ใน่บ่ายก็ไม่มีเื่ตื่นเต้นอะไรเกิดขึ้นอีก แม้วันนี้แต่ละรายวิชาจะยังไม่ได้เรียนอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ทำให้สมองน้อย ๆ ของอนงค์กานต์ล้าไปมากเหมือนกัน เมื่อโบกมือลาเพื่อน ๆ ในตอนเย็นแล้ว เธอก็ไปยืนรอรถรับส่งนักเรียนเพื่อกลับบ้าน
ตอนเช้าอนงค์กานต์นั่งรถออกมาพร้อมกับแม่แต่เช้ามืด ส่วนตอนเย็นเธอจะนั่งรถรับส่งนักเรียนของหมู่บ้านกลับเองไม่ต้องให้พ่อและแม่เหนื่อยมารับ
รถรับส่งนักเรียนยุคนี้ไม่ใช่รถตู้มาตรฐานอย่างที่เคยเห็นเมื่อชาติก่อน แต่จะเป็รถกระบะใส่หลังคาทรงสูง มีที่นั่งเป็เบาะยาววางขนานไปกับขอบกระบะทั้งสองฝั่ง และยังมีม้านั่งเสริมวางไว้ตรงกลางของกระบะอีกด้วย สามารถจุคนได้ถึง 20 คนเลยทีเดียว แต่หากมีคนโดยสารมากกว่านี้ พวกผู้ชายก็จะเสียสละปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคารถแทน ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในยุคที่สังคมโซเชียลโหมกระหน่ำแบบในชาติก่อน น่ากลัวน่าโดนบุลลีกันอย่างหนักในโลกออนไลน์
แต่ในยุคนี้ถือว่าเป็เื่ปกติ ไม่ว่าจะเป็รถรับส่งคันไหนก็เห็นภาพแบบนี้ คือคนนั่งเบียดกันในกระบะก็เบียดไป บ้างยืนโหนท้ายตรงบันไดรถอีก 3-4 คนก็ไม่หวั่น รวมถึงอีก 5-6 คนที่นั่งโต้ลมอยู่บนหลังคารถด้วย บางทีเจอรถรับส่งวิ่งสวนทางกัน คนที่นั่งบนหลังคาก็โบกมือทักทายออกไปอย่างสนุกสนาน แต่เธอก็ไม่เคยเห็นข่าวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับการนั่งรถแบบนี้เลยสักที หรืออาจเป็เพราะเธอไม่ค่อยสนใจติดตามข่าวสารต่าง ๆ รอบตัวก็เป็ได้ถึงไม่เคยได้ยินเื่ทำนองนี้
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่ารถจะวิ่งถึงหมู่บ้าน เนื่องจากต้องจอดแวะส่งนักเรียนรายทางจึงใช้เวลานานกว่าปกติ เล่นเอาอนงค์กานต์ถึงกับเปลี้ย เมื่อทั้งพ่อและแม่เห็นสภาพหมดแรงของลูกสาวก็ร้อนใจ เร่งหาน้ำให้ดื่มและใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าและแขนให้ “นั่งรถเหนื่อยมากเลยใช่ไหมลูก” ั้แ่เด็ก ลูกสาวเขาเรียนในหมู่บ้านตลอด ตอนเช้าและเย็นก็นั่งซ้อนท้ายจักรยานเขาไปกลับทุกวัน ใช้เวลาเดินทางแค่ห้านาทีเท่านั้น หรือถ้าเข้าไปในตัวอำเภอหรือตัวจังหวัดก็นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไป หรือถ้านั่งรถโดยสารเข้าเมืองส่วนมากจะนั่งตอนวันหยุด ผู้โดยสารไม่เยอะ และมีพวกเขาสามีภรรยาคอยดูแลอยู่ตลอด นี่เป็ครั้งแรกลูกสาวนั่งรถกลับมาคนเดียว “พ่อว่าให้พ่อขับรถไปรับตอนเย็นดีกว่า จะได้นั่งกลับมาสบาย ๆ”
"ไม่เป็ไรจ้ะพ่อ แค่วันแรกนิดเลยยังไม่ชินเท่านั้นเอง ต่อไปรับรองสบาย” อนงค์กานต์รีบปฏิเสธทันที งานของพ่อที่โรงเรียนหนักมาก โรงเรียนบ้านห้วยกกมีครูประจำอยู่ไม่กี่คน แต่ละคนจึงรับภาระสอนค่อนข้างมาก อย่างพ่อของเธอรับสอนั้แ่ชั้น ป.4-ป.6 และสอนหลายวิชาด้วย หลังจากเลิกสอนกลับบ้านมาทีไร เธอก็เห็นพ่อเธอนั่งหมดแรงอยู่เป็ชั่วโมง ถ้าต้องให้ขับรถไปรับเธออีก พ่อก็ไม่มีเวลาพักพอดี อนงค์กานต์ยุคใหม่คนนี้จะไม่ยอมให้พ่อเหนื่อยแบบนี้เป็อันขาด “แต่ตอนนี้นิดหิวมาก ๆ แม่มีอะไรให้กินบ้าง” เธอหันไปอ้อนแม่ทันที
"กับข้าวเย็นทำเสร็จแล้ว แต่แม่ว่านิดไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนดีกว่า กินนี่รองท้องแก้หิวก่อนสักชิ้น” ว่าแล้วก็หยิบขนมถั่วแปบชิ้นใหญ่ใส่ปากลูกสาวก่อนไล่ให้ไปอาบน้ำ อนงค์กานต์ก็ไม่ขัด รีบลุกขึ้นคว้ากระเป๋าและเดินขึ้นบันไดบ้านเพื่อไปอาบน้ำ
ระหว่างกินข้าวอนงค์กานต์ก็เล่าเื่ในโรงเรียนให้พ่อและแม่ฟังอย่างสนุกสนาน กานต์และอนงค์ถึงกับอมยิ้มเลยทีเดียวเมื่อฟังลูกสาวเล่าถึงการคัดเลือกหัวหน้าห้อง
"พ่อกับแม่ว่านิดขี้ขลาดไหมที่ชิงปฏิเสธออกไปก่อน”
"แล้วที่ลูกปฏิเสธไปนี่เพราะกลัวที่จะทำไม่ได้หรือเพราะไม่อยากทำจริง ๆ ล่ะ” กานต์ถามกลับมาทันที
"นิดไม่อยากทำจ้ะ นิดรู้สึกไม่มีความสุขที่จะทำ”
"งั้นนิดไม่ใช่คนขี้ขลาดหรอก นิดเป็คนกล้าต่างหาก กล้าที่จะบอกข้อบกพร่องของตัวเอง พ่อภูมิใจมากนะที่นิดเลือกที่จะปฏิเสธออกไปทันทีแบบนี้ ดีกว่าฝืนใจรับและถ้าได้รับเลือกจริง ๆ ก็คงทำงานออกมาได้ไม่ดี แบบนี้เรียกว่าคนขี้ขลาดมากกว่า ขี้ขลาดตรงไม่กล้าปฏิเสธออกมาแต่แรก”
"พ่อกับแม่เลี้ยงนิดมาก็อยากให้ลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข รู้จักความ้าของตัวเอง และไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเท่านั้นแหละ ไม่ได้หวังให้ลูกต้องก้าวหน้ายิ่งใหญ่กว่าใคร ไม่ได้หวังให้ใครต่อใครมาก้มหัวให้ลูก ขอแค่ลูกมีวิถีชีวิตที่มีความสุข ปราศจากทุกข์ แค่นี้ก็เป็ความสุขที่สุดของพ่อและแม่แล้ว” อนงค์กานต์ได้ฟังก็ยิ้มปลื้ม เธอภูมิใจและดีใจมากที่ได้เกิดมาเป็ลูกของพ่อกับแม่
"แล้วพ่อเห็นเหมือนนิดไหมว่านิดี้เี” ไม่วายถามต่อ
"อันนี้พ่อเห็นด้วยว่านิดี้เีจริง ๆ” กานต์ยืนยันหนักแน่นจนนิดอดไม่ได้ที่จะทำหน้ามุ่ยออกมา “แต่ความี้เีของนิดก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนี่ แบบนี้พ่อรับได้ ฮ่าฮ่า”
"นิดแค่ี้เีจะใส่ใจเื่ที่ไม่เกี่ยวกับนิดเท่านั้น” อนงค์กานต์อุบอิบแก้ตัว “มันเหนื่อยสมองและสายตานิดมากไป ไม่สู้เก็บเอาไว้ใช้กับการหาเงินจะดีกว่า”
"ในที่สุดก็วกมาเื่เงินจนได้ แม่ว่าลูกสาวแม่หน้าเืขึ้นทุกวันนะ” กานต์และอนงค์กานต์หัวเราะร่วนเมื่อได้ยินอนงค์บ่นออกมาแบบนี้
เปิดเทอมได้สัปดาห์กว่า อนงค์กานต์ก็เริ่มปรับตัวได้ในที่สุด ในที่สุดห้อง ม.1/2 ก็มีหัวหน้าห้องชื่อตามภาภรณ์ และรองหัวหน้าชื่อพรนภา ทุกคนในห้องต่างลงคะแนนเสียงอย่างเป็เอกฉันท์ อนงค์กานต์ปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนในห้องได้เป็อย่างดี ไม่มีการเขม่นหรือทะเลาะเบาะแว้งกันแต่อย่างใด ทุกคนต่างให้ความร่วมมือ ช่วยกันเรียน ช่วยกันทำงานเป็อย่างดี ตอนนี้วิชาที่อนงค์กานต์ตั้งใจเป็พิเศษคือคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เธอมุ่งหวังที่จะเรียนสายวิทยาศาสตร์ในชั้นมัธยมปลายให้ได้ ในชาติก่อน ตอนมัธยมปลายเธอเคยเรียนสายศิลป์-ฝรั่งเศสมาแล้ว ในชาตินี้เธอจึงอยากลองเปลี่ยนแปลงดูบ้าง
แต่ยอมรับเลย คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์นี่เข้าใจยากมากสำหรับคนที่เรียนได้ระดับปานกลางแบบเธอ ดีที่มีเพื่อนสนิททั้งสามคนคอยช่วยติวและสอนเธออยู่เสมอ ใช่แล้ว ตอนนี้เธอมีเพื่อนที่สนิทมากอยู่ในห้องถึงสามคนคือตามภาภรณ์ สิริขวัญ และพรนภา ด้วยนิสัยที่ง่าย ๆ ไม่จู้จี้จุกจิกคล้าย ๆ กันจึงดึงดูดให้มาสนิทกันในที่สุด เพื่อนทั้งสามเรียนดีกว่าอนงค์กานต์ จึงช่วยกันทบทวนและติวให้เธออยู่เสมอ จนอนงค์กานต์สามารถตามทันและเข้าใจในที่สุด นี่นับว่าเป็เื่ที่มีความสุขมากอีกเื่ที่เกิดขึ้นหลังจากเธอย้อนเวลากลับมา
