มีเพียงพระสนมซูเฟยเท่านั้นที่ยังมาไม่ถึง
ให้คนจำนวนมากรอนางคนเดียวคงไม่ได้ ดังนั้นเมื่อพ้นยามอู่ทุกคนจึงไปร่วมงานเลี้ยงพร้อมกัน
เซียวหรูเสวี่ยเดินไปเอ่ยกระซิบข้างกายเหยียนอู๋อวี้ “อู๋เจี๋ยอวี๋ดูไม่เป็มิตรกับพี่หญิงเลย พี่หญิงระมัดระวังด้วย”
“ไม่เป็ไร” นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กลับกันยามที่เดินผ่านทะเลสาบหยวนหูคล้ายนางจะรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งหยุดอยู่บนร่างนาง ทว่าเมื่อนางไปตรวจดูกลับไม่พบว่าผู้ใดกำลังมองนาง
นางรู้สึกประหลาดใจทว่าไม่ได้เอ่ยอันใดมากนัก
ขณะที่ทุกคนเดินเข้าไปในสวน เสียงซือจู๋[1]พลันดังขึ้น พร้อมกับเสียงไพเราะเสนาะหูของสตรีลอยมาจากระยะไกล “ขอให้พระชนมายุยืนยาว ขอให้มีบุตรหลานเต็มเมือง...…”
ดูเหมือนเป็คำอวยพร และเหมือนสตรีนางหนึ่งคับแค้นใจที่ไม่ได้รับความรักจากสามี ชวนให้ผู้คนจินตนาการ
เหยียนอู๋อวี้ฟังเพียงรอบเดียวก็รู้แน่ชัดแล้วว่าเสียงนี้เป็ของผู้ใด
ฮวารั่วซี!
ไม่แปลกเลยที่ไม่เห็นนางในตำหนักอี้คุน ที่แท้นางก็รออยู่ที่นี่?
นางมองไทเฮาที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดโดยไม่รู้ตัว ได้ยินไทเฮากระซิบเพียงว่า “อายเจียไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน เนื้อเพลงไม่เลวเลย คล้ายทักษะพิณของซูเฟยจะเก่งขึ้นมาก”
ซ่งอี้เฉินไม่ได้เอ่ยอันใด เขาเพียงใช้สายตามองไปในสวนซึ่งเป็ที่มาของเสียง
ฮวารั่วซีสวมชุดสีส้มอมเหลืองนั่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย ท่วงท่าสง่างาม ราวกับเขาได้เห็นนางเป็ครั้งแรก
น่าเสียดายที่ยามนั้นทำตามอำเภอใจ ทว่าวันนี้เขาจงใจทำ ความเบื่อหน่ายเปี่ยมล้นออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เขาอดที่จะมองไปด้านหลังปราดหนึ่งไม่ได้ และสบตากับเหยียนอู๋อวี้เข้าพอดี
มันชัดเจนราวกับไม่เคยแปดเปื้อนมลทิน
ฮวารั่วซีร้องเพลงจบแล้วจึงลุกขึ้นถวายบังคม พร้อมเผยรอยยิ้มหวานหยดย้อยก่อนเดินไปอยู่อีกด้านหนึ่งของไทเฮา
แม้กระทั่งเต๋อเฟยยังถอยห่างหนึ่งก้าวให้กับท่าทางที่เหมือนฮองเฮานั้น
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็เป็ได้เพียงพระสนม! ในดวงตาของเหยียนอู๋อวี้ฉายแววเย้ยหยัน นางนั่งลงที่ตำแหน่งของตนเองตามที่ขุนนางฝ่ายกรมพิธีการจัดเตรียมให้
ทันทีที่นั่งลง ขันทีด้านนอกจึงเริ่มขานนามของขุนนางที่เข้ามาตามลำดับเสียงดัง
“เหยียนเฉิงเซี่ยง[2]พร้อมฮูหยินเข้าวัง…”
“ใต้เท้าเซียวพร้อมฮูหยินเข้าวัง!”
เหยียนอู๋อวี้ไม่ได้สนใจชื่อก่อนหน้าเ่าั้ ขณะที่ได้ยินชื่อตระกูลเซียว นางเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองคราหนึ่ง
แม้ใต้เท้าเซียวผู้นี้ไม่รู้จักเหยียนอู๋อวี้ ทว่าเขากลับบังเอิญสบสายตาเหยียนอู๋อวี้เข้าพอดี แม้ตั้งใจจะผูกมิตร ทว่าในแววตากลับเต็มไปด้วยการหยั่งเชิง เห็นแล้วทำให้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
เมื่อเซียวหรูเสวี่ยที่อยู่ข้างกายนางเห็นบิดาตนเองพลันอดกลั้นไม่อยู่ เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งกาน้ำชาเดือดนางก็รีบร้อนลุกออกจากที่นั่งแล้ว
ขุนนางคนสำคัญทุกคนในราชสำนักมาครบแล้ว ทว่ากลับไร้ซึ่งร่องรอยของเชื้อพระวงศ์แม้แต่คนเดียว
ป้าโฉ่วบอกเหยียนอู๋อวี้ว่าซ่งอี้หานอดีตรัชทายาท ซึ่งก็คือเสียนอ๋องในปัจจุบันรู้สึกไม่สบายจึงไม่ได้เสด็จมา
ความจริงในใจทุกคนรู้ชัดเจนว่านี่เป็เพียงข้ออ้างเท่านั้น! หากในปีนั้นตระกูลอวิ๋นไม่ช่วยเหลือ เกรงว่าตอนนี้ซ่งอี้หานผู้ถูกขนานนามว่า ‘เสียนอ๋อง’ คงได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ฮ่องเต้อย่างแน่นอน!
เสียนอ๋องไม่มาไม่ใช่เื่แปลก ทว่าสิ่งที่น่าแปลกจริงๆ ก็คือเหตุใดองค์หญิงใหญ่ผู้นั้นก็ไม่มาเช่นกัน!
ในปีนั้นองค์หญิงใหญ่ซ่งอีเสวี่ยมีคุณงามความดีในการช่วยซ่งอี้เฉินขึ้นครองบัลลังก์ ั้แ่นั้นมานางก็อาศัยความดีความชอบนึกลำพองใจมาโดยตลอด ทุกครั้งที่มีงานเช่นนี้ก็มักจะเข้ามาร่วมงานเสมอมาและยังคอยเตือนซ่งอี้เฉินกับมารดาเกี่ยวกับความดีความชอบของตนเองเสียแทบทุกครั้ง
งานเลี้ยงครึกครื้นเป็อย่างยิ่ง คนจำนวนมากกล่าวทักทายประจบสอพลอ ราวกับเป็มิตรที่ดีต่อกัน
เหยียนอู๋อวี้สังเกตเห็นว่าขุนนางเกือบครึ่งหนึ่งต่างคบค้าสมาคมกับตระกูลเหยียน กระนั้นตระกูลเซียวกลับไม่ได้สะทกสะท้าน คล้ายไม่ลงรอยกับตระกูลเหยียนเสียเท่าใด
ดูท่าแล้วสำหรับไทเฮา ก่อนหน้าเซียวหรูเสวี่ยกับเซียวซิ่งเสวี่ยคงนำอคติจากในตระกูลออกมาเป็แน่
นางแสร้งยกมือบังหน้าเสวยอาหาร ทว่าแววตากลับประเมินสถานการณ์เบื้องหน้าให้ชัดเจน
ตระกูลเหยียนค่อนข้างมีอำนาจ มีขุนนางเพียงไม่กี่คนที่ไม่คบค้าสมาคมกับตระกูลเหยียน
ตระกูลเซียวเป็หนึ่งในนั้น และยังมีขุนนางที่นั่งอยู่ท้ายแถวไม่กี่คน ซึ่งพวกเขาไม่ได้ดูสะดุดตานัก
นางใจเต้นเล็กน้อย หลังจากประเมินสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครั้ง นางสังเกตเห็นว่ามีนางกำนัลผู้หนึ่งเดินมาอยู่ข้างกายฮูหยินเซียว และไม่รู้ว่ากำลังเอ่ยสิ่งใดข้างหูฮูหยินเซียว จากนั้นฮูหยินเซียวจึงลุกขึ้นเดินออกไป
หากเป็อย่างที่คาดไว้ นางคงจะไปพบเซียวหรูเสวี่ย
เหยียนอู๋อวี้เหลือบมองไทเฮา และเห็นว่านางกำนัลข้างกายไทเฮากำลังเอ่ยบางอย่างข้างหูไทเฮา ไทเฮาพยักหน้า จากนั้นจึงได้ลุกขึ้นเดินออกจากงานเลี้ยง
เหยียนอู๋อวี้ไม่คิดว่าไทเฮาจะไปพบฮูหยินเซียว ทันใดนั้นนางพลันนึกสงสัยในใจ ก่อนจะกำชับป้าโฉ่วที่อยู่ด้านข้างเสียงเบาหนึ่งประโยคว่าตนเอง้าไปถ่ายหนัก ก่อนจะเดินออกจากงานเลี้ยงไป
เหยียนอู๋อวี้เดินตามเงาร่างสีเหลืองสว่างเบื้องหน้าอยู่ด้านหลังพวกเขาด้วยจังหวะฝีเท้าที่ไม่ใกล้และไม่ไกลจนเกินไป
ไม่รู้ว่าไทเฮาเดินนานเท่าไรแล้ว จู่ๆ ไทเฮาพลันเบี่ยงตัวเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
เหยียนอู๋อวี้สงสัยในใจ ขณะที่กำลังตัดสินใจเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นพลันมีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังมาจากข้างหลังนาง
นางใทันใด แววตาพลันหยุดอยู่ที่ต้นกุ้ยฮวาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ด้านข้าง
ไม่นานเหยียนเฉิงเซี่ยงก็ปรากฏตัวอยู่ในสายตา โดยเฉพาะท่าทางเหลือบซ้ายแลขวา คล้ายกำลังทำเื่มีลับลมคมในบางอย่าง
เมื่อเขาเข้าไปในห้องแล้ว เหยียนอู๋อวี้จึงเดินออกมาจากหลังต้นไม้แล้วไปยืนอยู่ข้างหน้าต่าง
“ตระกูลเซียวเ้ายังไม่จัดการให้เรียบร้อยอีกหรือ?” เสียงไทเฮาที่เต็มไปด้วยความเฉียบขาดดังออกมาจากภายในห้อง
“ตาเฒ่าเซียวดื้อรั้น และไม่มีความขัดแย้งอันใดกับเรา ไฉนจู่ๆ ไทเฮาจึงคิดอยากถามเื่ตระกูลเซียวพ่ะย่ะค่ะ?” เหยียนเฉิงเซี่ยงตอบกลับเสียงเบา ทำให้สามารถจินตนาการบรรยากาศกดดันภายในห้องได้ทันที
“วันนี้ข้านึกถึงเื่ตระกูลอวิ๋นขึ้นมาได้ ตระกูลอวิ๋นเองก็ไม่เป็ที่สนใจเช่นกัน” น้ำเสียงรังเกียจในถ้อยคำของไทเฮาปรากฏชัดเจน
เฮอะ ตอนแรกเ้าใช้ประโยชน์จากตระกูลอวิ๋น ไม่คิดบ้างหรือว่าตระกูลอวิ๋นไม่เป็ที่สนใจ! เหยียนอู๋อวี้ยิ้มเย้ยหยันในใจ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเซียวและตระกูลเหยียนค่อนข้างชัดเจน
แม้สองตระกูลนี้ยังไม่ได้เป็ศัตรูกัน ทว่าเป็เื่จริงที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกัน
หลังจากตระกูลอวิ๋นล่มสลาย ตระกูลเหยียนก็ะโจากตระกูลขุนนางอันดับสามมาเป็ขุนนางชั้นสูงอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าภายในนั้นต้องมีเื่ผิดปกติไม่น้อย
ครั้นเหยียนอู๋อวี้กำลังตัดสินใจฟังต่อไป ทันใดนั้นพลันมีมือคู่หนึ่งวางลงบนหัวไหล่นาง
ไม่รอให้นางตั้งสติ หน้าต่างที่เดิมทีนางยืนอยู่บานนั้นพลันถูกคนเปิดจากด้านใน ใบหน้าชราของเหยียนเฉิงเซี่ยงปรากฏอยู่เบื้องหน้าเหยียนอู๋อวี้
เหยียนอู๋อวี้ขมวดคิ้วและหายใจช้าลง
เขาเพิ่งเห็นชัดเจนว่าคล้ายมีเงาคนเคลื่อนผ่านที่นี่ หรือว่าตนเองตาฝาดไป? เหยียนเฉิงเซี่ยงลอบคิดในใจก่อนจะปิดหน้าต่างทันที
ความจริงแล้วด้านหลังต้นกุ้ยฮวาที่เขามองไม่เห็น เหยียนอู๋อวี้ในเวลานี้ถูกบุรุษสวมชุดขาวผู้หนึ่งกอดเอาไว้
“ขอบพระทัยองค์ชายจวินที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ พระองค์ปล่อยมือก่อนได้หรือไม่เพคะ?” เหยียนอู๋อวี้รู้ว่าหากเมื่อครู่บุรุษชุดขาวด้านหลังไม่ลากนางมาตรงนี้ ยามนี้นางคงถูกเหยียนเฉิงเซี่ยงพบตัวนานแล้ว
จวินอู๋เสียยกยิ้มมุมปาก จากนั้นจึงปล่อยมือข้างที่กอดเอวเหยียนอู๋อวี้ไว้ คล้ายเป็การเพิ่มระยะห่างระหว่างตนเองกับเหยียนอู๋อวี้โดยมิได้ตั้งใจ ก่อนจะเอ่ยกระซิบว่า “เป็ข้าน้อยที่ล่วงเกิน”
เชิงอรรถ
[1] ซือจู๋ เป็เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายชนิดหนึ่ง
[2] เฉิงเซี่ยง หมายถึง ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้