในวันหน้า นางก็จะมีโอกาสได้รับการอภัยโทษ
อภัยโทษ? มู่จื่อหลิงเปรียบเสมือนมดที่ไม่สามารถตีให้ตายได้ หากเกิดเื่เล็กๆ นางสามารถหลบหนีไปได้ ในขณะที่เื่ใหญ่นั้นไม่อาจหลีก แต่ของสิ่งนี้มันจะทำให้นางมีโอกาสที่จะช่วยตนเองได้
เพียงมีหลงเซี่ยวอวี่ที่ทรงพลังก็พอที่จะทำให้ไทเฮาหงุดหงิดได้แล้ว แต่ยามนี้ยังมีมู่จื่อหลิงอีกคนที่ทั้งเย่อหยิ่งและไม่ยอมผู้ใด ทั้งยังสามารถแก้ปัญหาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า สามารถหลบหนีไปได้อย่างเงียบๆ แค่คิดก็ช่างเหลือทน
ต้องรู้ว่าเื่ที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นปล่อยตัวมู่จื่อหลิงนั้นไม่ใช่เื่ดีสำหรับไทเฮาอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดสำหรับไทเฮาก็คือ นางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหวินอิ้นอย่างอุกอาจเพื่อโต้เถียง
แต่ในเวลานั้นฮ่องเต้เหวินอิ้นกลับมีทัศนคติที่เยือกเย็นและแข็งกร้าวต่อเื่นี้ ไม่อาจปฏิเสธได้ ด้วยพระบารมีของฮ่องเต้ ทำให้นางไม่อาจโต้แย้งออกไปโดยตรง หักล้างไม่ได้จริงๆ
รู้ไหมว่านี่เป็ครั้งแรกที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นวางมาดจริงจังและสง่างามของฮ่องเต้ผู้เคร่งขรึม ไม่ยอมเชื่อฟังความประสงค์ของไทเฮา จะเห็นได้ว่า ในขณะนั้นไทเฮาเต็มไปด้วยความโกรธและเสียใจ
แต่ เ้าแผ่นดินอย่างไรก็ยังเป็เ้าแผ่นดิน เผชิญกับความยิ่งใหญ่เบื้องหน้าพระยุคลบาทของพระองค์ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ต่อให้ไทเฮาจะร้อนเป็ไฟอย่างไรก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงจมูกถูฝุ่น [2] ไม่อาจทำอะไรมากไปกว่านั้นได้
ในยามนั้นไม่ว่าไทเฮาจะคิดอย่างไรนางก็ไม่สามารถเข้าใจได้ สิ่งที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นเกลียดมากที่สุดคือเื่ที่เกี่ยวข้องกับกู่ เหตุใดทัศนคติของเขาที่มีต่อมู่จื่อหลิงจึงเปลี่ยนไปในทันทีทันใด?
คาดเดาไปก็ไม่มีประโยชน์
ในท้ายที่สุด มู่จื่อหลิงก็สามารถพลิกกลับเื่นี้ได้อย่างสมบูรณ์
...จวบจนต่อมา ไทเฮาไม่มีความหวังที่จะใช้เื่นี้เพื่อกำจัดมู่จื่อหลิงอีกต่อไป
เมื่อพูดถึงมู่จื่อหลิง...ทันใดนั้น ไทเฮาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ห้องบรรทมของนางต้องคำสาปในวันนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่คลานไปมาราวกับหนอน
หลังจากเหตุการณ์นี้ มันเป็สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในใจนางเสมอมา เป็เพราะเหตุนี้เอง สิ่งนี้ทำให้นางต้องทนทุกข์ทรมานจากการนอนไม่หลับในยามค่ำคืน ต้องทนทุกข์จากฝันร้ายทุกคืนวัน
ครั้งล่าสุดที่มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นในตำหนักโซ่วอัน หลังจากนั้นไม่นานก็ไม่พบเบาะแสใดๆ จนนางต้องเชิญผู้วิเศษเข้ามา แต่มีเพียงการเผาตำหนักโซ่วอันทิ้งเท่านั้น ถึงจะทำให้นางดีขึ้นได้ สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยให้อาการป่วยของนางดีขึ้นได้เลย
และบังเอิญวันนั้นมู่จื่อหลิงก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่ที่แย่ที่สุดคือหลินมามาที่เสียชีวิตไปอย่างเลวร้าย หนอนส่วนใหญ่รวมตัวกันบนร่างกายของนาง และสุดท้ายนางก็ถูกหนอนที่น่าขยะแขยงเ่าั้กัดกินจนไม่เหลือซาก
ต้องรู้ว่าหลินมามาเป็คนทรมานมู่จื่อหลิงในวันนั้น จนถึงยามนี้ ไทเฮาก็ไม่เคยลืมสายตาแข็งกร้าวและเ็าของมู่จื่อหลิงในวันนั้นได้เลย ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่มีความหมายลึกซึ้งอยู่ในนั้น
การที่ยายเด็กเหลือขอตัวเล็กมีแววตาข่มขู่ที่ดูน่ากลัวเช่นนั้นมันช่างน่าสะพรึงกลัว
ไทเฮาใช้มือข้างหนึ่งค้ำลงไปบนโต๊ะเตี้ย ใช้มืออีกข้างลูบขมับเนื่องจากอาการปวดหัว
สำหรับเหตุการณ์ในวันนั้น แม้ว่าไทเฮาจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่คิดถึงมัน เพราะไม่อยากระลึกถึงภาพที่เลวร้ายและน่าขยะแขยงนั่นอีก แต่เื่นั้นกลับเป็เหมือนฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอนนางตลอดเวลา ทรมานนางจนแทบบ้า
เพียงแต่ว่ายิ่งไทเฮาครุ่นคิดก็ยิ่งแปลก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ...
แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว นางจะเชื่อว่าตำหนักโซ่วอันถูกสาป แต่กลับรู้สึกราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยฝีมืุ์ แต่ก็ไม่มีร่องรอยใดๆ
เนื่องจากข่าวลือเื่คำสาปแช่งนี้ เป็เหตุให้ผู้คนในเมืองหลวงปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับนางใน่นี้ด้วยใช่หรือไม่?
กระทำชั่วไว้มากมาย? หญิงจิตใจดั่งงูพิษ [3]? แม้ว่าไทเฮาจะร้อนรน นางก็ไม่สามารถปิดกั้นเสียงของประชาชนได้ นางทำได้เพียงทนทุกข์ทรมานอย่างไม่อาจพูดสิ่งใดได้
สิ่งที่ไทเฮา้ามากที่สุดในยามนี้คือการค้นหาสาเหตุของเหตุการณ์นั้น
บางสิ่งในเื่เหล่านี้ มันมีจุดที่ประสานกันอยู่ มีการเชื่อมต่อกันอย่างแ่า เป็ขั้นเป็ตอน
นี่มันฝีมืุ์ชัดๆ
นอกจากนี้ ไม่ว่ามันจะบังเอิญเพียงใด มันก็เป็ไปไม่ได้ที่จะบังเอิญถึงเพียงนั้น ตำหนักโซ่วอันจะถูกสาปโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?
ั์ตาที่แคบลงเล็กน้อยของไทเฮาพลันเบิกโพลงในทันใด
มู่จื่อหลิง เป็ไปได้ไหมที่...มู่จื่อหลิงทำสิ่งนั้น?
หากมู่จื่อหลิงมีความสามารถในการแสร้งเป็เทพเซียนเล่นมาร [4] ได้จริง ทั้งยังมีความสามารถในการใช้กู่และสัตว์ประหลาด ก็เป็ไปได้ว่านางเป็ผู้ทำคำสาปใส่ตำหนักโซ่วอัน
กล่าวได้ว่า สิ่งที่ไทเฮาคิดนั้นไม่ผิด ทำให้ตำหนักโซ่วอันกระสับกระส่าย ทรมานนางจนนอนไม่หลับ จนนางผ่ายผอมลง เป็มู่จื่อหลิงที่ทำมันจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงว่านางมีความสามารถในการแสร้งเป็เทพเซียนเล่นมารหรือไม่ ด้วยนางมีความสามารถพิเศษในการใช้กู่และสัตว์ประหลาดอยู่จริงๆ
ยิ่งคิดยิ่งใจสั่น ยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่ม นางแทบจะกัดฟันด้วยความโกรธ หวังว่านางจะกำจัดมู่จื่อหลิงลงได้ในเร็ววัน
แต่ครั้งนี้...ไทเฮาไม่คาดคิด นางยังไม่ได้ไปหามู่จื่อหลิงเลย ในยามนี้มู่จื่อหลิงก็พาตนเองมาหาถึงหน้าประตูเสียแล้ว
มู่จื่อหลิงไม่เพียงแต่ส่งตนเองมาถึงหน้าประตูเท่านั้น แต่ยามนี้ นางยังกล้าที่จะรังแกหลานสาวผู้สูงส่งของนางในที่สาธารณะ ทั้งยังทำให้นางล้มป่วย ทำให้หลานสาวสุดที่รักของนางเ็ปไปถึงกระดูก ซึ่งนางไม่อาจทนได้จริงๆ
ไทเฮายกพระหัตถ์ขึ้นอย่างขมขื่น ผิวของนางเข้มขึ้น ก่อนที่นางจะตบโต๊ะอย่างแรง “เข้ามา ไปพาตัวฉีหวางเฟยมาพบอายเจีย หากนางต่อต้าน สามารถลงมือกดดันได้โดยตรง”
ไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งรับคำสั่งและรีบออกไป
เมื่อมองไปยังกลุ่มองครักษ์ที่เดินออกจากประตูไปแล้ว ไทเฮาก็กำหมัดแน่น ดวงตาของนางเปล่งประกายโเี้ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับหลานสาวแสนล้ำค่าของนางในครั้งนี้ มู่จื่อหลิง...อายเจียจะไม่มีวันให้อภัยเ้า
เมื่อคนที่ไทเฮาส่งออกไปถึงนอกวังและเข้าตรวจสอบสถานการณ์ ยามที่พวกเขาคิดว่าจะนำตัวมู่จื่อหลิงเข้าวัง สิ่งที่เหลืออยู่สำหรับพวกเขาคือภาพติดตาของรถม้าที่หายวับไปเพียงเท่านั้น
ที่นั่นช่างว่างเปล่า ถึงจะอยากไล่ตามก็ไม่อาจทำได้ ทำได้เพียงย้อนกลับไปกราบทูลเหตุการณ์ต่อไทเฮาเท่านั้น
ในจุดที่มีเศษซากของเศษไม้กระจัดกระจายอยู่นั้น เหลือเพียงผู้หญิงหมดสติสองคนและนางกำนัลที่กำลังร้องไห้อยู่
องค์หญิงอันหย่าซึ่งมีอาการหัวใจวายได้รับการรักษาเบื้องต้นอย่างเร่งด่วนโดยหมอหลวงแต่กลับไม่ประสบผลสำเร็จ ก่อนจะถูกนำตัวเข้าวังไปอย่างเร่งรีบ
ในยามที่หมอหลวงหลายคนตรวจอาการาเ็ที่ปากและร่างกายของมู่อี๋เสวี่ย พวกเขาทั้งหมดล้วนส่ายหัวด้วยความกลัว ทั้งยังรู้สึกเ็ปยามจ้องมองมัน
โเี้ โเี้มาก โเี้จริงๆ!
ร่างกายของมู่อี๋เสวี่ยมีรอยฟกช้ำอย่างรุนแรง บางส่วนเสียหายไปถึงกระดูกบนหลังของนาง ริมฝีปากนุ่มๆ ทั้งสองข้างเกือบจะถูกตัดขาดออกไป ทั้งยังมีเืไหลไม่หยุด
หมอหลวงหลายคนมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ ดูเหมือนว่าหญิงสาวที่สวยและมีเสน่ห์ผู้นี้กำลังจะเสียโฉม
หลังจากที่หมอหลวงจัดการพันแผลอย่างง่ายๆ ให้แก่มู่อี๋เสวี่ยแล้ว นางก็ถูกส่งตัวกลับไปที่จวนจงอี้โหวทั้งที่ยังหมดสติ...
-
มีความโกลาหลครั้งใหญ่นอกวังใน่เช้าตรู่ ฮ่องเต้เหวินอิ้นย่อมได้รับข่าวเช่นกัน
ไม่เพียงแต่เขาได้รับข่าวเท่านั้น แต่พระองค์ยังได้ยินเสียงเอะอะโวยวายนอกวังอีกด้วย ซึ่งเป็่ที่กำลังจะออกจากท้องพระโรงพอดี
เสียงดังก้องกังวาน แพร่กระจายมาถึงตำหนักจินหลวน ทำให้ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ที่กำลังจะกลับออกไปตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง
ฮ่องเต้เหวินอิ้นยังคิดสงสัยว่าผู้ใดที่กล้าพอที่จะสร้างปัญหาที่หน้าประตูวัง จนทำให้เกิดเสียงะเิดังลั่น หรือนี่จะเป็ส่วนหนึ่งของการฏ!
หากการเคลื่อนไหวนี้เกิดจากเ้าเด็กซุกซนหลงเซี่ยวเจ๋อที่กำลังก่อปัญหา เช่นนั้นเขาคงต้องลงโทษหลงเซี่ยวเจ๋ออีกครั้งแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้เหวินอิ้นได้ยินว่าหลงเซี่ยวอวี่เป็ต้นเหตุของการเคลื่อนไหว ดังนั้นเขาจึงทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นยามที่มีรายงานส่งเข้ามา แสร้งทำเป็หูหนวกตาบอด ปล่อยผ่านมันไปอย่างรวดเร็ว
หลงเซี่ยวอวี่เป็ลูกชายที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นมีความมั่นใจและเป็ห่วงมากที่สุด
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ป้ายทองอภัยโทษ (免死金牌) เป็ของสิ่งหนึ่งที่ฮ่องเต้มอบให้ขุนนางที่มีคุณูปการต่อบ้านเมือง ขุนนางที่ป้ายนี้ ไม่ว่าทำอะไรผิดก็จะได้รับการละเว้นโทษปะาชีวิต อีกทั้งป้ายนี้ยังสามารถสืบทอดส่งต่อได้ชั่วลูกชั่วหลานอีกด้วย
[2] จมูกถูฝุ่น (鼻子灰) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า โดนปฏิเสธแล้วทำตัวไม่ถูก
[3] หญิงจิตใจดั่งงูพิษ (蛇心毒妇) ดัดแปลงมาจากบทกลอน 最毒妇人心 ในนวนิยายเื่ 《封神演义》 อุปมาถึงผู้หญิงที่มีจิตใจชั่วร้าย
[4] แสร้งเป็เทพเซียนเล่นมาร (装神弄鬼) เป็สำนวน มีความหมายว่า ทำให้เกิดการเข้าใจผิด หรือหลอกลวงผู้คนด้วยเล่ห์เพทุบาย