โม่จ้านลงจากรถม้าตรงหน้าประตูทางเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ฝั่งตะวันออก ถอดเสื้อคลุมกันฝุ่นออกก่อนลูบรอยยับบนอาภรณ์ให้ราบเรียบ ครั้นทหารรักษาการณ์เห็นโม่จ้านที่แต่งกายเป็พ่อบ้านก็พยักหน้า บอกใบ้ให้อีกฝ่ายไปรอยังห้องทหารรักษาการณ์
ผู้รับหน้าที่ต้อนรับคือสตรีวัยกลางคน สายตาของสตรีวัยกลางคนที่กำลังขมวดคิ้วฉายแววสงสัย กระทำการ “สแกน” โม่จ้านจากหัวจรดเท้าหลายต่อหลายรอบ
“ขออภัยที่ข้าเสียมารยาท ท่านคือพ่อบ้านของเก๋อจือ เคอซือจริงหรือ? อายุของท่าน...”
“คุณผู้หญิงฝ่ายต้อนรับ ข้าคิดว่าท่านได้ทำผิดสามประการ” โม่จ้านสายตามองตรง สีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็เคร่งขรึม
“ประการแรก ท่านมิควรตัดสินข้าจากรูปลักษณ์ภายนอก ประการที่สอง ท่านมิควรตัดสินระดับความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของข้าด้วยอายุ ประการที่สาม หากท่านสงสัยในความภักดีที่ข้ามีต่อคุณชายน้อยเก๋อจือ เช่นนั้นได้โปรดอภัยหากข้าจะแสดงออกถึงการประท้วงท่านอย่างเด็ดขาดในนามของตนเอง และขอให้ท่านเก็บคำพูดประโยคนี้กลับไป”
การโต้กลับติดต่อกันสามชุดทำเอาคุณผู้หญิงวัยกลางคนถึงกับมึนเบลออยู่บ้าง ท้ายที่สุดยังคงตรวจสอบตราของเก๋อจือและสมุดรายงานอย่างเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง เมื่อมั่นใจว่ามิมีการปลอมแปลง พนักงานต้อนรับจึงเรียกทหารรักษาการณ์มาหนึ่งคนแล้วให้โม่จ้านตามเขาไปพบศาสตราจารย์ไหลมั่น
โม่จ้านเดินตามทหารรักษาการณ์อยู่ด้านหลัง ทว่าสายตากลับอดสอดส่องโดยรอบมิได้ ขณะมองเงาร่างกระฉับกระเฉงเปี่ยมพลัง ตนอดหวนนึกถึง่เวลาตอนอยู่มหาวิทยาลัยมิได้ มีเื่น่ายินดีอย่างการชนะถ้วยรางวัลอันดับหนึ่ง และยังมี่เวลาน่าเศร้าสลดอย่างการสอบตก นั่นคือหนึ่งใน่เวลาวัยรุ่นของตน
ทันใดนั้นความรู้สึกมากมายผสมปนเป ทำให้ฝีเท้าของโม่จ้านช้าลงหนึ่งจังหวะโดยมิรู้ตัว
“ท่านโม่เจ๋อเอ่อร์? ท่านเป็อันใดไป?”
เสียงของทหารรักษาการณ์ดังขึ้นข้างหู โม่จ้านได้สติกลับมาทันใด เขาเผยรอยยิ้มขออภัยให้ทหารรักษาการณ์
“ขณะมองเหล่านักเรียนก็นึกถึงเื่ราวในอดีตของตัวเอง รู้สึกคิดถึงอยู่บ้างเท่านั้น”
ทหารรักษาการณ์ตอบกลับด้วยการคลี่ยิ้มบางอย่างเข้าใจเช่นกัน “ท่านโม่เจ๋อเอ่อร์แลดูอ่อนเยาว์อย่างมาก คงจะเป็พ่อบ้านสืบสายเืใช่หรือไม่ขอรับ?”
“...เอ่อ? อ้อ มิใช่ หากจะให้พูดจริงๆ ข้านับว่าเป็เพียงพ่อบ้านชั่วคราว ช่วยทำงานให้คุณชายน้อยเป็การชั่วคราวเท่านั้น พ่อบ้านคนเก่ามีอาการป่วยติดตัว มิอาจทนความลำบากจากการเดินทาง”
โม่จ้านหรี่ดวงตาและมิได้ยอมรับฐานะของตนอย่างคล้อยตาม กลับเป็การมอบหนึ่งคำตอบคลุมเครือ ตนมิรู้ว่า “พ่อบ้านสืบสายเื” หมายความว่าอย่างไร ทว่าเมื่อดูจากคำที่ใช้ก็พอจะเดาได้บ้าง
“เชิญทางนี้ขอรับ ห้องทำงานของศาสตราจารย์ไหลมั่นอยู่ฝั่งซ้ายมือตรงสุดทางเดินชั้นสอง ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่ขอรับ”
ทหารรักษาการณ์ผายมือและเผยรอยยิ้มอย่างมีมารยาทอีกครั้ง โม่จ้านพยักหน้า ตามด้วยก้าวเท้าเข้าไปในโถงทางเดิน
หากเมื่อครู่ตนตอบรับอย่างขอไปที เกรงว่าคงจะเผยพิรุธเสียแล้ว ด้วยระดับความ “เอาใจใส่” อย่างมากที่ลอร์ดเคอซือมีต่อเก๋อจือยามอยู่ในโรงเรียน พนักงานต้อนรับมิมีทางมิรู้ว่าพ่อบ้านของพวกเขาคือใคร ยิ่งมิมีทางมิรู้ว่าพ่อบ้านของตระกูลเคอซือสืบทอดทางสายเืหรือไม่ เมื่อครู่ตนเพิ่งจะแสร้งทำเป็โมโห พนักงานต้อนรับกลัวว่าจะเป็สร้างความหมางใจให้ตระกูลเคอซือจึงได้ให้ทหารรักษาการณ์มาสืบความจริง
...ช่างมิต่างกับการหารือธุรกิจเสียจริง กระทั่งผู้เฝ้าประตูกับผู้นำทางยังคิดหยั่งเชิงคน จะเอ่ยสักประโยคยังต้องอ้อมหลายตลบ จนรู้สึกเหนื่อยใจ
โม่จ้านจัดระเบียบผ้าผูกทรงหูกระต่ายก่อนจะเคาะประตูไม้โอ๊คสีอ่อน
“เข้ามาเถิด”
เสียงบุรุษติดหูมิต่างจากแม่เหล็กดึงดูด ยามเหล่าลูกศิษย์ได้ฟังคงจะรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
โม่จ้านผลักประตูเข้าไป พบกับบุรุษวัยห้าสิบนั่งอยู่บนเก้าอี้ สวมเสื้อเชิ่ตสีขาวเมล็ดขาวมิแปดเปื้อนเศษฝุ่น ยกยิ้มอ่อนโยนจนตาหยีเข้าคู่กับแว่นตากรอบทอง ร่างทั้งร่างเผยกลิ่นอายสง่างามมีความรู้เช่นข้าราชการระดับสูง
คาดว่านี่คงเป็ศาสตราจารย์ไหลมั่น
“สวัสดีท่าน ข้าน้อยตัวแทนพ่อบ้านของคุณชายน้อยเก๋อจือ เหตุที่มาเยือนในวันนี้ก็เพื่อส่งภารกิจสำเร็จการศึกษาของคุณชายน้อยขอรับ”
โม่จ้านก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อส่งสมุดบันทึกพร้อมทั้งไตร่ตรองคำพูดของตน
“...เก๋อจือเ้าเด็กคนนั้น?”
ไหลมั่นมองช่องด้านในสมุดบันทึกด้วยความตกตะลึง ขนนกขนาดเท่านิ้วชี้หนึ่งเส้นวางอยู่้าอย่างเงียบเชียบ
“ภารกิจที่เขาจับได้มินับว่าง่าย นึกมิถึงว่าจะทำสำเร็จเร็วถึงเพียงนี้?”
โม่จ้านประคองคริสตัลบันทึกเื่ราวด้วยสองมือ “ท่านสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองขอรับ”
ไหลมั่นดูผ่านๆ รอบหนึ่ง เลนส์คริสตัลบนจมูกของเขาสะท้อนแสงสีขาว
“อืม...ผ่านหรือไม่ มิใช่เื่ที่ข้าตัดสินได้เพียงลำพัง ยังต้องผ่านการตัดสินจากอาจารย์ที่ปรึกษาอีกสองคน ท่านโปรดรอสักครู่”
ไหลมั่นแตะลงบนคริสตัลหนึ่งก้อนที่มีลักษณะคล้ายเสา สีสันแตกต่างกันมิกี่สายพลันกระจัดกระจายออกมาก่อนบินออกไปนอกหน้าต่าง
โม่จ้านมองการกระทำทั้งหมดของไหลมั่นด้วยความสนใจใคร่รู้ หรือนี่คือวิธีติดต่อสื่อสารของโลกเวทมนตร์? ดูแล้วคล้ายกับการส่งจดหมายผ่านเวทมนตร์ ช่างเต็มไปด้วยความน่าพิศวง
แน่นอนว่าโม่จ้านมิได้โง่ถึงขั้นพูดความอยากรู้อยากเห็นออกไป เพียงเริ่มสอบถามเื่เกี่ยวกับเก๋อจือราวกับเป็พ่อบ้านที่แท้จริง
“การแสดงออกของคุณชายน้อยเก๋อจือยามอยู่ที่นี่เป็อย่างไรบ้างขอรับ? มีสิ่งใดสร้างความลำบากให้ท่านหรือไม่?”
ไหลมั่นหัวเราะพลางโบกมือ “ถึงแม้เ้าเด็กคนนั้นจะมิมีรอยหยักในสมอง ทว่าก็มีพร์ด้านพลังเวทสูงมาก มิทำให้ข้าต้องเหนื่อยใจในด้านการเรียนแม้แต่น้อย”
มีอาจารย์ที่ใดพูดถึงนักเรียนของตนเองเช่นนี้... โม่จ้านพยายามดึงมุมปากที่หยักยกขึ้นของตนลงไป
“ความหมายของท่านคือ คุณชายน้อยทำให้ท่านเหนื่อยใจในด้านอื่นมิน้อยใช่หรือไม่ขอรับ”
“เขาเป็จุดเด่นในชั้นเรียน มิว่าจะนิสัย ชาติกำเนิดหรือหน้าตาล้วนมิเลว มีคนมิน้อยที่เอาใจใส่เขาอย่างมาก”
ไหลมั่นจับกรอบแว่นตา ดวงตาที่หรี่ลงทำให้โม่จ้านรู้สึกราวกับถูกจับจ้อง
“ข้ากลับถูกใจเขามาก เพียงแต่เป็เพราะพร์ด้านพลังเวทเท่านั้น”
โม่จ้านคลี่ยิ้มบาง “เมื่อต้องห่างกับอาจารย์ที่เอาใจใส่อย่างรอบคอบเช่นท่าน เก๋อจือจะต้องรู้สึกอ้างว้างมากอย่างแน่นอนขอรับ”
“ฮ่าๆๆ ข้ามิอาจสอนเขาทั้งชีวิตเสียหน่อย เป็เพียงคนผ่านทางเท่านั้น ยังมีผู้คนอีกมากมายกำลังรอเขาอยู่”
ไหลมั่นส่ายหน้า เขาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใด
“หากมิอยากอ้างว้าง จะมีเพียงเหล่าสหายในโรงเรียนมิได้”
โม่จ้านนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ครั้นกำลังจะเอ่ยบางสิ่งกลับถูกเสียงประตูที่มิรู้เวลาขัดเสียก่อน
ผู้ที่เข้ามาคือหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษ คนทั้งสองต่างสวมเสื้อกันลมตัวใหญ่ บุรุษถอดหมวกออกก่อนส่งมือขวามาทางโม่จ้าน
“สวัสดี ข้านามย่าซิว หนึ่งในอาจารย์ที่ปรึกษาที่จะทำการประเมินภารกิจสำเร็จการศึกษาของเก๋อจือ เคอซือ ท่านผู้นี้คือหม่าเอ๋อร์ถ่า”
“ต้องขออภัย มือของข้าน้อยได้รับาเ็ระหว่างเดินทาง จึงมิค่อยสะดวกนัก”
โม่จ้านคลี่ยิ้มให้คนทั้งสองพร้อมทั้งเผยสีหน้าขออภัยก่อนถอดถุงมือออก เผยให้เห็นฝ่ามือที่มีรอยเืซึมผ้าพันแผล
หม่าเอ๋อร์ถ่าที่ผมยาวประบ่าสะดุ้งใ “...จะไปจัดการาแที่ห้องพยาบาลสักหน่อยหรือไม่?”
“ขอบพระคุณในความหวังดีของท่าน เพียงแต่ข้าน้อยจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว ควรจะจัดการธุระของคุณชายน้อยให้เรียบร้อยก่อนขอรับ”
โม่จ้านสวมถุงมืออีกครั้ง จากนั้นนั่งลงบนโซฟาตามเจตนาบอกใบ้ของไหลมั่น
่เวลาแห่งการรอคอยคือความน่าเบื่อ คนทั้งสามจดจ้องภาพบันทึกและชี้สมุดรายงานแสดงความคิดเห็นของตนเป็ครั้งคราว เวลาล่วงเลยผ่านไปอึดใจแล้วอึดใจเล่า เหล่าคณาจารย์ยังมิทันได้บทสรุป โม่จ้านกลับลุกขึ้นยืนเสียแล้ว
ตนมิเชี่ยวชาญการนั่งตัวตรงจริงๆ โซฟาทำจากวัสดุชั้นดีมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้ตนยากจะรักษาท่วงท่าการนั่งให้มั่นคง หลังขยับปรับเปลี่ยนหลายครั้ง ตนได้เบื่อการเล่นเกมปรับก้นไปมามิหยุดแล้ว
“ต้องขออภัย เป็เพราะนั่งบนรถม้านานเกินไป จึงทำให้รู้สึกปวดเอวเล็กน้อยขอรับ” โม่จ้านยกยิ้มเจื่อนรับสายตาฉายแววสงสัยของคนทั้งสาม
ไหลมั่นคลี่ยิ้มสื่อว่าเข้าใจ ย่าซิวขมวดคิ้วบอกให้โม่จ้านเดินไปหา
“แม้ทางโรงเรียนจะมิมีกฎ ทว่าหากผู้เรียนมิได้มาส่งภารกิจด้วยตนเองก็ยากจะตอบข้อสงสัยของอาจารย์ มิอาจนับได้ว่าผ่าน”
โม่จ้านลอบถ่มน้ำลายในใจ กระนั้นสีหน้ายังคงรักษารอยยิ้มบางเอาไว้ดังเดิม “หากท่านมีข้อสงสัยประการใดสามารถสอบถามข้าน้อยได้โดยตรง ข้าน้อยเอวก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกันขอรับ”
“...ท่านโม่เจ๋อเอ่อร์ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย?”
หม่าเอ๋อร์ถ่าปรายมองโม่จ้านด้วยความสนใจ
“คาดมิถึงว่าเก๋อจือจะลากพ่อบ้านร่วมสนามรบด้วย ในฐานะอาจารย์ ข้าจะต้องตำหนิสักหน่อย”
“คุณชายน้อยเก๋อจือเชื่อมั่นในความสามารถของข้าน้อย นี่นับเป็เกียรติของโม่เจ๋อเอ่อร์ขอรับ”
โม่จ้านนำมือข้างขวาทาบอกแล้วหันไปทางบุรุษผู้นั้นอีกครั้ง
“ขอสอบถามว่าท่านอาจารย์ย่าซิวมีคำถามใดหรือขอรับ? ข้าน้อยสามารถตอบคำถาม”
