“เมื่อครู่คนที่หน้าประตูนั่นเป็ผู้ใด?” ฟางเสิงถาม
“เป็จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อขอรับ!” เด็กที่มีตาแหลมคมกล่าว
จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อ? ฟางเสิงขมวดคิ้วขึ้น อาชิงเคยเอ่ยถึงคนผู้นี้กับเขาอยู่บ้าง
เมื่อก่อนเคยคิดเฝ้าหวังเพ้อเจ้อต่อจ้าวหงยู่ สองสามปีมานี้ออกไปทำมาหากินอยู่ข้างนอกตลอด ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านแต่อย่างใด
หรือเขายังไม่เลิกคิดอีก?
เหอะ หากกล้าทำลูกไม้สกปรกอะไรออกมาล่ะก็ เขาจะให้คนผู้นั้นได้เสียใจที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลยล่ะ
ั์ตาของฟางเสิงปรากฏรังสีเย็นเยือกแวบหนึ่ง
เื่จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อยื่นศีรษะด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าประตูสถานที่ฝึกการต่อสู้ เข้าถึงหูครอบครัวสกุลจ้าวอย่างรวดเร็ว
“ปัง” จ้าวหงซานตบโต๊ะจนเสียงดังะเื
คนในห้องล้วนใกันทั้งสิ้น
“ไอ้คนชั่วผู้นี้ ดูท่าครั้งก่อนจะต่อยเบาไป ข้าจะไปหาเขา” จ้าวหงซานกัดฟันดังกรอด กล่าวจบก็คิดจะออกไปทันที
จ้าวสี่เหวินและผู้เป็ภรรยารีบรั้งเขาไว้
“เ้าทำอะไรนี่ เดิมก็ไม่ได้เป็เื่ใหญ่มาก หากเ้าเอะอะโวยวายเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าจะยิ่งทำให้หงยู่อึดอัดใจหรือ?” จ้าวสี่เหวินกล่าวตำหนิ
“ใช่ จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อผู้นั้นยังไม่ได้กล่าวอะไรเลย เ้ารุดเข้าไปเอง ไม่ใช่ว่าจะเป็ขี้ปากของชาวบ้านหรือ อย่าก่อเื่สุ่มสี่สุ่มห้าเลย” พานซื่อกล่าวโน้มน้าว
จ้าวหงยู่ยืนใบหน้าซีดขาวอยู่ข้างหนึ่ง มือสองข้างกุมกันไว้แน่น
จ้าวหงซานโมโหจนหน้าอกแปรปรวนไปชั่วครู่ “หรือจะดูเขากระทำความผิดอย่างเหิมเกริมเช่นนี้ขอรับ?”
“เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย อาจแค่ไปดูด้วยความอยากรู้เท่านั้นเอง ตอนนี้พวกเราไปทะเลาะกับเขาไม่ได้นะ เคลื่อนไหวหุนหันพลันแล่นไปก็ไม่มีผลดีอะไรต่อหงยู่” จ้าวสี่เหวินวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบ
จ้าวหงซานค่อยๆ ใจเย็นลง เวลานี้ไม่ว่าจะก่อความวุ่นวายเื่อะไรออกมา ล้วนมีแต่ข้อเสียต่อชื่อเสียงของหงยู่ เื่นี้ครอบครัวพวกเขาต้องอดทนไว้
“เช่นนั้นพวกเราอดทนกับเขาไว้ก่อน หากเขาก่อเื่อะไรออกมาอีก ดูสิว่าข้าจะจัดการเขาอย่างไร”
เขากล่าวอย่างกัดฟันกรามขึ้นเป็สันนูน กว่าน้องสาวของเขาจะมีที่พึ่งพิงดีๆ ได้ไม่ง่ายเลย หากเ้านั่นกล้าทำให้เื่เลวร้ายล่ะก็ เขาจะไม่ยกโทษให้คนผู้นั้นแน่
พานซื่อพยักหน้า ลังเลใจอยู่พักหนึ่งจึงตีจ้าวหงยู่เบาๆ “ไม่เป็ไร สองสามปีมานี้เอ้อร์หม่าจื้อล้วนไม่อยู่ในหมู่บ้าน เกรงว่าพอได้ยินข่าวเข้า จึงอยากไปดูอาจารย์ฟางกระมัง ครั้งก่อนเขากลับมาในหมู่บ้านยังทักทายข้าอยู่เลย ท่าทางค่อนข้างดีเลยด้วย”
“ท่านแม่ ท่านยังพูดคุยกับไอ้ทุเรศนั่นอีกหรือขอรับ?” จ้าวหงซานจ้องตาโต
“กล่าวเลอะเทอะ อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน บังเอิญพบกันพูดคุยสองสามประโยคไม่สมควรหรือ จะทำตัวราวกับคู่อริไปทำไมล่ะ” พานซื่อถลึงตาใส่บุตรชายหนึ่งที
“คนเช่นนั้น มีอะไรต้องพูดคุยด้วยขอรับ” จ้าวหงซานบ่นพึมพำเสียงเบา
พานซื่อถลึงตาใส่เขาอีกครั้ง แล้วจึงมองจ้าวหงยู่ด้วยความเป็ห่วง
จ้าวหงยู่เม้มปาก สีหน้าดีกลับขึ้นมาได้หน่อย
ข้อเท็จจริงได้รับการยืนยันแล้วว่าจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อไม่กล้ามีความคิดอะไรที่ไม่ดีอีกแล้วจริงๆ
วันถัดมาจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อเริ่มหาคนมาช่วยต่อเติมซ่อมแซมบ้าน
บ้านเก่าจัดการบูรณะหนึ่งรอบ แล้วสร้างบ้านใหม่สองห้องหลังใหญ่ขึ้นด้านข้างเป็หลังคามุงกระเบื้อง
ในขณะเดียวกันสายตาของชาวบ้านก็ถูกครอบครัวของจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อดึงดูดความสนใจไป
คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อผู้นี้ออกไปร่อนเร่ไม่เป็หลักแหล่งอยู่ข้างนอก กลับสามารถสะสมเงินได้มากมายเพียงนี้
ชาวบ้านที่ชอบยุ่งเื่คนอื่นมารวมตัวกันที่บ้านจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อและเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นใหม่หนึ่งรอบ
...บ้านสกุลหู เจินจูนั่งอยู่หน้าโต๊ะริมหน้าต่าง กำลังคัดแบบฝึกหัด
ตอนนี้นางสามารถใช้พู่กันเขียนตัวอักษรได้คุ้นชินมากแล้ว แต่รูปแบบตัวอักษรยังคงไม่ค่อยมีความก้าวหน้าอย่างเคย ผู้าุโหลิงกล่าวว่ารูปแบบการเขียนตัวอักษรของนางนุ่มนวลอืดอาด ฝีมือการขยับพู่กันเขียนไม่เหมาะสม ความเร็วในการเขียนตัวอักษรช้า ไม่มีลีลาในการเขียน ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจแก่นของการจรดปลายพู่กัน
เจินจูจนปัญญาเช่นกัน เมื่อก่อนตอนเข้าเรียน ตัวอักษรจากปากกาหมึกซึมก็ธรรมดาอย่างมาก พอตอนนี้เปลี่ยนมาใช้พู่กัน ตัวอักษรจึงยิ่งดูไม่ได้เื่ขึ้นไปอีก
คำพูดของผู้าุโนางได้ยิน แต่ดูเหมือนมือมักคุ้นชินกับแบบเมื่อก่อน ดูท่าแล้วนางจะไม่มีสติปัญญาฝึกตัวอักษรอะไรนี่แล้ว นอกจากขยันเพิ่มการฝึกทุกวันเป็ประจำ นางก็คิดหาวิธีดีๆ อะไรไม่ออกอีกเลย
“เจินจู ตัวอักษรของเ้าเขียนได้ไม่เลวเลย” ชุ่ยจูยกถ้วยชาเข้ามามองใกล้ๆ
“…”
เจินจูชำเลืองมองชุ่ยจูที่ใบหน้ายิ้มกว้างแวบหนึ่ง หากไม่ใช่รู้ดีว่าพี่รองผู้นี้ของนางมิใช่คนปากอย่างใจอย่างแบบนั้น ล้วนต้องสงสัยว่านางกำลังถากถางตนอยู่หรือไม่แล้ว
ชุ่ยจูเห็นเช่นนั้นจึงรีบยิ้มขึ้นทันที “เขียนได้ดีกว่าเมื่อก่อนแล้วจริงๆ”
ชุ่ยจูเรียนรู้กับภรรยาของซิ่วฉายอย่างจริงจังมาสามปีแล้ว ตัวอักษรเสี่ยวข่ายฝึกได้ดีมากกว่าเจินจูเสียอีก
“พี่รอง ผิงซั่นล่ะ?”
ชุ่ยจูพาผิงซั่นมาบ้านด้วย
“ขี่ม้าไม้ [1] กับซิ่วจูอยู่”
ม้าไม้ก็เป็ของเล่นที่เจินจูให้หลู่โหย่วมู่ทำอีกเช่นเคย ไว้สำหรับเด็กเล็กนั่งอยู่ข้างบนโยกแกว่งไปมา ได้รับความชื่นชอบจากเด็กน้อยอย่างมาก
เมื่อก่อนหลู่โหย่วมู่อาศัยเก้าอี้นอนหารายได้มาไม่น้อย ปีที่แล้วพอม้าไม้นี้ออกมาก็ดึงดูดคนที่มีลูกมีหลานพากันมาแย่งซื้อมากมาย สองสามปีมานี้อาศัยเพียงครอบครัวสกุลหู หลู่โหย่วมู่ก็หาเงินได้เต็มอ่างเต็มโถแล้ว ครอบครัวพวกเขาแทบหลั่งน้ำตาสำนึกในบุญคุณต่อสกุลหูยิ่งนัก ทุกๆ เทศกาลปีใหม่พวกของขวัญสิ้นปีต่างๆ นานาล้วนนำมาส่งให้ก่อนเป็อันดับแรก
เจินจูเขียนตัวอักษรสองสามตัวสุดท้ายเสร็จจึงวางพู่กันในมือลง หยัดกายยืนขึ้นบิดเอวี้เี
“ดื่มชาก่อนสิ” ชุ่ยจูส่งถ้วยชาในมือมาให้ “ข้าจะบอกเ้า เมื่อครู่ตอนข้าพาผิงซั่นมา ได้ยินชาวบ้านมากมายกำลังพูดคุยเื่ของจ้าวเอ้อร์หม่าจื้ออยู่”
เจินจูดื่มชาแล้วแสดงเจตนาให้นางกล่าวต่อ
ชุ่ยจูรีบกล่าวเนื้อหาโดยคร่าวๆ ที่ชาวบ้านถกกันออกมาหนึ่งรอบ
“อ้อ อาจเป็เช่นนี้ การที่จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อไม่ได้คิดจะทำอะไร อาจเป็เพราะเห็นวรยุทธ์ของอาจารย์ฟางโดดเด่น และเดิมทีเขาก็ไม่มีความสามารถเป็ปฏิปักษ์กับอาจารย์ฟางได้ เพราะอย่างนั้นก็เลยไม่กล้าก่อกวนท่านอาหงยู่อีก” เจินจูหัวเราะทันที ไม่ว่าผู้ใดต่างคงไม่โง่เขลาจนถึงขั้นเอาไข่มากระทบหินหรอก [2]
“อื้มๆ มีความเป็ไปได้อย่างมาก อาจารย์ฟางเป็คนที่เก่งกาจอย่างยิ่ง ผิงซุ่นกับผิงอันฝึกวรยุทธ์กับเขามาสามปี ฝีมือโดดเด่นมากนัก วันนั้นข้าเห็นพวกเขาฝึกวรยุทธ์กัน ไอ๊หยา มีตีลังกาเบี่ยงตัวไปข้างหน้า ม้วนตัวไปด้านหลัง หรือตะแคงไปด้านข้าง อะไรต่อมิอะไรเหมือนกับเล่นกายกรรมสนุกสนานก็ไม่ปาน การกระทำแต่ละอย่างล้วนสำเร็จไปด้วยดียิ่ง ท่านอาจารย์ฟางยังชมพวกเขาสองคนด้วยนะ” ชุ่ยจูนึกถึงเหตุการณ์ที่ได้เห็นในตอนนั้นขึ้น แทบอยากจะปรบมือให้กำลังใจพวกเขาเลยทีเดียว
จริงอยู่ที่ด้านการบู๊ของเด็กสองคนล้วนเรียนรู้ได้ไม่เลว อีกทั้งเดิมทีซิ่วฉายหยางอยากให้พวกเขาเข้าไปสอบบัณฑิตเด็กปีนี้ เจินจูพิจารณาอยู่สองสามวันจึงรู้สึกว่าพวกเขาอายุสิบเอ็ดและสิบสองปี หากสองคนไปกันแล้วคงเป็ที่ดึงดูดสายตาเกินไป ดังนั้นตอนนี้จึงปฏิเสธไปก่อน ให้พวกเขาเลื่อนออกไปสักหนึ่งปีแล้วค่อยไปสอบก็ยังไม่สาย
เื่เหล่านี้ หูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อให้นางตัดสินใจมาโดยตลอด เจินจูให้เลื่อนออกไปหนึ่งปีก็เลื่อนออกไปหนึ่งปี อย่างไรเสียพวกเขาก็รู้สึกว่าเด็กๆ ยังเล็กนัก ความเป็ไปได้ที่จะสอบผ่านมีไม่มาก
สองสาวพี่น้องนั่งคุยเล่นกันอยู่ครึ่งค่อนวัน
ทันใดนั้นเจินจูก็นึกถึงปัญหาอย่างหนึ่งขึ้นได้ “พี่รอง ได้ยินท่านย่าบอกว่าจะกำหนดท่านให้จ้าวไป่ิของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านคิดอย่างไรหรือ?”
ชุ่ยจูถูกคำถามของนางทำให้ใ แก้มแดงก่ำขึ้นมาในชั่วพริบตา ก้มหน้าต่ำไม่กล้ากล่าวอะไร
“พี่รอง ที่นี่มีแค่เราสองคน ท่านไม่ต้องเขินอาย นี่เกี่ยวเนื่องต่อเื่ชั่วชีวิตของท่าน หากท่านไม่ยินดีก็บอกกับข้า ข้าจะช่วยท่านหาทางออก” ภาพความจำของเจินจูที่มีต่อเ้าเด็กหัวโบราณทื่อๆ ผู้นั้นค่อนข้างรู้สึกธรรมดาอยู่บ้าง
ทื่อๆ จนเป็ลักษณะเดียวกันกับคัมภีร์ทางศาสนา ทำตามขั้นตอนทุกสิ่งอย่าง ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบแบบแผน ไม่รู้จักพลิกแพลง ประพฤติตัวอยู่ในสิ่งที่ยึดถือ
คนอุปนิสัยเช่นนี้สำหรับเจินจูแล้ว ไม่ได้น่าดึงดูดให้ชื่นชอบได้เลย
อย่างน้อยที่สุด นางก็ไม่ได้ชื่นชอบสักเท่าไร
แต่พี่รองของนางมีความขวยเขินแฝงด้วยความประหม่าไปทั่วใบหน้า สายตาท่าทางรู้สึกถึงความชื่นชอบ นี่ก็ชี้แจงทุกสิ่งได้ชัดเจนแล้ว
“ข้า... ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ยินดี”
ดูสิดู พอตนกล่าวว่าจะออกหน้าหาทางออกให้นาง ก็รีบกล่าวออกมาทันทีเลย
ปีนี้ชุ่ยจูอายุสิบห้า เป็่ที่พูดเื่การแต่งงานได้พอดี เด็กสาวบริเวณใกล้เคียงนี้ อายุสิบสี่หรือสิบห้าโดยทั่วไปต่างก็เริ่มเอ่ยถึงเื่การแต่งงานกันแล้ว รอถึงตอนอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีก็แต่งงานได้อย่างเป็ทางการ
เด็กสาวที่ผ่านอายุสิบหกปีไปและยังไม่กำหนดการแต่งงานก็ต้องเริ่มรีบร้อนได้แล้ว ไม่เช่นนั้นสายตาของญาติ หรือสหายบริเวณใกล้เคียงและคนในหมู่บ้านต่างก็จะมองมาด้วยความคิดไปต่างๆ นานา
เจินจูแสดงออกว่าปวดไข่ [3] อย่างมาก
ปีนี้นางอายุสิบสี่ ผ่านปีนี้ไปก็นับว่าอายุสิบห้า ปีหน้านางก็ต้องเริ่มหารือเื่การแต่งงานแล้วเช่นกัน
ชั่วขณะนั้นสีหน้าท่าทางของนางก็กลัดกลุ้มขึ้นมา
มารดามันเถอะ อายุสิบห้าปีเป็อายุของนักเรียนระดับมัธยมต้นก็ต้องเตรียมแต่งงานคลอดลูกแล้ว
นางต้องหายอดเขาแล้วไปหลบซ่อนให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีหรือไม่
ชุ่ยจูมองนางด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่านางสีหน้าอึมครึมทำไม หรือน้องสาวผู้นี้ไม่ชอบที่นางแต่งเข้าครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านกันนะ?
“…เจินจู เ้าเป็อะไรหรือ? ไม่ชอบที่ข้าแต่งให้พี่ไป่ิหรือ?” ชุ่ยจูหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นอย่างทันทีทันใด หากเจินจูไม่ชอบที่นางแต่งให้จ้าวไป่ิ เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี?
นึกถึงเงากายรูปร่างดีดูสง่ามีวิชาความรู้ผู้นั้นขึ้น ทันใดนั้นชุ่ยจูก็สติเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
เจินจูชำเลืองมองและได้เห็นสีหน้าสับสนของนางจึงอดกลัดกลุ้มไม่ได้ “ข้าจะชอบหรือไม่ชอบแล้วเกี่ยวอะไรกัน ที่สำคัญคือท่านชอบหรือไม่ คนที่ต้องอยู่ร่วมกับท่านไปชั่วชีวิต ท่านคิดให้แน่ชัดก็พอแล้ว”
ชุ่ยจูกัดริมฝีปากล่างแก้มแดงเล็กน้อย
ต้นปีนี้จ้าวเหวินเฉียงให้หวงซื่อมาเอ่ยกับหวังซื่อ บอกว่าอยากจองตัวชุ่ยจูให้จ้าวไป่ิ แต่ท่านยายของจ้าวไป่ิจากไปเมื่อสองปีก่อน ชนรุ่นหลังต้องเฝ้ารอ่ไว้ทุกข์สามปี ดังนั้นรอให้ครบสามปีแล้วจึงจะหมั้นหมายได้ อยากให้สกุลหูรอสักหน่อยก่อน
หวังซื่อพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับฐานะของพวกเขาสกุลหูในตอนนี้แล้ว จ้าวไป่ิของหัวหน้าหมู่บ้านนับได้ว่าเป็ตัวเลือกที่ไม่เลว แม้เขาจะสอบย่วนซื่อเมื่อสามปีก่อนไม่ผ่าน แต่ปีนั้นเขาเพิ่งอายุสิบห้า อายุยังน้อยไม่มีประสบการณ์ สอบไม่เข้าก็เป็เื่ปกติ
การวางตัวของครอบครัวจ้าวเหวินเฉียง หวังซื่อวางใจได้อยู่บ้าง จ้าวเหวินเฉียงดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านมาหลายปี การวางตัวเป็ที่ประจักษ์ต่อภายนอกมีเหตุผลมากและเอาตัวรอดเก่ง ส่วนหวงซื่อแม้ชอบคิดเล็กคิดน้อยไปบ้าง เวลาต่อหน้ากลับวางตัวได้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างมาก และบิดามารดาของจ้าวไป่ิ หวังซื่อก็รู้จัก เป็สามีภรรยาที่ฉลาดเฉียบแหลมมีความสามารถในการทำงาน ติดตามน้องชายของภรรยาออกไปทำงานยังเส้นทางทางน้ำของตอนใต้ สองสามปีถึงจะกลับมาสักหนึ่งครั้ง ตามที่ได้ยินมาคือทุกปีสามารถสะสมเงินได้ไม่น้อยเลย
คิดไปใคร่มาหวังซื่อไม่ได้ตกปากรับคำโดยทันที เพียงกล่าวว่าขอพิจารณาดูก่อน
แม้จ้าวเหวินเฉียงจะกระวนกระวายใจ แต่ถึงอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ ครอบครัวสกุลหูในตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมาก ส่วนจ้าวไป่ิยังเป็เพียงบัณฑิตเด็ก ไม่ได้มีผลงานและตำแหน่งชื่อเสียงอย่างเป็ทางการ แล้วก็ไม่มีเงินทุนในการทำธุรกิจหรือความแข็งแกร่งอะไร มีเพียงการวางแผนที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ
หลังชุ่ยจูได้รู้ สิ่งแรงคือความใ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่กล้าคิดเลยว่าจ้าวไป่ิที่เรียนหนังสือได้ดีที่สุดในหมู่บ้านจะมาสู่ขอนางได้ ในความทรงจำของนาง เขาเหมือนดวงจันทร์สุกสกาว ที่ดูสูงส่งมีเกียรติอยู่ในที่ที่ห่างไกลอย่างยิ่ง ไม่ใช่คนทั่วไประดับนางจะคู่ควรได้เลย
หลังจากนั้นจึงค่อยๆ รู้สึกว่าตนเองโชคดี ฐานะทางบ้านเปลี่ยนไปดีขึ้นแล้ว แม้แต่ครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านยังมาไล่ตามเกี่ยวดองกับสกุลหูอย่างพวกนางเลย
และต่อมาเมื่อนึกถึงความสุภาพมีมารยาทเฉพาะตัวที่สงบและงดงามของจ้าวไป่ิขึ้น หัวใจของนางก็เริ่มมีจินตนาการ
นาง... ยินดียิ่ง
ตอนยังเล็กมาก จ้าวไป่ิก็ไม่เหมือนเด็กทั่วไปในหมู่บ้านเช่นพวกนางเหล่านี้
ทุกวันมวยผมเป็ระเบียบ เสื้อผ้าสะอาด แบกตะกร้าหนังสือย่ำไปบนถนนทางไปโรงเรียนส่วนตัว
ที่หมู่บ้านในเขตูเาเล็กๆ แห่งนี้ เขาจึงโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย
ในหมู่บ้านมักมีแม่นางน้อยคอยแอบอยู่ตามถนนข้างทาง แอบส่งสายตาเมียงมองตามเงาแผ่นหลังที่เดินไปเข้าเรียน
เื่นี้เมื่อก่อนนางก็เคยทำเช่นกัน
ต่อมาเมื่อเขาไปหอสมุดไท่ผิงแล้วสถานการณ์เช่นนี้จึงค่อยๆ หายไป
นางไม่กล้าคิดเลยว่าวันหนึ่งจะสามารถยืนอยู่เคียงข้างกับเขาได้
เชิงอรรถ
[1] ม้าไม้ คือ ม้าไม้นั่งโยกของเด็กเล่น
[2] ไข่กระทบหิน อุปมาว่าจะต้องประสบความล้มเหลวหรือพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
[3] ปวดไข่ คือ เป็หนึ่งในคำบนโลกอินเทอร์เน็ต หมายความว่ารู้สึกอับจนหนทาง หรือยุ่งเหยิง หรือตื่นเต้น ต่อบางสิ่งบางอย่างจนทำให้ตัวเองรู้สึกไม่สบายไปทั่วร่างกาย อยากระบายอารมณ์ด้วยการะโไปมาหรือฟาดใครสักคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้