เมื่อเมืองหนูถูกตีแตกฉินโจ้วก็ออกจากเมืองไปอย่างเงียบๆ ส่วนผู้เล่นที่เหลืออยู่กำลังทำอะไรนั้น เขาเองก็ยุ่งเกินกว่าจะหันไปมองกิลด์ราตรียิ่งใหญ่ทำภารกิจป้องกันเมืองล้มเหลวในเวลานี้ในใจของพวกเขาคงจะอัดแน่นไปด้วยความโกรธอย่างไม่ต้องสงสัยซึ่งถ้าโชคไม่ดีกลายเป็ที่ระบายอารมณ์ขึ้นมานั่นก็คงเป็สิ่งที่เลวร้ายมากเป็แน่ เขาจึงวางแผนที่จะออกมาก่อน
เมื่อตอนที่จากมาภายในแหวนมิติก็มีอุปกรณ์ทองคำอยู่ 8 ชิ้น มี 35 ชิ้นเป็อุปกรณ์เงินผลึกเวทระดับต่ำ 5 ชิ้น ผลึกเวทระดับกลาง 1 ชิ้น วัตถุดิบทั่วไป 128 ชิ้น ซึ่งเขาเก็บเกี่ยวมาได้อย่างมากมายเลยทีเดียว
เมื่อเดินทางกลับมาถึงเมืองัฉินโจ้วจึงเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์อื่นๆ อย่างแรกนั่นก็คือ ม้วนคัมภีร์เวททั้งสองเล่มเป็ไปตามที่คาดเอาไว้ มันเป็ม้วนคัมภีร์เวทมนตร์ระดับสูง ‘ทะเลเพลิงเผาผลาญ’ และ‘โลกแห่งความหนาวเหน็บ’ สุดท้ายก็คือ อุปกรณ์ที่ดรอปมาจากมอนสเตอร์ระดับหัวหน้าผีดิบโซ่เหล็กอันชั่วร้าย มีทั้งหมด 7 ชิ้น เป็อุปกรณ์เงิน 2 ชิ้นเป็อุปกรณ์ทองคำ 1 ชิ้น ‘ดาบขนนกสีขาว’ เป็อาวุธหลอมสร้างความคมนั้นไม่มีอะไรเทียบได้ และอุปกรณ์ทองคำขาว ‘กรงเล็บดอกไม้ม่วง’ พลังโจมตี+650 ความเร็ว +10 พละกำลัง +10 ใช้ได้เฉพาะอาชีพนักล่า และอุปกรณ์ทองคำขาว‘กำไลข้อมือเทียนหยวน’ พลังป้องกันกายภาพ +700น่าเสียดายที่เมจนั้นไม่สามารถใช้ได้ และอุปกรณ์สองชิ้นสุดท้ายหมวกใบหนึ่งกับหนังสือทักษะหนึ่งเล่ม
มงกุฎราชินี: อุปกรณ์ทองคำดำ ระดับสูง พลังป้องกันกายภาพ +3,000 พลังป้องกันเวท +1,000 เสน่ห์+1 ทักษะเสริมที่ 1 ‘เคลื่อนย้ายในพริบตา’ เคลื่อนที่ไปในระยะ 50 เมตรไปในสถานที่แบบสุ่ม ระยะเวลาในการใช้ทักษะ 1 ชั่วโมง ทักษะเสริมที่ 2‘คลื่นความโกรธของจักรพรรดิ’ ปล่อยคลื่นความโกรธของจักรพรรดิออกมาทำลายได้แม้แต่กำแพงเหล็กกล้า รัศมี 10 เมตร พลังชีวิตลดลง 1,000 หน่วยต่อวินาทีเป็ระยะเวลานาน 5 วินาที ระยะเวลาในการใช้ทักษะ 8 ชั่วโมงใช้ได้เฉพาะเพศหญิงเท่านั้น ระดับเลเวลที่้า : ระดับเลเวล 45
เป็อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างมากมีค่าสถานะ 3 อย่าง กับอีก 2 ทักษะและยังมีเคลื่อนย้ายในพริบตาไว้สำหรับหลบหนีได้อย่างดีที่สุดคลื่นความโกรธของจักรพรรดิก็ทรงพลัง แถมยังเป็การโจมตีระยะไกลอีกถึงแม้ว่าจะไม่รุนแรงเท่า ‘ฝ่ามือวชิระเทวราช’ แต่ก็ป้องกันการโจมตีใส่ร่างกายได้น่าเสียดายที่ตัวเขาเองนั้นไม่สามารถใช้ได้
ทักษะดูดเื: เป็ทักษะช่วยเหลือ เมื่อใช้อาวุธโจมตีใส่ศัตรูจนได้รับาเ็สามารถดูดซับค่าความเสียหายที่ทำได้ 10% มาเป็พลังชีวิตของตนเองได้ความ้าขั้นต่ำ : ทักษะนี้ต้องใช้คู่กับอาวุธเท่านั้น
ทักษะดูดเืรู้จักในอีกชื่อก็คือทักษะแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย สามารถใช้งานได้ดีมาก แต่ว่าค่อนข้างหาได้ยากมากเมื่อถึง่ท้ายสุดความแข็งแกร่งจะมากขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นทักษะนี้ฉินโจ้วจึงตัดสินใจเก็บเอาไว้ใช้เอง
ดูเหมือนว่าคงจะต้องมองหาอาวุธดีๆมาใช้บ้างเสียแล้ว
ฉินโจ้วนั้นเล่นอาชีพเมจและอาวุธระดับต่ำก็สร้างความเสียหายได้เพียงเล็กน้อยคงมีแต่อาวุธที่เป็อุปกรณ์ิญญาจึงจะไม่มีข้อจำกัดในเื่ของอาชีพดังนั้นแล้วเป้าหมายของฉินโจ้วก็คือ การมองหาอาวุธที่เป็อุปกรณ์ิญญา
อย่างไรก็ตามฉินโจ้วก็รู้ว่าเป้าหมายนี้ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลาอันสั้นมันไม่ใช่เื่ง่ายเลยในการหาอุปกรณ์ิญญาคงต้องวางเื่ทักษะดูดเืเอาไว้ก่อน
สุดท้ายก็เป็ทักษะลับที่นักฆ่าดวงตกดรอปออกมาเมื่อมองดูชื่อ ฉินโจ้วถึงกับตะลึงงันในทันที ''ทักษะลมหายใจเต่า''
ทักษะลมหายใจเต่า: เป็หนึ่งในศิลปะการต่อสู้ระดับตำนาน หลังจากที่ได้ฝึกฝนแล้ว ส่วนต่างๆของร่างกายจะแข็งแรงขึ้น สามารถปกป้องตนเอง คอยตรวจตราระบบในร่างกายสามารถฟื้นฟูตนเอง และมีอย่างอื่นอีกมากมาย ปอดสามารถกักเก็บลมหายใจได้มากขึ้นถ้านั่นยังไม่มากพอ ยังสามารถเพิ่มพลังภายในได้ และชะลอความแก่ชราได้อีกด้วย
หมายเหตุ้าพลังภายในขั้นพื้นฐานจึงจะสามารถฝึกฝนได้สำเร็จระดับเลเวลความ้าขั้นต่ำ เลเวล 70 หรือมีพลังภายใน 1 ล้านหน่วย
แน่นอนว่านี่เป็ศิลปะป้องกันตัวที่ทุกคนเฝ้าฝันถึงั้แ่อดีตกาลผู้คนที่เคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะลมหายใจเต่าก็เหมือนกับปลาคาร์ฟว่ายข้ามแม่น้ำมีเพียงคนจำนวนน้อยนิดที่โชคดีพอที่จะได้ัั แทบจะนับนิ้วได้เลยฉินโจ้วจึงต้องเก็บรักษาสมบัติชิ้นนี้ไว้เป็อย่างดี
หลังจากดูเวลาแล้วเหลือไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงเวลานัดกับหนานกงเสี่ยวแล้วฉินโจ้วรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนจะรีบจัดการกับอุปกรณ์และวัตถุดิบที่ไม่จำเป็ทิ้งอย่างรีบเร่งจำนวนเงินเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อยเป็ 18,000 เหรียญทอง ถึงแม้ว่ามันจะถูกขายในร้านของเขาเองก็ตามแต่เงินยังคงต้องเก็บสะสมต่อ ในเวลานี้ธุรกิจของร้านค้าได้เข้าสู่สภาวะปกติจึงไม่จำเป็ที่เขาจะต้องให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแบบฟรีอีกต่อไปดังนั้นแล้วเงินก็ควรเก็บเอาไว้ ยังคงต้องเก็บต่อไป
เมืองัมีสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือจัตุรัสเทพั มีพื้นที่ราวหนึ่งหมื่นหมู่ (ประมาณ 4,000 ไร่)รองรับคนได้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านคนในแต่ละครั้งตั้งชื่อตามัทองที่อยู่กึ่งกลางจัตุรัส หยกสีทองแกะสลักเป็รูปัลำตัวส่วนล่างยาวจรดพื้น ไต่ขึ้นพุ่งทะยานแตะขอบฟ้า มีความยาวถึง 1,000 ฟุตแสดงท่าทางที่ดุร้าย เผยให้เห็นถึงความน่าทึ่งหยกและทองคำก็ต่างเป็สิ่งของล้ำค่าที่หาได้ยากในสมัยโบราณในปัจจุบันนี้ทองคำก็ยังคงหาได้ยากอยู่ดี มีคนเคยกล่าวไว้ว่ามีเหรียญทองหนึ่งหมื่นเหรียญ ก็ยังไม่เท่ากับมีทองคำหรือหยกซึ่งคำพูดนี้เป็สิ่งที่อธิบายถึงคุณค่าของทองคำและหยกได้เป็อย่างดีเทพัขนาดใหญ่ตัวนี้ เฉพาะวัตถุดิบที่ใช้ก็ประเมินค่าไม่ได้แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และยังเป็สัญลักษณ์ที่สำคัญซึ่งถูกระบุว่าเป็สมบัติประจำชาติของเมืองัอีกด้วย
เทพัถูกแกะสลักขึ้นมาอย่างไม่ประณีตเท่าไรนักงานค่อนข้างหยาบ แต่ทักษะที่ใช้นั้นค่อนข้างประณีตการเคลื่อนไหวลื่นไหลราวกับเมฆคล้อยวารีไหลรินแต่ละส่วนมีการเคลื่อนไหวอย่างชดช้อย เมื่อมองจากระยะไกลจะพบว่าันั้นดูเหมือนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั่วทั้งร่างแสดงให้เห็นถึงพลังความแข็งแกร่งที่สวยงามที่ส่งผ่านออกมาทั้งกล้ามเนื้อทั่วร่าง กรงเล็บขนาดใหญ่ทั้งห้าทำให้ผู้คนรู้สึกถึงพละกำลังที่สามารถเคลื่อนูเาถมทะเลได้ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเหนือ์ชั้นเก้า ราวกับยืนอยู่เหนือผู้อื่นทั้งโลก
ในพื้นที่เขตเหยียนหวงนอกจากทหารของราชสำนักแล้วยังมีกลุ่มที่ทรงคุณธรรม ซึ่งเป็กองกำลังที่หลบซ่อนอยู่โดยที่กองกำลังเหล่านี้ในเวลาปกตินั้นแทบไม่มีใครเคยเห็นแต่สิ่งที่เขาได้ทำในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดการสั่นะเืทั้งแผ่นดินดูเหมือนว่าสิ่งของล้ำค่าอย่างเทพัจะดึงดูดทำให้กองกำลังลับจำนวนไม่น้อยต่างคอยจับตามองอย่างไรก็ตาม ตามข่าวลือที่ได้ยินมาเคยมีกองกำลังลับที่ต่อต้านเจตจำนงของเทพัได้ถูกทำลายสลายกลายเป็ฝุ่นควันจนหมดสิ้นภายในคืนเดียวโดยที่บ้านเรือนไม่เสียหายแม้แต่น้อย แต่ผู้คนกลับหายไปจนหมดสิ้นเหมือนกับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย หลักฐานจากการตรวจสอบคนเหล่านี้พบว่าคนเหล่านี้หายตัวไปทันที ไม่มีการส่งสัญญาณล่วงหน้าในหม้อยังเต็มไปด้วยอาหารที่กำลังเดือด ส่งกลิ่นหอมกรุ่นบางคนกำลังจะห่มผ้าเตรียมที่จะนอน แต่ยังไม่ทันจะได้ห่มไม่มีร่องรอยการต่อสู้ในบ้าน ผู้คนต่างพากันหายไปเฉยๆ ราวกับไม่เคยมีตัวตน
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นี้จะค่อนข้างแปลกประหลาดแต่ดาบของกองกำลังลับเหล่านี้นั้นก็ได้อาบเืมานับครั้งไม่ถ้วนสังหารผู้คนมาอย่างต่อเนื่อง หล่อหลอมไปด้วยความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่กล้าทำสิ่งที่ต่อต้านราชสำนัก โดยไม่สนใจว่าจะอยู่หรือตาย แต่ถึงกระนั้นทุกสิ่งที่คนเหล่านี้ทำล้วนได้ถูกวางแผนไว้แล้วแม้จะไม่มีเวลาฝึกฝนก็ตาม ในที่สุดภัยก็มาถึงหน้าประตูบ้านและก็เหมือนกับทุกคนที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนพวกเขาเ่าั้หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลกนี้
สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะสนใจเทพัอีกถึงแม้ว่าสิ่งนี้นั้นจะเป็สิ่งที่ประเมินค่ามิได้ แต่ก็ถูกวางอยู่เหนือจัตุรัสและไม่มีแม้กระทั่งการป้องกันแต่อย่างใด แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าคิดที่จะขยับเขยื้อนเทพัจึงกลายเป็สมบัติลึกลับชิ้นหนึ่งของเขตเหยียนหวง
ในเวลานี้ที่ด้านล่างของรูปปั้นัมีสาวน้อยร่างเล็กน่ารักราวกับตุ๊กตาสวมชุดสีขาวยืนอยู่ดวงตาคู่สวยกวาดตามองไปรอบๆ จ้องมองดูผู้คนอย่างรวดเร็วและพบว่ามีผู้เล่นชายจำนวนไม่น้อยจับจ้องไปที่เธออยู่ ใบหน้าเปลี่ยนเป็สีแดงเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดลงต่ำ อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปชั่วครู่เธอก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะจ้องมองไปยังฝูงชน และเมื่อไม่เห็นคนที่้าก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางเขินอาย ทำให้น่ารักมากเป็พิเศษ
ผู้หญิงคนนี้สูงราว155 เิเ เอวคอดและขาเรียวบาง ใบหน้าสวยงามราวกับภาพวาดดวงตาเต็มไปด้วยความเขินอายทำให้ผู้คนรู้สึก้าที่จะกุมหัวใจและดูแลเธอด้วยความทะนุถนอมไม่้าทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ สิบนิ้วเรียวงามดูคล่องแคล่ว นั่นก็คือ หนานกงเสี่ยวผู้ได้อาชีพซ่อนเร้นคือ นักเล่นพิณ
"เสี่ยวเกอรอนานหรือเปล่า" ฉินโจ้วแตะไหล่ที่ผอมบางของหนานกงเสี่ยวอย่างเบาๆในใจก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย ที่ทำให้ผู้หญิงต้องรอถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มาสายก็ตามที โดยปกติแล้วฝ่ายชายควรจะต้องมารอฝ่ายหญิง
หนานกงเสี่ยวรู้สึกใเมื่อได้ยินเสียงพูดของฉินโจ้ว แต่ก็ค่อยรู้สึกโล่งอกมือของเธอทาบไปที่หน้าอกเบาๆ เมื่อหันไปเห็นฉินโจ้ว สีหน้าเผยให้เห็นถึงความดีใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนใว่า "อ๋อ... ไม่หรอก ฉันเพิ่งมาถึงน่ะทำไมถึงมาอยู่ข้างหลังฉันโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ทำให้ฉันใหมดเลย"
ฉินโจ้วยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะพูดว่า "ไม่ได้เจอคุณหลายวัน ดูเหมือนว่าคุณจะสวยขึ้นนะ"
เมื่อได้ยินดังนั้นหนานกงเสี่ยวก็เชิดคางขึ้นแสดงถึงความภูมิใจ แต่สีหน้าที่น่ารักของเธอก็เปลี่ยนเป็สีแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างสุภาพว่า "ไม่หรอก แม่ของฉันพูดเสมอว่าฉันน่ะโง่ไม่แต่งตัวก็เหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ต่อไปก็คงไม่มีใครอยากจะแต่งงานด้วยเป็แน่"
"ถ้าไม่มีใครแต่งด้วยก็มาแต่งกับผมผมจะรับผิดชอบคุณเอง"
ฉินโจ้วพูดโพล่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันใช้สมองคิดทันทีที่พูดออกไปทำให้เขารู้สึกใ แม้ว่าทั้งสองคนจะรู้จักกันแต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะเล่นมุกแบบนี้ได้ บางทีหนานกงเสี่ยวคงจะโกรธเขามากดูเหมือนความเป็เพื่อนของเขาและเธอจะจบลงเป็แน่คำพูดก็เหมือนกับสายน้ำไม่อาจหวนคืนมาได้อีก ในเวลาไม่นานในใจก็รู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง
"อืม..."
หนานกงเสี่ยวไม่เพียงไม่ด่าหรือมีท่าทีโกรธแต่กลับตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิด ด้วยน้ำเสียงที่เบามากจนแทบไม่มีใครได้ยิน
"อะไรนะ?"
ฉินโจ้วถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะจ้องมองไปที่หนานกงเสี่ยวอย่างไม่เชื่อสายตา นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือเพราะเราตื่นเต้นมากเกินไปเลยหูแว่วเห็นภาพหลอนไปเอง
"ถ้าเธอไม่ได้ยินก็ถือว่าฉันไม่ได้พูดก็แล้วกัน"หนานกงเสี่ยวเกิดอาการเขินอายและไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาเธอก้มหัวลงต่ำและไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหนานกงเสี่ยวแล้วฉินโจ้วก็รู้ถึงความหมายได้ทันที ถึงแม้ว่าเขาจะโง่ก็ตามในใจเต็มไปด้วยความปีติยินดี ไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะตอบตกลงเป็เหมือนฝันที่ไม่เคยคาดคิดว่า หนานกงเสี่ยวก็ชอบเขาด้วยและยังพูดถึงเื่ของการแต่งงานออกมาอีกในเวลาไม่นานในใจรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตเต็มไปด้วยความสุขราวกับแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิส่องประกาย มีนกน้อยโบยบินอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้
หลังจากที่ได้รู้จักกับหนานกงเสี่ยวเขาเองก็ไม่ได้คิดเลยเถิดว่าจะได้คู่กับหนานกงเสี่ยว มันเป็เพียงแค่ความฝันแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนานกงเสี่ยวนั้นเป็คนที่สวยมากเมื่อสังเกตจากคำพูดหรือการแสดงออกก็พอให้รู้ได้เล็กน้อยว่าสถานะของหนานกงเสี่ยวก็ไม่ได้เหมือนคนทั่วไป เมื่อเทียบกับฉินโจ้วแล้วพูดได้เลยว่าไม่ต่างกับเมฆบนฟ้ากับพื้นดินแต่มันจะไม่มีทางเป็เส้นขนานอย่างแน่นอน ความเป็จริงในสังคมนั้นคนที่เป็เศรษฐีเงินหมื่นจะหลงรักเศรษฐีเงินแสนหรือจะรักกับคนที่เป็เศรษฐีเงินล้านก็ย่อมได้ แต่ถ้าหลงรักเศรษฐีหลักสิบล้านก็จะพบกับอุปสรรคมากมาย หรือจะเรียกว่าแทบจะไม่สามารถเป็จริงได้เลยและถ้าหลงรักเศรษฐีร้อยล้านล่ะ คงจะมีแต่เพียงในหนังเท่านั้นเนื่องจากมีความแตกต่างกันมากเกินไป ข้อจำกัดทางด้านอิสรภาพก็แตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบกับฉินโจ้วแล้ว หนานกงเสี่ยวก็เทียบได้กับคนที่เป็เศรษฐีร้อยล้าน
ฉินโจ้วไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะมาถึงจากแค่ความฝันจะเป็ความจริงไปได้ นี่เรียกว่าความรักหรือเปล่านะฉินโจ้วเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนว่ามันน่าจะใช่แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนว่าไม่ใช่ เป็ความรู้สึกที่ค่อนข้างแปลกนี่เรากำลังตกหลุมรักแล้วหรือเปล่า เขาเริ่มชักไม่แน่ใจ ประโยคสั้นๆจากหนานกงเสี่ยวนั้นรบกวนจิตใจของเขาความรู้สึกที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ารักได้หรือเปล่าทำให้เขาเตรียมใจไม่ทัน ช่างสับสนเหลือเกิน
"ป่ะ...ไปหาอะไรกินกันดีกว่า"
หลังจากใช้ความคิดอยู่นานฉินโจ้วก็ตัดสินใจที่จะปล่อยวาง ถ้ามันเป็เื่จริงเหตุการณ์ก็คงจบลงด้วยการแต่งงานอย่างมีความสุขแต่ถ้าหนานกงเสี่ยวนั้นสนใจเพียงแค่ชั่วครู่ นั่นคงเป็เพียงความทรงจำที่ดีก่อนจะจับมือเล็กๆ ที่อ่อนโยนของหนานกงเสี่ยวเอาไว้ และเดินออกจากจัตุรัสเทพันี่เป็ครั้งแรกที่เขาจับมือเธอ มือของหนานกงเสี่ยวนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อและเธอเองก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ท่าทางของเธอดูเขินอายและเต็มไปด้วยความสุขเห็นท่าทีที่เธอแสดงออกมาแล้ว ฉินโจ้วค่อยรู้สึกวางใจ
หอเลิศรสตกแต่งไว้อย่างยิ่งใหญ่งดงาม เป็สถานที่ที่ผู้คนต่างพูดถึงดูดีมีระดับเทียบได้กับโรงแรมระดับห้าดาวผู้ที่เข้ามามีส่วนน้อยที่จะเป็ผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักจะเป็ผู้เล่นที่ค่อนข้างมีอำนาจและทรงอิทธิพลคนทั่วไปนั้นไม่มีเงินมากพอที่จะใช้บริการที่นี่ได้
โดยหอเลิศรสนั้นมีทั้งหมดสี่ชั้นชั้นที่สูงที่สุดนั้นไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าใช้บริการนี่เป็ครั้งแรกที่เขาเชิญหนานกงเสี่ยวมากินข้าวเย็น แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดาฉินโจ้วจึงเปิดห้องที่มีชื่อเสียงไว้ ห้องที่ดีที่สุดในชั้นสาม
ปลาหิมะนึ่งปีกไก่ตุ๋น ถั่วต้มหยินหยาง ตัวไหมทองทอดกรอบ ไก่ขอทาน ขาหมูตุ๋น ซุปสามรสทั้งหมดหกจานและซุปหนึ่งถ้วย ซึ่งล้วนแต่เป็อาหารจานเด็ดของหอเลิศรส
ปกติแล้วหนานกงเสี่ยวนั้นเป็คนที่ค่อนข้างเก็บอารมณ์ความรู้สึกแต่เวลาอยู่ด้วยกันกับฉินโจ้วแล้วเธอจะลืมลักษณะนิสัยที่ถูกปลูกฝังมาั้แ่ในวัยเด็กจนหมดสิ้นหลังจากที่นั่งลงแล้ว ดูเหมือนว่าตะเกียบจะไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อยอาหารบนโต๊ะ เธอกินคนเดียวถึง 2 ใน 3 ก่อนจะนั่งตีพุงด้วยความสบายใจถึงจะวางตะเกียบลงได้ ฉินโจ้วมองดูด้วยอาการตกตะลึงจนแทบอ้าปากค้างก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เบาลงว่า ฉันไม่ได้กินอะไรมาตั้งสองวันแล้ว
"มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?"หนานกงเสี่ยวเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีเงินทำไมถึงต้องทนหิวจนไม่ได้กินอะไรมาถึงสองวัน
จะให้พูดอย่างไรดีพอดีมีเื่ที่บ้านนิดหน่อย ครอบครัวของฉันกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติที่ยากลำบากในเวลานี้มีคนที่สามารถช่วยตระกูลของฉันได้ แต่คนผู้นั้นยื่นข้อเสนอมาว่า้าคนจากในตระกูลไปแต่งงานด้วย จะพูดว่าเกี่ยวดองกันเพื่อผลประโยชน์ก็ว่าได้ฉันรู้สึกเห็นท่าไม่ดี ก็เลยหนีออกจากบ้านมาและเหรียญทองของฉันก็ส่งให้พี่ชายของฉันไว้ทั้งหมด นอกจากพิณแล้วฉันก็ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ดังนั้นสองวันนี้เลยไม่ได้กินอะไรเลย
"หมายถึงว่าคุณเป็คนที่ต้องแต่งงานอย่างนั้นหรือ?"สีหน้าของฉินโจ้วสลดลงเล็กน้อย นี่ไม่ใช่ข่าวดีเลยแม้แต่น้อย
ฉันคิดว่าน่าจะเป็อย่างนั้นเพราะฉันเป็ผู้หญิงคนเดียวในตระกูล หนานกงเสี่ยวพูดด้วยใบหน้าที่ขื่นขม
"ตั้งสองวันที่จริงคุณก็น่าจะติดต่อหาผมก่อนนะ" ฉินโจ้วตำหนิเธอแต่สายตาเต็มไปด้วยความสงสาร
ถึงในใจของฉันจะชอบคุณแต่ฉันก็ไม่รู้ว่าในใจของคุณจะมีฉันอยู่บ้างหรือเปล่าั้แ่คราวก่อนที่เจอกันคุณเองก็ไม่ได้ส่งข้อความมาหาฉันบ้างเลย หนานกงเสี่ยวเม้มปากสนิทรู้สึกผิดหวัง
"เอ่อ...คือ..."เมื่อฉินโจ้วนึกย้อนเกี่ยวกับเื่นี้ มันก็เป็จริงอย่างที่ว่าเขาจึงรีบขอโทษเธออย่างจริงใจในทันที ก่อนจะพูดว่า"เื่ที่เกิดขึ้นเป็ความผิดของผมเอง ถ้าเช่นนั้นจากนี้ไปให้คุณติดตามผมรับรองว่าจะได้กินดีอยู่ดี รับประกันเลยว่าจะขาวขึ้นๆน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นจนอ้วนเอาๆ จนไม่อยากจะกลับบ้านเลยทีเดียว
"อืม..."หนานกงเสี่ยวพยักหน้า ท่าทางน่ารักและดูพออกพอใจ
หนานกงเสี่ยวนั้นช่างดูอ่อนโยนและอบอุ่นฉินโจ้วรู้สึกตื่นเต้นและอารมณ์พลุ่งพล่านทำให้ใบหน้าของทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้สายตาของทั้งคู่จดจ้องมองกันและกัน ระยะห่างค่อยๆ หดสั้นเข้าขณะที่ริมฝีปากของฉินโจ้วกำลังจะได้ัักับความนุ่มนวลนั้น ทันใดนั้น “ปัง”เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ประตูห้องถูกคนผู้หนึ่งถีบจนเปิดออกจากนั้นก็มีกลุ่มคนก้าวเข้ามา
พวกเขาทั้งคู่สะดุ้งใและแยกออกจากกันราวกับถูกไฟฟ้าช็อตทำให้ฉินโจ้วรู้สึกโมโหอยู่ในใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นทันทีั์ตาเต็มไปด้วยความคุกรุ่น จ้องมองด้วยสายตาเ็าก่อนจะถามขึ้นว่า"พวกนายเป็ใคร?"
มีอยู่สองคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ดูองอาจ ท่าทางโเี้ อีกคนรูปร่างสมส่วน หน้าตาหล่อเหลาและมีลูกสมุนอยู่ด้านหลังอีก 7-8 คน
ชายที่ดูท่าทางโเี้ฉีกยิ้มโชว์ให้เห็นฟันสีเหลืองก่อนจะพูดว่า "คู่นี้แหละ พวกมันดูท่าทางรวยมาก ไม่เลวเลยทีเดียวถ้าขนาดจองห้องที่หอเลิศรสได้ ก็คงไม่ใช่คนทั่วไป ฉันหวังว่าแกคงจะฉลาดนะฉันชื่อทอร์นาโด เป็หัวหน้าทหารกลุ่มที่สองของหมาป่าโลหิตอีกเดี๋ยวหัวหน้ากองร้อยของเราจะชวนเพื่อนมากินอาหารที่นี่ถ้ากินเสร็จแล้วก็รีบไสหัวไปไวๆ ถ้ายังกินไม่เสร็จก็ควรจะรีบออกไปได้แล้วเหมือนกัน อย่ามาเกะกะขวางทางไม่อย่างนั้นแล้วก็รอรับผิดชอบผลที่จะตามมาเองก็แล้วกัน
"ไปให้พ้น"ฉินโจ้วเริ่มทนไม่ไหว ไม่ได้คิดว่าจะเจอพวกงี่เง่าที่นี่ ซึ่งเขาไม่ได้กลัวพวกนี้แม้แต่น้อยก็แค่กลุ่มทหารรับจ้าง
สีหน้าของทอร์นาโดนั้นเ็ารังสีแห่งอันธพาลแผ่พุ่งออกมา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า "ดี... ดีมากเพิ่งจะมีเด็กน้อยอย่างแกคนแรกที่กล้าไล่ฉันออกไป ฉันจะจำแกเอาไว้เป็อย่างดีหวังว่าจะไม่เจอกันข้างนอกเมืองนะ"ตามกฎจะมีการทำโทษถ้าเริ่มการต่อสู้ขึ้นในเมืองซึ่งทอร์นาโดถึงแม้ว่าจะท่าทางหยิ่งยโสโอหังแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะก่อเื่ขึ้นที่นี่
ฉินโจ้วหรี่ตาลงตอนนี้เขาเริ่มใจเย็นลงบ้างแล้ว เสียบรรยากาศหมดเขาน่าจะหาโอกาสที่จะได้จูบกับหนานกงเสี่ยวคราวหน้าอีกทีตราบที่เราสองคนยังอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะไม่มีโอกาสส่วนคำพูดงี่เง่าของทอร์นาโดนั่นน่ะหรือน่าสมเพชเสียมากกว่าก่อนจะตอบไปอย่างรำคาญว่า "ถ้านายพบฉันเข้า ก็ถือว่านายดวงตกแล้ว"
ทอร์นาโดส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจออกมารู้ว่าถึงจะพูดไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจฉินโจ้วได้ และคงไม่ง่ายที่จะพูดด้วยซึ่งในเวลานี้ ผู้เล่นที่หน้าตาหล่อเหลาก็เข้ามาขัดจังหวะไว้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โดยไม่สนใจเื่ที่ทั้งสองคนกำลังโต้แย้งกันอยู่แล้วพูดว่า คุณทั้งสองคนผมเป็ผู้ที่รับผิดชอบดูแลที่นี่ ผมชื่อ ‘หวังเฟย’เนื่องจากเป็การเข้าใจผิดกันของพนักงาน ห้องนี้เดิมทีถูกจองเอาไว้แล้ว ผลก็...อย่างที่คุณเห็น เนื่องจากเรามีแขกเป็จำนวนมาก จึงมักจะเกิดปัญหาขึ้นทุกวัน “แหะๆ...”ไม่ทราบว่าจะเห็นแก่หน้าผม ขอห้องนี้ให้กับผมได้ไหม เพื่อเห็นแก่เพื่อนใหม่อาหารมื้อนี้เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง หลังจากนี้ถ้าคุณทั้งสองมาทานอาหารที่นี่อีกผมจะลดราคาให้ 20% ชายคนนี้พูดเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถคลี่คลายเหตุการณ์ลงได้สามารถใช้คำพูดในการแก้ปัญหา โดยคำพูดบางคำนั้นมีผลต่อความรู้สึก เกลี้ยกล่อมโดยใช้ผลประโยชน์เข้าช่วยใช้น้ำเสียงที่แสดงถึงความจริงใจ น้ำสักหยดก็ไม่ให้หก(พูดเก็บรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน) ดูท่าทางมีความน่าเชื่อถือเป็อย่างมากแต่น่าเสียดายที่เขาได้มาพบกับฉินโจ้วเข้า
"หน้าของนายมีค่าขนาดนั้นเลยหรือ?"ฉินโจ้วพูดโดยไม่มองไปทางเขาด้วยซ้ำอันที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่ใช่ว่าเป็คนที่พูดยากอะไรแต่ด้วยพฤติกรรมในการเตะประตูเข้ามาของคนพวกนั้น ทำให้เขาโกรธมากดังนั้นแล้วไม่ว่าใครหน้าไหนก็จะไม่ยอมยกให้
หวังเฟยหน้าชาอยู่ครู่หนึ่งสีหน้าของเขาเริ่มเจื่อน สำหรับคนที่หยิ่งผยองแบบนี้คนลักษณะเช่นนี้เป็สิ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุดหวังเฟยมีน้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็แข็งกระด้าง และพูดว่า ผมพูดดีๆกับคุณทั้งสองแล้วนะ หลังจากนี้ถ้าหมดความอดทน ถ้าผมใช้สิทธิในการบังคับทุกคนก็จะดูไม่ดีไปด้วย คุณว่าอย่างนั้นไหม? เนื่องจากหวังเฟยเป็ผู้ดูแลหอเลิศรสเป็ธรรมดาที่เขาจะเตะใครออกไปจากที่นี่ก็ย่อมได้
"คิดจะขู่ผมอย่างนั้นหรือ?"น้ำเสียงของฉินโจ้วยังปกติอยู่ แต่สายตาของเขาราวกับมีดจ้องมองไปที่หวังเฟยอย่างเ็า เขาเกลียดคนประเภทนี้มากที่สุดที่คิดจะแหกกฎได้ตามใจชอบ
หวังเฟยรู้สึกเย็นวาบอย่างบอกไม่ถูกราวกับถูกงูพิษจับจ้องอยู่ รู้สึกราวกับความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าที่นี่เขาจะมีอำนาจในการควบคุมมากที่สุดแต่ทำไมเขายังรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่ทราบได้เหมือนว่าชายคนนี้กำลังซ่อนบางสิ่งไว้โดยไม่อยากเปิดเผยออกมาว่าเขาเป็คนที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน อย่างไรก็ตามเมื่อเขาคิดดูแล้วก็พบว่ามีลักษณะของคนที่ไม่ควรจะเข้าไปยุ่ง เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีกสุดท้ายก็ยอมรับคำพูดของฉินโจ้ว
"ผมหวังว่าคุณจะรับผลของสิ่งที่ตามมาได้นะไปกันเถอะ เสี่ยวเกอ" ฉินโจ้วไม่ได้รู้สึกโกรธ ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา เขาเองก็้าจะเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารมานานแล้วด้วยจากข้ออ้างในเื่นี้มันก็ยุติธรรมแล้วคงต้องขอโทษหนานกงเสี่ยวที่ชวนมากินอาหารแล้ว แต่ยังมาเจอเื่แบบนี้อีก
ขณะที่พวกเขากำลังเดินไปที่ประตูก็มีชายหนุ่มท่าทางดูดีกำลังเดินผ่านมาทางโถงทางเดิน หลังจากที่เดินสวนกันแล้วเมื่อเขามองเห็นหนานกงเสี่ยว เขาก็หยุดเดินก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า"เสี่ยวเกอ ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ ไม่รู้หรือว่าพี่ชายคุณบอกให้คุณไปทำภารกิจน่ะ"
ชายคนนี้ท่าทางดูใจดีรูปร่างผอม แต่รู้สึกได้ว่าเขานั้นไม่ใช่คนอ่อนแอแถมยังเปิดเผยแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งที่เก็บซ่อนเอาไว้สีหน้าท่าทางเหมือนดาบที่พร้อมจะฟาดฟันตลอดเวลา ริมฝีปากบางสายตามองจ้องอย่างเฉียบคม ให้ความรู้สึกว่าเป็คนที่หนักแน่นมั่นคงและร้อนแรง
"พี่วั่งชาน"หนานกงเสี่ยวเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
หลังจากที่เธอเรียกชายหนุ่มวั่งชานที่เดินมาไม่กี่ก้าวก่อนจะเหลือบมองไปยังผู้คนที่อยู่ในห้อง เนื่องจากความฉลาดของเขาก็พอที่จะเข้าใจได้ทันทีว่าเพิ่งเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นสีหน้าและน้ำเสียงของเขาแสดงถึงความเป็ห่วง และพูดขึ้นว่า "เสี่ยวเกอมีใครแกล้งเธอหรือเปล่า? บอกฉันได้เลยนะฉันไม่เก็บมันไว้ในเขตเหยียนหวงแน่"
ทันทีที่ชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้นฉินโจ้วสังเกตเห็นว่าสายตาของคนที่อยู่ในห้องนั้นเปลี่ยนไป ทันทีที่เขาพูดขึ้นทุกคนต่างมีสีหน้าซีดเผือดสีหน้าของทอร์นาโดเองก็เต็มไปด้วยความกังวล ท่าทางของหวังเฟยก็รู้สึกไม่สบายใจเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่า เด็กผู้หญิงที่ดูอ่อนแอไร้พิษสงคนนี้จะมีภูมิหลังที่ลึกล้ำถ้ารู้อย่างนี้แล้วเขาคงจะไม่พูดประจบคนของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าโลหิตเพื่อไล่ทั้งสองคนนั้นหรอกหลังจากที่คนทั้งหมดจ้องมองไปที่ชายหนุ่ม ทำให้ทุกคนนั้นไม่กล้าที่จะออกไป
หนานกงเสี่ยวหัวเราะแล้วตอบว่า"พี่วั่ง ถ้าพี่มีอะไรต้องไปทำก็ไปเถอะ ฉันไม่เป็อะไร"
เมื่อมองดูหนานกงเสี่ยวชายหนุ่มเองก็ไม่อยากจะเข้าไปแทรกแซงหรือแสดงความโกรธออกมาก่อนจะจ้องมองไปทางทอร์นาโด และเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า"นายจะอยู่รอให้ฉันเชิญพวกนายกินข้าวหรืออย่างไร"
ทอร์นาโดโค้งคำนับก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า"ไม่กล้าครับ ไม่กล้า พวกเราจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ ออกไปทันทีเลยครับ"ก่อนจะรีบพาคนที่เหลืออยู่ของเขาออกไป
"ท่านทั้งสี่เชิญครับ"เนื่องจากหวังเฟยเป็คนในพื้นที่ ไม่สามารถปลีกตัวไปได้จึงต้องทักทายด้วยความเคารพ
"อืม..."ชายหนุ่มตอบรับ ก่อนจะเหลือบตามามองหวังเฟยและพูดว่า "นายคือเสี่ยวหวังสินะนี่เสี่ยวเกอ น้องสาวของฉัน จำเอาไว้ด้วย"
"จำ...จำได้ขึ้นใจแล้วครับ" หวังเฟยรีบตอบยืนยันอย่างรวดเร็ว
"เสี่ยวเกอเพื่อนๆ กำลังรอกินข้าวเย็นอยู่ที่เดิม เสี่ยวเทียนก็อยู่ด้วย"ชายหนุ่มมองไปที่หนานกงเสี่ยวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ฉันจะไปกับพี่ฉิน"หนานกงเสี่ยวกอดแขนของฉินโจ้วไว้ ราวกับนกที่เชื่อฟังคำสั่งคน
"พี่ชายฉิน"ชายหนุ่มมองไปทางฉินโจ้วด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะรู้สึกให้ความสนใจกับเขาอย่างจริงจังดูจากท่าทางที่แสดงออกของหนานกงเสี่ยวแล้วดูเหมือนว่าเธอจะให้ความสนใจกับเขาเป็อย่างมากแต่ว่าเขาเองไม่เคยได้ยินชื่อของคนคนนี้มาก่อนเลย ชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้วเวลาที่มีคนที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ ก็น่าจะมีคนแจ้งให้เขาทราบตระกูลของหนานกงเสี่ยวนั้นไม่ใช่ตระกูลธรรมดาทั่วไปถึงแม้ว่าจะเริ่มเสื่อมอำนาจลงบ้าง แต่อูฐผอมที่ตายแล้วก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า(ถึงจะตกต่ำแต่ก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน) ในฐานะเ้าหญิงน้อยแห่งตระกูลหนานกงคนธรรมดาไม่มีสิทธิ์แม้จะััเพียงแค่ปลายนิ้วของพวกเขา เมื่อมองดูท่าทีที่สงบเยือกเย็นของฉินโจ้วแล้วทำให้เขาอดที่จะคาดเดาไม่ได้
เขายื่นมือขวาออกมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า"เป่ยเหยี่ยวั่งชาน โทษทีไม่ได้แนะนำตัว"
"ผม...ฉินโจ้ว" ฉินโจ้วจับมือทักทาย โดยไม่ได้แนะนำตัวเองมากนัก
ฉินโจ้ว? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เป่ยเหยี่ยวั่งชานเริ่มคิ้วขมวดอีกครั้งนี่เป็ผู้เล่นทรงพลังคนใหม่อย่างนั้นหรือ? อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเขาก็ไม่ใส่ใจถ้าเกิดว่าไม่มีพลังมากพอ ก่อนจะหันไปพูดกับหนานกงเสี่ยวว่า"เสี่ยวเกอ ฉันมีงานต้องไปทำ ไปกันก่อนแล้วกัน"จากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่ได้สนใจฉินโจ้วแม้แต่น้อย
"ไปด้วยกันเลยก็ได้"เนื่องจากเป่ยเหยี่ยวั่งชานเมินเขา ฉินโจ้วจึงทำได้แค่เพียงยิ้ม
ภายในห้องหวังเฟยกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จู่ๆ เสียงของเขาก็หายไป ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า"ฉินโจ้ว, เมามายซบตักสาวงาม" ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็กลายเป็ซีดเผือด ไร้เรี่ยวแรงจนเซไปพิงที่ประตูหอเลิศรสเป็แค่เพียงทรัพย์สินของตระกูลเทพแห่งอาหารซึ่งศูนย์กลางการจ้างงานของตระกูลเทพแห่งอาหารได้ย้ายมาอยู่ในเกม ‘เหยี่ยวั่ง’เรียบร้อยแล้ว การเชื่อมต่อที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ เงินกู้และในเวลานี้พ่อของเขากำลังเจรจากับเ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารฉินหวังอยู่จบแล้ว... เวลานี้ดูเหมือนจะจบสิ้นกันแล้วก่อนที่คำพูดของฉินโจ้วจะดังก้องขึ้นในหูของเขา
"หวังว่าคุณจะทนรับผลที่ตามมานี้ไหวนะ"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้