หลี่หรงเหนียงเป็นามเต็มของหลี่ซื่อ ตอนยังเล็กมาก เพราะในบ้านยากจน บิดาของนางจึงขายนางให้แก่หยาผอ [1] ด้วยเงินสามเหลียง ตอนนั้นนางเพิ่งจะห้าหกขวบ
ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ ใบหน้าท่านพ่อของนางเบลอไม่ชัดเจนไปนานแล้ว จำได้เพียงเลือนรางตอนที่เอานางมาขายทิ้ง ท่านพ่อผู้นี้น้ำตาคลอหน่วยกล่าวกับนาง ทำนองว่าที่บ้านยากจนและน้องชายกำลังป่วยหนัก ขายนางแล้วจึงจะมีเงินให้น้องชายไปหาหมอ ให้นางติดตามหยาผอดีๆ ต่อไปเมื่อมีอนาคตแล้ว ก็กลับบ้านมาส่งเสียน้องชายบ้าง
หลี่หรงเหนียงที่เป็เด็กน้อย เดินตามหยาผออย่างทึ่มทือไม่รู้ความ
ทันทีหลังจากนั้นก็ถูกหยาผอเปลี่ยนมือไปให้หยาผอต่างถิ่นอีกคนหนึ่ง บนรถม้าลุ่มๆ ดอนๆ ไปมาอยู่สองสามเดือน จึงถูกพาไปถึงเมืองหลวงด้วยกันกับเด็กชายและเด็กหญิงที่ค่อนข้างโต
เนื่องจากอายุยังน้อย หลี่หรงเหนียงจึงพักกับหยาผออยู่สองสามปี ทุกวันฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องตื่นขึ้นมาทำงาน กวาดลานบ้าน เลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ด ซักผ้าล้างถ้วยชาม… จากเช้าจรดเย็นเหมือนกับลูกข่างวนไปเช่นนี้ ถูกเรียกใช้และถูกดุด่าไม่หยุดหย่อน อายุยังน้อย จึงทำงานได้ไม่ดี ทั้งโดนตีและถูกด่าตวาดด้วยความโกรธ นับว่าเป็เื่ที่มีอยู่เสมอ
ยังดีที่หยาผอกลัวว่า หากตีนางจนมีรอยแผลเป็จะขายไม่ได้ราคา จึงไม่ได้ลงมือโหดร้ายเพียงนั้น เวลาทำงานยังต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ของครอบครัวตระกูลร่ำรวยบ้างเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาขายออกไปแล้วจะได้ไม่ทำให้หยาผอเสียหน้า
จนกระทั่งอายุแปดปี หน้าตาของนางจึงเริ่มเปลี่ยนไป ใบหน้าสวยงามเพียบพร้อมขึ้น ครั้นครอบครัวตระกูลใหญ่้าเลือกสาวใช้ นางจึงได้รับคัดเลือกอยู่ในนั้น และได้กลายเป็สาวใช้ระดับสามที่เริ่มต้นด้วยการทำงานหนักๆ ในลานบ้านบริเวณที่พักอาศัยของคุณหนูในตระกูลร่ำรวย
อุปนิสัยหลี่หรงเหนียงอ่อนโยนและซื่อสัตย์ อยู่ในหน้าที่สาวใช้ระดับสาม สาดน้ำกวาดพื้นทำงานหนักเป็เวลาห้าปี จนกระทั่งอายุสิบสอง นางจึงใช้ประสบการณ์และคุณสมบัติที่เหมาะสมเลื่อนขึ้นสู่ตำแหน่งสาวใช้ระดับสอง
สาวใช้ของครอบครัวขุนนางที่สูงศักดิ์ต้องผ่านความยากลำบากมาอย่างโชกโชน ทุกวันนี้หลี่หรงเหนียงยังคงจำได้ดี นางทำงานด้วยความระมัดระวังรอบคอบและกลัวอย่างลนลานในทุกวัน ภายในจวนมีเ้านายที่ต้องดูแลไม่น้อย ส่วนสาวใช้ที่ไร้อิสระในชีวิตก็ยิ่งมีมากนัก การต่อสู้เพื่อให้ได้รับความโปรดปรานแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยขาด มีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง หลี่หรงเหนียงเพียงก้มหน้าก้มตาทำงานในส่วนตนเองให้ดีมาโดยตลอด ไม่เคยกล้าเข้าร่วมต่อสู้ชิงดีชิงเด่นทั้งต่อหน้าและลับหลังระหว่างสาวใช้ด้วยกัน
น่าเสียดาย สิ่งที่คิดไว้ไม่เป็ไปตามคาด บางอย่างที่คิดอยากหลีกเลี่ยง กลับยิ่งหลีกหนีไม่พ้น
ปีนั้นหลี่หรงเหนียงอายุสิบสาม สาวใช้โตกว่าที่อยู่ระดับหนึ่ง และอยู่ข้างกายคุณหนูมาตลอด เป็เพราะอายุถึงกำหนดแล้วจึงถูกปล่อยตัวออกจากจวนไปแต่งงาน ดังนั้น ตำแหน่งที่ว่างนี้จึงกลายเป็ขนมหวานในสายตาของเหล่าสาวใช้ด้วยกัน
ตำแหน่งที่ว่างเช่นนี้ ปกติล้วนคัดเลือกจากสาวใช้ระดับสองขึ้นมาหนึ่งคน
สาวใช้ระดับสองขณะนั้นมีด้วยกันสามคน หลี่หรงเหนียงมีคุณสมบัติและประสบการณ์อ่อนที่สุด บวกกับอุปนิสัยซื่อสัตย์ไม่มีความทะเยอทะยาน ย่อมถูกคุกคามจากสาวใช้คนอื่นน้อยที่สุด
สองคนที่เหลือล้วนคิดอยากจะขึ้นเป็สาวใช้ระดับหนึ่ง ต่างคนต่างคิดวางแผนการ บีบคั้นกันและกัน ฟาดฟันกันทุกรูปแบบเพื่อเอาใจเ้านายให้ตนเองได้กลายเป็คนโปรด แม้กระทั่งเที่ยวติดสินบนสาวใช้ระดับหนึ่งคนอื่นๆ
วันหนึ่ง สาวใช้ทั้งสามกำลังทำความสะอาดและดูแลความเรียบร้อยในห้องของคุณหนู สาวใช้สองคนที่เขม่นไม่ชอบหน้ากันเริ่มปะทะฝีปากอีกครั้ง หลี่หรงเหนียงจนปัญญา ทำได้เพียงกล่าวโน้มน้าวห้ามปรามอยู่ด้านข้าง
ขณะทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรงอยู่นั้น กลับถูกเมอเมอ [2] ที่ดูแลอยู่ข้างกายฟู่เหรินมาพบเข้าพอดี
ผลสุดท้าย สาวใช้ระดับสองทั้งสองคนที่หน้าต่างตะวันออกเปิดเผย [3] ถูกฟู่เหรินลงโทษโดยการหักเงินประจำเดือนเป็เวลาสามเดือน โบยสิบไม้ และเนรเทศไปทำงานห้องซักเสื้อผ้า
ส่วนนางถูกหักเงินประจำเดือนหนึ่งเดือนไปด้วย พร้อมกับโบยห้าไม้ แต่โชคดีที่ไม่ถูกเนรเทศไปที่อื่น
หลี่หรงเหนียงจำได้อย่างชัดเจน ภายในห้องลงโทษ สาวใช้สองคนตรงหน้าถูกคนกดไว้และเฆี่ยนตี หญิงชราสองคนที่แข็งแรงใช้กำลังบังคับกดร่างไว้กับพื้น แผ่นไม้ที่ยกขึ้นสูงตี “ผัวะ” ลงหนึ่งเสียง ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาก็ดังก้องข้างหู
เวลาผ่านไปโบยสิบไม้จนเสร็จสิ้น เด็กสาวที่งดงามดังบุปผาบานสองคน ผมเผ้ากระเซิง น้ำตาไหลพรากเต็มสองแก้ม หยัดกายลุกขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง จึงถูกหญิงชราสองสามคนพยุงออกไป
หลี่หรงเหนียงพยายามข่มความกลัวมองเหตุการณ์จนจบอย่างสั่นเทา กระทั่งถึงคราวของนาง จึงใกลัวจนน้ำตาไหลเต็มใบหน้า
เมื่อแผ่นไม้ตีลงบนกายของนาง ความรู้สึกเ็ปมากมายมหาศาลทำให้นางพลั้งปากร้องออกมาอย่างน่าเวทนา น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย
่เวลาแห่งการโบยห้าไม้ราวกับว่าได้ประสบภัยพิบัติมาครั้งหนึ่ง นางกัดฟันทนความเ็ปที่รุนแรงตรงสะโพก พยายามหยัดกายลุกขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ แล้วซวนเซกลับมายังห้องเล็กของตนเอง สาวใช้ระดับสองที่อยู่ห้องเดียวกันถูกเนรเทศไปห้องซักผ้าแล้ว นางจึงปิดประตูห้องคลุมผ้าห่มร้องไห้ไปพักหนึ่ง
หลังจากผ่านเื่ครั้งนั้น ทำให้หลี่หรงเหนียงจัดการเื่ต่างๆ ด้วยความสุขุมระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ได้แต่หวังว่าจะห่างไกลจากเื่ทะเลาะวิวาท ด้วยลักษณะนิสัยที่ไม่แย่งชิงของนางทำให้นางใช้ชีวิตสงบสุขอยู่ในอาณาเขตภายในบ้านได้สองถึงสามฤดูกาล
จนกระทั่ง ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น
เหล่าฟู่เหรินในจวนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง คุณหนูจึงออกไปจุดธูปอธิษฐานในวัดอยู่บ่อยครั้ง บังเอิญได้พบกับปัญญาชนรูปงามที่มีความสามารถ ตกระกำลำบากมา แต่เ้าเล่ห์ การไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งจึงเกิดการชอบพอกันขึ้น ก่อให้เกิดความรักความผูกพัน
สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทนความทุกข์ของความคิดถึงไม่ไหว จึงหาข้ออ้างออกจากบ้านนัดพบกันเป็การส่วนตัว หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง... ด้วยเหตุนี้ ทำให้ฟู่เหรินเกิดความสงสัยอยู่ในใจและแอบติดตามไปในวันหนึ่ง ครั้งนั้นจับได้พอดี
ผลสุดท้าย ย่อมเป็ความขมขื่นอย่างยิ่ง คุณหนูถูกทำโทษให้กักบริเวณ ปัญญาชนผู้นั้นถูกกระหน่ำตีแล้วขับไล่ออกจากเมืองหลวง
หลี่หรงเหนียงก็เป็หนึ่งในนั้น...
ปีนั้น นางอายุสิบแปดแล้ว ตามระเบียบในจวน หากสาวใช้ที่มีอายุครบยี่สิบปีและยังไม่แต่งงาน สามารถไถ่ตนเองออกจากจวนได้ เวลานั้นนางได้สะสมเงินไถ่ตนเองจนครบแล้ว ขอเพียงเฝ้ารอเวลาทนความทุกข์ยากสองปี ก็จะได้รับอิสระอีกครั้ง
น่าเสียดาย ์ไม่ให้คนได้สมปรารถนา
สาวใช้และหญิงชราที่อาศัยภายในเขตลานบ้านของคุณหนู ทั้งหมดล้วนถูกซื้อแยกไปคนละพื้นที่คนละถิ่น
หลี่หรงเหนียงพร้อมด้วยคนหนึ่งกลุ่มถูกพาไปหยุดอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ตามความเห็นที่คนในจวนกำชับไว้ ดีที่สุดคือขายไปอยู่ทิศใต้
ปากพ่อค้ามนุษย์ตอบรับอย่างเป็มั่นเป็เหมาะ แต่ความจริงกลับไม่ได้ยินดีที่จะวิ่งไปขายไกลเช่นนั้น เมื่อห่างจากเมืองหลวงออกมาเล็กน้อย จึงเริ่มเดินทางไปด้วยขายระหว่างทางไปด้วย พอถึงอำเภอชิงเฉวียน ในจวนที่มาด้วยกันก็มีเพียงนางที่เหลืออยู่
ตอนนั้นหลี่หรงเหนียงทั้งเสียใจทั้งสิ้นหวัง และยังมีความหวาดกลัวที่จะถูกขายออกไปอีก ตลอดทางทานไม่ได้นอนไม่หลับและกังวลต่างๆ นานา ไม่กี่วันหลังจากนั้นจึงป่วยไข้ขึ้น อาการไข้กำเริบไม่หาย สภาพร่างกายอ่อนแออยู่ตลอด พ่อค้ามนุษย์จึงหยิบยาส่งเดชที่ใช้ทาบนาแกรอกให้นาง และฉุดบังคับนางที่ป่วยอยู่ไปตลาดค้าขาย
หลี่หรงเหนียงใบหน้าซีดเซียวไม่งดงาม เป็ธรรมดาที่จะไร้คนสนใจ แม้ราคาที่ะโขายจะต่ำ แต่ก็ยังขายไม่ได้
ใบหน้าพ่อค้ามนุษย์เริ่มไม่พอใจ ปรึกษาหารือกระซิบกระซาบกันไปมา หากไม่ใช่ว่าผู้ดูแลในจวนเคยกล่าวกำชับเป็พิเศษ ว่าห้ามเอาคนขายไปยังสถานที่สกปรกไม่ดี พวกเขาคงเอานางไปโยนไว้ในซ่องนางโลมของอำเภอตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมัวมาอืดอาดเช่นนี้อยู่
หลี่หรงเหนียงที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงฟังอย่างสิ้นหวังและทรมานอ้างว้าง จนกระทั่งคิดวางแผนเลวร้ายที่สุด หนึ่งหัวชนตาย หนึ่งจบร้อยเสร็จสิ้นให้จบเื่ไป อย่างน้อยยังสามารถรักษาความบริสุทธิ์ร่างกายไว้ได้
บางที... ์คงเห็นแล้วเวทนา หรืออาจเป็ดวงชะตายังไม่ถึงฆาต
หวังซื่อกับหูฉางกุ้ยจึงมาปรากฏอยู่ต่อหน้านาง
ชายเงียบขรึมเงยหน้าขึ้นเห็นนางที่อ่อนแอและตกที่นั่งลำบาก จึงก้มศีรษะเอียงไปครึ่งหน้า กล่าวกระซิบกับฟู่เหรินชราที่ข้างหูเบาๆ ฟู่เหรินชรามองที่บุตรชายด้วยความใเล็กน้อย ทันทีหลังจากนั้นก็พินิจพิเคราะห์นางขึ้นมา
หลังจากนั้นหลายปี หลี่หรงเหนียงยังเคยถามหูฉางกุ้ย ว่าตอนนั้นเพราะเหตุใดจึงมองมายังนางที่ป่วยอ่อนแอและไร้ที่พึ่งพา
หูฉางกุ้ยใบหน้าค่อยๆ แดงขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวกับนางด้วยวาจาอ่อนโยน นางในตอนนั้นสวมเสื้อผ้าเรียบๆ สีหน้าซีดขาว แม้จะจมอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่เอวและหลังกลับยังคงตั้งตรง สภาพร่างกายอ่อนแอ แววตากลับเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง หูฉางกุ้ยที่พบเห็นยากจะลืมได้ลง ด้วยเหตุนี้ จึงขอร้องให้หวังซื่อช่วยซื้อนางไว้
นี่... อาจเป็พรหมลิขิตที่เรียกกันกระมัง
ขั้นตอนราบรื่นอย่างมาก หวังซื่อกระซิบถามหลี่หรงเหนียง ว่ายินดีจะแต่งกับหูฉางกุ้ยในฐานะภรรยาของครอบครัวชาวนาหรือไม่ หลังพยักหน้ารับอย่างเต็มใจ จึงเดินไปข้างหน้าแสดงเจตนาว่าสนใจต่อพ่อค้ามนุษย์ พ่อค้ามนุษย์ขายหลี่หรงเหนียงให้แก่นางด้วยราคาต่ำกว่าตลาดครึ่งหนึ่งโดยไม่ลังเล เช่นนี้ หูฉางกุ้ยจึงได้ภรรยาสาวที่ไม่สามารถพูดจาได้พร้อมกับป่วยไข้มาหนึ่งคน
หวังซื่อหาท่านหมอที่อยู่ในอำเภอเพื่อดูอาการป่วยของนาง เขียนใบสั่งยาให้ไม่กี่เทียบ หลังจากร่างกายดีขึ้นมาเล็กน้อย จึงเช่าเกวียนวัวหนึ่งคันโคลงเคลงเชื่องช้าพากันกลับหมู่บ้านวั้งหลิน
นับจากนั้น หลี่หรงเหนียงก็เปลี่ยนมาเป็หลี่ซื่อ
เื่ในอดีตดั่งพายเรือผ่านกระแสน้ำ สาวน้อยที่เคยอยู่ใน่เติบโตได้กลายเป็ฟู่เหรินที่เติบใหญ่ สกุลหูใช้ชีวิตยากจนและไม่ได้ร่ำรวยมั่งคั่ง แต่หลี่ซื่อกลับใช้ชีวิตได้อย่างอิสระสบายใจ บางครั้งยามหลับฝันกลางดึก เห็นภาพชีวิตขมขื่นที่ไม่สงบในครอบครัวใหญ่โต นางยังคงใหวาดผวาอยู่บ้างเล็กน้อย
ปัจจุบันนี้ หลี่ซื่อมีบุตรชายบุตรสาวที่เพียบพร้อม ครอบครัวกลมเกลียว และกล่องเสียงสามารถหายเป็ปกติได้อีก ความซาบซึ้งและความสุขก็เอ่อล้นอยู่ในใจนาง
......่บ่าย หลังหิมะตกท้องฟ้าปลอดโปร่งเป็ครั้งแรก
ดวงตะวันที่โผล่พ้นออกมาจากชั้นเมฆ แสงสุริยันอันอบอุ่นสาดส่องลงบนกองหิมะที่ปกคลุมหนาแน่น มองไกลๆ เห็นแสงสีเหลืองจางๆ ปกคลุมบนหิมะขาวหนึ่งชั้น
“ชิ” ผิงอันออกมาจากกระท่อมกระต่ายที่อบอุ่น ถูสองฝ่ามือที่เย็นเยือกไปมาแล้วกล่าวเสียงดัง “ดวงอาทิตย์ออกมาแล้ว อากาศก็ยิ่งหนาวขึ้น มือหนาวจนเกือบจะแข็งอยู่แล้ว”
“เ้ารีบเข้ามาอังไฟ ฮิ ฮิ หิมะตกไม่หนาวแต่การเปลี่ยนแปลงหิมะที่หนาว [4] หิมะเริ่มละลายแล้วจะไม่หนาวได้หรือ”
“ท่านพี่ ท่านกำลังทำอะไร?” ผิงอันนั่งบนม้านั่งและยื่นมือออกไปผิงไฟที่ปากเตา เห็นว่าเจินจูจ้องตรงไปที่ปลากินหญ้าสองตัวที่เย็นจนแข็งในกะละมัง แต่ไม่ทำอะไรเลย
“เอ่อ…” เจินจูเกาศีรษะลำบากใจ นางอยากชำแหละปลา แต่นางไม่เคยทำมาก่อน เมื่อก่อนที่ซื้อปลามาจากตลาด ล้วนเป็พ่อค้าแม่ค้าปลาช่วยจัดการให้เสร็จสรรพ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยฆ่าหรือชำแหละปลามาก่อน หากไม่ระวังจิ้มถุงน้ำดีในตัวปลาแตก เนื้อปลานี่คงทานไม่ได้แล้ว
คิดเล็กน้อย ช่างมันเถิด
“ผิงอัน อีกเดี๋ยวเ้าไปเรียกท่านย่าให้เอาผักดองมาด้วย ตอนเย็นพวกเราจะทำผักดองหม่าล่าปลาทานกัน ปลาสองตัวใหญ่ พวกเราบ้านละตัว” ผักดองหม่าล่าปลาเป็กับข้าวไม่กี่อย่างที่นางในอดีตถนัด สาเหตุเพราะทำง่ายมาก อาหารชนิดนี้ทั้งอร่อยทั้งทำไม่ยาก
แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกที่ทำง่ายคือ ปลาเป็คนอื่นที่ฆ่าและหั่นมาเรียบร้อยแล้ว เป็วัตถุดิบที่หาซื้อได้ง่าย เพียงแค่หั่นผักดองให้เรียบร้อยแล้วผัดจนน้ำแห้ง เอาวัตถุดิบอื่นๆ ผัดกับผักดองให้เข้ากัน เติมน้ำแกงจนเดือนจึงใส่ปลา คนไปมาสักพักหนึ่ง พอสุกก็ได้แล้ว ต้มหนึ่งหม้อทานได้สองวัน
“อื้ม เช่นนั้นข้าจะไปตอนนี้เลย” เกี่ยวกับอาหารที่อร่อยแล้ว ผิงอันขยับวิ่งไปอย่างกระตือรือร้นทันที
“ช้าๆ หน่อย ระวังหกล้ม!” กองหิมะแรกเพิ่งละลาย พื้นผิวถนนเป็กองโคลนเฉอะแฉะ ไม่ระวังเพียงนิดจะล้มหกคะเมนตีลังกาได้
“ทราบแล้ว!” ฟังจากเสียง คงวิ่งไปไกลมากแล้วล่ะ
เจินจูยิ้มแล้วส่ายหน้า
สิบห้านาทีต่อมา มือข้างหนึ่งของหวังซื่อจูงผิงอัน มืออีกข้างหนึ่งถือตะกร้า เดินเลี่ยงหลุมหิมะกองโคลนเข้ามาด้วยความระมัดระวัง
“ท่านย่า…” เจินจูยิ้มแล้วะโเรียก
“อื้ม…” หวังซื่อกลับฝืนใบหน้ายิ้มตอบรับขึ้นมา
“…”
เจินจูเก็บสีหน้ายิ้มแย้มลง อดถามอย่างเป็กังวลไม่ได้ “ท่านย่า เป็อะไรหรือ? เกิดเื่อันใดขึ้นหรือไม่?”
หวังซื่อถอนหายใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวออกมาช้าๆ ด้วยใบหน้าสุขุม “วันนี้ท่านยายของผิงซุ่นมาน่ะ”
เชิงอรรถ
[1] หยาผอ เป็หญิงอาชีพค้ามนุษย์ จัดหามนุษย์ทั้งชายและหญิง มาฝึกอบรมให้เหมาะกับลูกค้าที่้าแรงงานทาส หรือใช้เป็เมียน้อย
[2] เมอเมอ หมายถึง แม่นม หรือหญิงรับใช้ที่มีอายุ
[3] หน้าต่างฝั่งตะวันออกเปิดเผย อุปมาว่า ความลับที่ไม่อาจบอกผู้อื่นได้ถูกเปิดเผยออกมา
[4] หิมะตกไม่หนาวแต่การเปลี่ยนแปลงหิมะที่หนาว เป็หนึ่งประโยคสุภาษิตที่แพร่หลายของพื้นที่ทางเหนือของจีน ความหมายคือ ตอนหิมะตกผู้คนจะรู้สึกไม่ค่อยหนาว แต่จะหนาวขึ้นเมื่อหิมะละลาย