ณ จวนแม่ทัพในเวลานี้สาวใช้จำนวนหนึ่งทยอยกันไปจุดตะเกียงในสวนหลังจวนเพื่อส่องสว่างให้หลิ่วจิ้งเดินไปตามทาง
ยามมองไปไกลๆ เห็นแสงจากตะเกียงสาดส่องอยู่ในสวนดอกไม้ กลิ่นหอมของมวลบุปผานานาพันธุ์ที่กำลังเบ่งบานอบอวลไปในอากาศและพัดพามากับลมบางเบาชวนให้ผ่อนคลายสบายจิตใจ
หลิ่วจิ้งเดินช้าๆ อยู่ในสวนดอกไม้ไม่ทันรู้ตัวก็เดินมาถึงศาลาที่อาหนูสนทนากับนางเมื่อวันก่อน
“ไม่รู้ว่าสองวันมานี้ อาหนูมีความเคลื่อนไหวใดหรือไม่?” หลิ่วจิ้งยืนที่ศาลามองไปทางเรือนของอาหนู
นางหารู้ไม่ว่ายามนี้ในเรือนเหมยลู่ของอาหนูกำลังวุ่นวายโกลาหลชนิดไก่เหินสุนัขกระโจน[1]
นางจ้าวไม่ได้ทานข้าวเย็นกับหั่วอี้สมดังหวังนางทำใจยอมรับที่ต้องดีใจเปล่าไม่ได้ พอโกรธขึ้นเรื่อยๆ ก็อยากระบายความแค้นจึงสั่งให้เหมยเซียง ‘ไม่จงใจ’ ไปปล่อยข่าวว่าท่านแม่ทัพมอบหมายให้นางเป็คนจัดการงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าให้รู้กันโดยถ้วนทั่ว
ในเมื่อนางไม่เป็สุขย่อมไม่อยากเห็นสตรีอื่นในจวนอยู่อย่างเป็สุข
เื่นี้หากเป็จวนอื่นอาจเป็ข่าวดี แต่สำหรับสตรีในเรือนอื่นๆของจวนแม่ทัพ กลับเป็ข่าวร้าย
ห้องครัวเป็ที่ที่เหล่าบ่าวของแต่ละเรือนเข้าๆ ออกๆจื่อเซียวเป็คนแรกที่ได้ยินข่าวนี้มาจากผู้ช่วยในครัวคนหนึ่งและกลับมาบอกกล่าวแก่อาหนู
“ถุย” อาหนูกำลังลิ้มรสชาติน้ำดอกไม้อยู่ได้ยินคำของจื่อเซียวก็โกธรจนโยนถ้วยชาในมือลงพื้นอย่างแรง
แววอาฆาตปรากฏอยู่ในดวงตาของอาหนู กำสองมือประสานกันแน่นประหนึ่งจะถูให้มือเกิดประกายไฟแล้วไปเผาเรือนเฉินจื่อเสีย
“จ้าว! ไฉ่! เอ๋อร์! ในเมื่อเ้ากล้ารับงานนี้ก็ต้องกล้ารับเื่สนุกที่ข้าเตรียมไว้ให้เ้าด้วย”
อาหนูขบกรามเอ่ยออกมาทีละคำ
จื่อเซียวตกตะลึง นางย่อตัวลงมาเก็บถ้วยชาที่อาหนูโยนลงพื้นพลางค่อยๆเหลือบมองอาหนูด้วยหางตาคราหนึ่ง แล้วรีบก้มตาลงไม่กล้ามองอีก
นางเคยเห็นอาหนูะเิอารมณ์มามากแล้วแต่กลับไม่เคยรุนแรงเหมือนครานี้มาก่อน
อาหนูทนรับไม่ได้ ทั้งโกรธเกรี้ยวทั้งเ็ปราวกับของรักที่นางกุมไว้ในมือถูกคนยื้อแย่งเอาไป
นับแต่นางเข้ามาในจวนแม่ทัพ ท่านแม่ทัพรักหลงนางนั้นใช่อยู่ทว่านางจ้าวกลับเอาแต่วางท่าเป็สตรีอยู่กับท่านแม่ทัพมาก่อนผู้ใดและคอยขัดแข้งขัดขานางตลอดเวลา
ตลอดหลายปีมานี้ที่พวกนางต่อสู้กันไปมานางจะต้องเป็ฝ่ายเสียเปรียบอยู่ร่ำไป ครานี้สู้อุตส่าห์มีองค์หญิงมาและท่านแม่ทัพก็ยกให้สตรีผู้นั้นเป็ฮูหยินเมื่อคิดถึงสีหน้าที่เหมือนกับไปกินหวงเหลียนมาของนางจ้าว นางก็สะใจนัก
อาหนูนึกว่างานวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าปีนี้จะเป็ฮูหยินจัดการดูแลนางอุตส่าห์เตรียมตัวอยู่บนยอดเขาชมพยัคฆ์ทำศึก [2] อยู่ทีเดียว นึกไม่ถึงจริงๆไม่รู้นางจ้าวใช้ลูกไม้ใดกลับทำให้ท่านแม่ทัพยังมอบหมายงานที่นับว่าเป็ตัวแทนของสตรีของท่านแม่ทัพนี้ให้นางจ้าว
แล้วเื่นี้จะไม่ทำให้อาหนูริษยาแทบตายได้อย่างไร
นางจ้าว เ้าจะต้องเสียใจ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนกับเื่นี้
อาหนูเดินไปมาในห้องไม่ยอมหยุด สิ่งของใดที่ขว้างทางก็จะถูกนางโยนลงพื้นจนหมดตอนแรกจื่อเซียวคอยก้มลงเก็บ แต่เมื่อภายหลังเห็นว่าต่อให้เก็บก็ไร้ประโยชน์จึงหยุดมือเสีย
จื่อเซียวไม่กล้าเอ่ยปากปลอบและไม่กล้าออกไปด้วยทำได้เพียงยืนทื่อเป็ท่อนไม้อยู่ตรงนั้น ดูอาหนูขว้างปาสิ่งของประหนึ่งคนเสียสติ
จื่อเซียวรวบรวมความกล้าค่อยๆ เดินเข้าไปหาเพราะคิดจะเตือนสติอาหนูแต่จนใจนักที่อาหนูกำลังโมโหหนักไม่รับฟังสิ่งใดทั้งสิ้น นางผลักจื่อเซียวอย่างแรง“แม้แต่เ้าก็ยังเยาะข้าใช่หรือไม่ ข้าจะให้เ้าเยาะข้า ให้เ้าเยาะไปเลย”
‘เพียะ’ อาหนูโมโหจนหน้ามืดตามัวตบหน้าจื่อเซียวหนักๆ ไปหนหนึ่ง
น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจของจื่อเซียวไหลรินจากดวงตานางไม่กล้าร้องไห้ให้มีเสียง ได้แต่กลืนน้ำตาลงท้องไป ยืนโซเซไม่รู้ว่าควรทำเช่นใด
การติดตามนายเช่นอาหนูคุ้มค่าหรือไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ช่วยนางวางแผน บอกให้นางร่วมมือกับฮูหยินนางก็ไม่ยอมฟังจื่อเซียวเกิดความคิดจะหาทางไปอื่นขึ้นมาในใจอีกครั้ง
มีคนร่ำไห้ย่อมมีคนหัวเราะ
“จริงหรือ ที่เ้าพูดมาทั้งหมดนั้นจริงหรือ ฮ่าๆๆ…”ในเรือนเฉินจื่อ จือเซี่ยที่นางจ้าวส่งออกไปหาข่าวในเรือนต่างๆกลับมาเล่าความเคลื่อนไหวที่นางแอบได้ยินจากเรือนเหมยลู่ของอาหนูให้ผู้เป็นายฟัง
นางจ้าวได้ใจนัก หัวเราะลั่นอยู่พักใหญ่จึงหยุดลงได้หัวเราะจนปวดท้องไปหมด
พอได้หัวเราะออกมาดังนี้ ความอัดอั้นในใจนางจึงสลายลงไปมากดวงตานางส่องประกายอย่างมีนัย ยกมุมปากขึ้นแสยะยิ้ม คล้ายมีกลิ่นไอชั่วร้ายออกมา
ในเมื่อนางไม่สมดังหมาย ย่อมไม่ยี่หระที่จะดึงผู้อื่นลงน้ำไปด้วย
หลิ่วจิ้งกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหลังจวนเห็นดวงจันทร์ลอยขึ้นเหนือหัว ไม่รู้ว่าตอนนี้หั่วอี้จะอยู่ที่ใดไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะกลับมาที่เรือนหลังหรือไม่ นางไม่มีแก่ใจจะเดินเล่นต่อเตรียมใจเป็นักรบกล้าตัดข้อมือ [3] ดีชั่วก็แค่ดาบเดียว [4] และเดินกลับไป
ยามค่ำคืนในต้นฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นขึ้นมากอิ๋งเหอช่างเอาใจใส่เป็ห่วงว่าหลิ่วจิ้งเพิ่งจะหายจากเจ็บหนักหากต้องความเย็นก็จะทำให้อาการกำเริบขึ้นมาจึงรีบหอบเอาเสื้อคลุมออกไปหานาง
“อวี้จิ่นนี่ก็ช่างกระไร ค่ำมาแล้ว ไม่รู้จักเตรียมเสื้อคลุมให้ฮูหยินหากฮูหยินล้มป่วยขึ้นมาอีก วันพรุ่งยามท่านแม่ทัพกลับมาจะไม่มาจัดการพวกเราหรอกหรือ”
อิ๋งเหอบ่นพึมพำขณะช่วยคลุมเสื้อคลุมให้หลิ่วจิ้ง
“อิ๋งเหอ เมื่อครู่ว่าอะไรนะเหมือนได้ยินเ้าบอกว่าวันพรุ่งท่านแม่ทัพจะกลับมาอันใดนั้นเ้าไปได้ยินจากที่ใดมา คืนนี้ท่านแม่ทัพไม่กลับมาแล้วหรือ?”
หลิ่วจิ้งไม่ได้สนใจเื่ว่าหนาวหรือไม่หนาวนางได้ยินชัดเจนแค่อิ๋งเหอบอกว่าท่านแม่ทัพไม่กลับมาเท่านั้น
อิ๋งเหอหรี่ตาลง ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ฮูหยินเ้าคะเมื่อครู่ท่านแม่ทัพเพิ่งส่งคนมาบอกว่า ท่านแม่ทัพมีเื่สำคัญต้องทำคืนนี้ไม่กลับจวนแล้วเ้าค่ะ”
“จริงหรือ ฮ่าๆๆ” หลิ่วจิ้งเหมือนคนคว้าท่อนไม้ได้ตอนจะจมน้ำสดชื่นแจ่มใส่ อารมณ์ดีขึ้นมาในบัดดล
อวี้จิ่นและอิ๋งเหอมองหน้ากัน พวกนางสองคนเป็คนที่อยู่ใกล้ชิดหลิ่วจิ้งมากที่สุดแต่พวกนางกลับไม่มีทางรู้ว่าความผิดปกติของหลิ่วจิ้งในวันนี้เกิดจากสิ่งใด
“อิ๋งเหอ เ้ากลับไปเตรียมน้ำดอกกุหลาบให้ข้ากาหนึ่งข้าจะไปชมทิวทัศน์ยามค่ำที่ชิงช้าก่อนค่อยกลับ”
“เ้าค่ะ” อิ๋งเหอตอบรับไปคำหนึ่งแล้วหันมองอวี้จิ่นก่อนเดินกลับไปตามทางที่มา
อวี้จิ่นมีคำถามอัดแน่นในใจแต่กลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มถามจากเื่ใดดี
หลิ่วจิ้งพาอวี้จิ่นเดินไปทางชิงช้า เวลานี้นางอารมณ์ดีเหลือเกินนางยังไม่พร้อมจะร่วมเตียง หากหลบไปได้อีกสักวันก็อยากจะหลบหลังจากได้รับประสบการณ์ในวันนี้แล้ว ทำให้นางรู้ว่าหากหั่วอี้เกิดไฟปะทุขึ้นมาวันใดนางก็จะต้องเตรียมตัวหาวิธีดับไฟราคะของเขาเสีย
เมื่อคิดว่าหาวิธีรับมือกับเื่นี้ได้แล้วยามเดินเหินก็เหมือนมีลมช่วยหอบอยู่ใต้เท้า ทำให้นางเดินไปถึงชิงช้าอย่างรวดเร็ว
“ฮูหยิน วันนี้ท่านมีเื่ในใจหรือเ้าคะ?” สุดท้ายอวี้จิ่นก็ยังถามสิ่งที่นางสงสัยออกไป
หลิ่วจิ้งเงยหน้ามองฟ้า กระพริบดวงตาโตเหม่อมองบนฟ้ากว้างคล้ายว่าบนนั้นมีความคิดของนางอยู่
อวี้จิ่นแหงนหน้ามองฟ้าตามหลิ่วจิ้งโดยไม่รู้ตัว ในสายตานางนอกจากหมู่ดาวพร่างพราวที่กระพริบตาให้นางแล้ว นางกลับมองไม่เห็นสิ่งอื่นอีกเลย
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ไก่เหินสุนัขกระโจน เป็สำนวนหมายถึง วุ่นวาย ยุ่งเหยิง จนไก่ใกระพือปีกไปมาหมาก็วิ่งวุ่น
[2] อยู่บนยอดเขาชมพยัคฆ์ทำศึก หมายถึงดูศัตรูห้ำหั่นกันโดยไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม
[3] นักรบกล้าตัดข้อมือ เมื่อถูกงูพิษกัดมือนักรบก็ตัดสินใจตัดข้อมือเพื่อไม่ให้พิษแล่นเข้าสู่หัวใจ เป็สำนวนหมายถึงตัดสินใจแน่วแน่ เด็ดเดี่ยว
[4] ดีชั่วก็แค่ดาบเดียว เพิ่มมาเพื่อขยายสำนวน นักรบกล้าตัดข้อมือว่ากลั้นใจตัดลงไปด้วยดาบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
