คำพูดของจ้าวอี้เมื่อครู่เป็การพูดให้ผู้บัญชาการฟัง ในคำพูดของเขามีสองความหมาย ความหมายแรก เขาอธิบายถึงสถานที่ในวิกตอเรียพาร์ค ซึ่งเป็การให้ผู้บัญชาการตามมาสนับสนุนเขา
แม้ว่าจ้าวอี้จะมั่นใจในความสามารถของตนมาก แต่เขาไม่ได้หยิ่งยโสขนาดนั้น เขาไม่คุ้นกับสถานที่แห่งนี้ ใครจะรู้ว่าอาจมีอันตรายเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ การโทรหาผู้บัญชาการจึงเป็ทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด
ความหมายที่สองคือการบอกผู้บัญชาการว่าเกิดเื่อะไรขึ้น มีใครบางคนมอบให้เงินเขา เื่นี้ไม่สามารถอธิบายให้ละเอียดได้ อาจต้องให้ผู้บัญชาการคาดเดาเอง
“คุณเรียกแท็กซี่ก็พอ คนขับแท็กซี่รู้ว่าสวนสาธารณะอยู่ที่ไหน แค่ไปให้ถึงประตูหน้า ห้ามวางสายเด็ดขาด อีกอย่างหนึ่ง คุณต้องมาที่นี่คนเดียว ไม่อย่างนั้นเราคงไม่สามารถเจรจาธุรกิจกับคุณได้”
ข้อเสนอของอีกฝ่ายไม่เกินการคาดหมายของจ้าวอี้ เขาโบกมือส่งสัญญาณให้เ้าหน้าที่ตำรวจที่จะตามไปกับตนว่าไม่ต้องตามมาและให้หาวิธีอื่นแทน เขามั่นใจเลยว่านอกสถานีตำรวจจะต้องมีสายของอีกฝ่ายคอยสังเกตการณ์โดยรอบอยู่แน่นอน ถ้ามีเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นล่ะก็ อีกฝ่ายต้องหายไปอย่างไร้ร่องรอยแน่
“คนเดียว? ใครจะรู้ ถ้าพวกคุณเกิดเล่นตุกติกขึ้นมาล่ะ”
จ้าวอี้ขณะที่เริ่มเดินออกไปด้านนอก
“ฮาๆ คุณจ้าว คุณเป็คนที่พกปืนนะ ยังจะกลัวประชาชนธรรมดาอย่างเราอีกหรือ?”
เมื่อออกมานอกสถานีตำรวจ จ้าวอี้ก็มองไปรอบๆ
ที่นี่ค่อนข้างศิวิไลซ์ มีร้านสะดวกซื้อตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและร้านอาหาร…ฮ่องกงมีประชากรเยอะแต่มีพื้นที่น้อย ที่ดินมีราคาสูง มีสถานบันเทิงตั้งอยู่ติดๆ กัน บริเวณรอบๆ มีประชาชนอย่างต่ำร้อยกว่าคน แม้การช่างสังเกตของจ้าวอี้จะเฉียบแหลมเพียงใด เขาก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า ใครกำลังจับตามองตนอยู่ภายในเวลาสั้นๆ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าคนคนนี้มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่
เขาเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง จ้าวอี้เข้าไปนั่ง “พี่ครับ ไปวิกตอเรียพาร์คประตูหน้าครับ”
“ได้เลย!”
คนขับตอบรับและเริ่มแนะนะทิวทัศน์ของฮ่องกง ฟังจากสำเนียงแล้ว เขาพอจะเดาออกว่าจ้าวอี้ไม่ใช่คนในพื้นที่
“ให้คนขับหุบปากซะ!”
น้ำเสียงค่อนข้างโมโหของอีกฝ่ายลอดออกมาจากโทรศัพท์ พวกเขาได้ยินเสียงจากรอบข้างผ่านการคุยด้วยโทรศัพท์มือถือ
“พี่ครับ ไม่ต้องพูดก็ได้ครับ”
จ้าวอี้ทำตามและหยิบบัตรประจำตัวของตนให้คนขับดู คนขับจึงหุบปากทันที แล้วขับรถอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ตอนนี้ผมจะวางโทรศัพท์ก่อน แล้วจากนั้นผมจะโทรหาคุณด้วยโทรศัพท์เครื่องอื่น คุณต้องรีบรับสายให้เร็วที่สุด เข้าใจไหม?” คำพูดของอีกฝ่ายลอดผ่านมาอีกครั้ง
“จำเป็ต้องยุ่งยากขนาดนี้เลยเหรอ?”
จ้าวอี้รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลอะไร
"ฮ่าๆ การระวังตัวทำให้มีชีวิตยืนยาวนะ เป็อย่างนั้นแหละ"
เขาตัดสายทิ้ง และมีเสียงรีบเร่งดังลอดมา
“จ้าวอี้ คุณวางใจได้ ผมจัดกำลังคนไว้แล้ว ที่คุณต้องทำก็คือยื้อเวลาไว้ เข้าใจไหม?”
เสียงของผู้บัญชาการดังมาจากโทรศัพท์อีกเครื่อง
“รับทราบครับ!”
จ้าวอี้ตอบรับ
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
จ้าวอี้้าจะยื้อเวลา แต่ผู้บัญชาการก็พูดขึ้นอีกครั้ง “รับโทรศัพท์เถอะ อีกฝ่ายระวังตัวมาก อย่าให้พวกเขาสงสัย”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนแล้ว? บอกตำแหน่งของคุณมาหน่อย”
เสียงต่างจากคนแรก เป็เสียงสังเคราะห์แหบแห้งที่ดังขึ้นในสายของจ้าวอี้
จ้าวอี้ถามคนขับ คนขับบอกชื่อสถานที่ และจ้าวอี้ก็บอกอีกฝ่ายไป
ทุกห้านาที อีกฝ่ายจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ระหว่างทางเปลี่ยนไปแล้วห้าครั้ง และจ้าวอี้ใกล้จะถึงประตูหน้าของวิกตอเรียพาร์คเข้าไปเรื่อยๆ แล้ว
ขณะเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจ ก็ปรากฏฉากวุ่นวายขึ้น
อี้เกอที่ถูกสายเรียกข้าวของจ้าวอี้ปลุกขึ้นมาจากเตียงไร้ซึ่งความกังวลใดๆ เขากำลังจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย
“หน่วยพยัคฆ์บินออกไปหรือยัง? รีบไปที่วิกตอเรียพาร์คทันที ปลอมตัวให้ดี รอสัญญาณจากฉันแล้วค่อยจู่โจม! ตำแหน่งมือถือเป็ยังไงบ้าง? หาสัญญาณของอีกฝ่ายได้หรือยัง?”
ทั้งห้องโถงราวกับสปริงที่แข็งตึง อี้เกอนั่งอยู่ที่ตำแหน่งของตน ไม่มีใครกล้านิ่งเฉย
“รายงานครับ! อีกฝ่ายระวังตัวอย่างมาก เวลาห้านาทีพวกเราทำได้เพียงระบุตำแหน่งอย่างคร่าวๆ เท่านั้นครับ ทุกครั้งสายของอีกฝ่ายเหมือนกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วอยู่ รูปการณ์แบบนี้คล้ายกับว่าเขาอยู่ในรถไฟใต้ดิน อีกทั้งตำแหน่งของสัญญาณที่ปรากฏขึ้นมาสี่ครั้งไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง จากการสันนิษฐานเบื้องต้น คาดว่าอีกฝ่ายต้องมีอย่างน้อยสองคนจึงจะทำแบบนี้ได้ครับ”
“จับตำแหน่งต่อไป แจ้งให้สถานีตำรวจใกล้เคียงเตรียมเข้าจับกุม ทั้งหมดต้องคอยสัญญาณจากฉัน”
อี้เกอออกคำสั่งอย่างใจเย็น คนร้ายเ้าเล่ห์มาก แต่เขาก็ยังมั่นใจอยู่
“ฉันมาถึงสวนสาธารณะแล้ว แกอยู่ไหน?”
จ้าวอี้มองไปรอบๆ ขณะนี้เป็เวลาประมาณห้าทุ่ม มีคนอยู่ในสวนสาธารณะเพียงไม่กี่คน เป็คนจรจัดสองสามคนที่กำลังนอนกรนเป็ครั้งคราว
“คนของเรายังไม่ถึงที่หมายที่กำหนด เพราะงั้นหาวิธียื้อเวลาซะ” โทรศัพท์อีกสายหนึ่งบอกเนื้อหามาเช่นนี้ ตามคำสั่งที่ผู้บัญชาการให้จ้าวอี้มา จ้าวอี้ได้เปลี่ยนเป็โหมดเงียบไว้ั้แ่แรกแล้ว เป็การระวังไว้ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้
“ตอนนี้คุณต้องรีบไปที่เกาลูนซะ!”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้จ้าวอี้ชะงัก เขาตอบกลับในทันที “พวกแกล้อฉันเล่นหรือไง? ตระเวนไปนู่นมานี่กลางดึกมันสนุกมากไหมวะ? แล้วเกาลูนคือที่ไหนอีกเนี่ย?”
จ้าวอี้แสร้งทำท่าโมโหแล้วถามอีกฝ่าย
“ฮ่าๆ คุณจ้าว อีกเดี๋ยวคุณก็ได้รับเงินหลายล้านหยวนแล้ว เื่ดีๆ แบบนี้ต่อให้ผมต้องหักขาตัวเองผมก็เต็มใจนะ คุณก็แค่ต้องทนหน่อย เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้นี่นา พวกเราต้องตัดสินใจว่าข้างหลังของคุณมีหางอยู่หรือไม่ ถูกไหมล่ะ?”
แม้จะเป็แบบนั้น แต่อารมณ์ของจ้าวอี้ก็ไม่ค่อยดีอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจำต้องทำตาม เรียกแท็กซี่อีกครั้ง และมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่กำหนดอีกครา
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในการรับรู้ของอี้เกอ เขาต้องพิจารณาใหม่อย่างช่วยไม่ได้
“แจ้งหน่วยพยัคฆ์บินให้หยุดปฏิบัติการชั่วคราว เลือกคนที่มีฝีมือดีสองสามคนติดตามจ้าวอี้ ระวังอย่าให้อีกฝ่ายรู้ตัว”
เขาออกคำสั่งใหม่
คำสั่งนี้ถูกดำเนินการทันที
แม้จะปฏิบัติตามคำสั่ง แต่คนที่มาใหม่บางคนกลับไม่เข้าใจ คนเก่าที่อยู่มานานจึงต้องไขข้อสงสัยให้ฟัง “หน่วยพยัคฆ์บินมีกำลังคนมาก การเคลื่อนไหวของพวกเขามีมากเกินไป ในสถานที่เงียบสงบอย่างวิกตอเรียพาร์คนั่นยังดี แต่สถานที่แบบเกาลูนไม่มีทางปิดบังการเคลื่อนไหวได้แน่ เพราะงั้นเลยทำได้เพียงส่งกลุ่มเล็กๆ ที่มากฝีมือไปสะกดรอยตามแทน จะได้ไม่เป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ความหมายของอี้เกอคือแบบนี้นั่นเอง
เขาครุ่นคิดหาวิธีจัดการกับสถานการณ์นี้
คอยตามอยู่ด้านหลังจ้าวอี้ ทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย ต้องช้ากว่าก้าวหนึ่ง ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ จะพลิกสถานการณ์อย่างไรดี?
“เมื่อถึงเกาลูนแล้ว ให้ไปที่ดิสนีย์แลนด์ต่อ”
“เวรเอ๊ย อีกฝ่ายระวังตัวเกินไปแล้ว ให้ทุกคนอดทนไว้แล้วทำตามคำสั่งฉันต่อไป ดูสิว่าความอดทนของพวกเรามีมากกว่า หรือเล่ห์เหลี่ยมของอีกฝ่ายจะทำให้หลบหนีไปได้ก่อน เมื่อครู่แผนกเทคโนโลยีของพวกคุณบอกว่า สัญญาณโทรศัพท์ของอีกฝ่ายเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วสินะ? งั้นรีบส่งคนเข้าไปในรถไฟใต้ดิน ดูสิว่ามีใครเข้าข่ายบ้างไหม! เคลื่อนไหวให้เงียบที่สุด แต่งตัวเรียบๆ เข้าใจไหม?”
คำสั่งสุดท้ายของอี้เกอเป็การใช้วิธีหว่านแห วันนี้เขาใช้กำลังคนไปไม่ใช่น้อย อีกทั้งเป็คำสั่งของเขาเองด้วย เขาไม่อยากได้คำตอบที่ล้มเหลว
จ้าวอี้หลงทางแล้ว เส้นทางในฮ่องกงซับซ้อนเกินไป เขาเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก อีกทั้งยังมาคนเดียว จึงเป็เื่ยากที่จะไม่หลงทางเลย
“สถานีรถไฟใต้ดินที่แกพูดถึงอยู่ที่ไหนกัน? ก็ได้ เดี๋ยวฉันถามคนแถวนี้เอา”
จ้าวอี้ถามอีกฝ่ายในที่อยู่ในสายตลอดเวลา อีกฝ่ายถูกเขาถามจนเริ่มสับสน ท้ายที่สุดจึงออกความเห็นให้ถามคนที่อยู่แถวนั้นแทน
“ฉันบอกว่าพอได้แล้ว ฉันจะอ้วกแล้วเนี่ย ฉันไม่ได้บอกคนอื่นจริงๆ แค่จะเอาเงินมันยากขนาดนี้เลยเหรอ?” จ้าวอี้แสร้งทำทีเป็โอดครวญ นี่ก็เป็ความ้าของอี้เกอเช่นกัน การตอบสนองเช่นนี้ถึงจะสมเหตุสมผล
เกือบทำให้จ้าวอี้ไปถามทางจนวุ่นวาย ในที่สุดอีกฝ่ายก็กำหนดวิธีเจรจามาเสียที
“ตอนนี้คุณเข้าไปในรถไฟฟ้าใต้ดิน จากนั้นก็ไปที่สถานีมงก๊กซะ”
ในสถานีรถไฟใต้ดินมีคนอยู่เยอะมาก แม้ว่าจะดึกมากแล้วก็ตาม เป็หนึ่งในสถานที่ที่มีคนเยอะที่สุดในฮ่องกง
ที่นี่จะทำให้การจับกุมยากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
มาถึงสถานีมงก๊กแล้ว
จ้าวอี้ลงจากรถไฟใต้ดิน ยืนอยู่ที่ชานชาลา ถามอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “แล้วจะให้ไปไหนต่อ?”
ความอดทนของเขาสูงมาก แต่สำหรับคนที่ถูกให้ไปตระเวนไม่หยุดเป็เวลาสองสามชั่วโมงแล้ว เกรงว่าคงจะไม่พอใจเท่าไร ซึ่งเป็เื่ปกติอยู่แล้ว
คำตอบของอีกฝ่ายเกินความคาดหมายของจ้าวอี้ “คุณยืนให้ห่างจากชานชาลาไปสิบเมตร อีกประมาณสองนาทีจะมีรถไฟสายกวนถังมาถึง คุณไม่จำเป็ต้องไปต่อ แค่รอห่างออกไปสิบเมตรเท่านั้น”
ทันทีที่คำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา จ้าวอี้พลันกระตือรือร้นขึ้นมา ราวกับว่าในที่สุด อีกฝ่ายก็ตกลงเจรจาด้วยกันแล้ว
ไม่เพียงแต่จ้าวอี้เท่านั้น อี้เกอเองก็รับรู้ถึงจุดนี้ด้วยเช่นกัน ทุกคนเตรียมพร้อมอย่างใจจดใจจ่อ
“คนของเราอยู่สถานีมงก๊กหรือเปล่า?”
“อยู่ครับท่าน มีสามคนที่ปลอมตัวเป็ผู้โดยสาร พวกเขาอยู่ตรงนั้น”
“ดีมาก ทำตามคำสั่งของฉัน อย่าบุ่มบ่าม”
ห้านาทีผ่านไป รถไฟใต้ดินขบวนหนึ่งก็ค่อยๆ เข้าสถานีอย่างช้าๆ แล้วจอดนิ่งสนิท
“ตอนนี้คุณไปที่ประตูหมายเลขเจ็ด มันอยู่ออกห่างไปสิบเมตร อย่าบุ่มบ่ามเสียก่อนล่ะ?” คำพูดของอีกฝ่ายค่อนข้างวิตกเช่นกัน
จ้าวอี้เจอประตูหมายเลขเจ็ดแล้ว มีผู้โดยสารลงจากรถไฟไม่น้อย บ้างก็อุ้มลูก บ้างก็เป็ผู้ชาย บ้างก็เป็ผู้หญิง สิ่งที่ทำให้จ้าวอี้หันไปมองคือเด็กหนุ่มที่สวมหมวกแก๊ปกับหน้ากากอนามัย แต่เขาเพียงเดินเฉียดไหล่ผ่านไปและไม่เกิดอะไรขึ้น
จ้าวอี้ค่อนข้างฉุนเฉียว แต่เขาทำได้แค่รอเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าคนที่ขึ้นลงรถไฟกันหมดเรียบร้อยแล้ว รถไฟใต้ดินก็เตรียมปิดประตูและออกตัวอีกครั้ง ขณะที่จ้าวอี้คิดว่าอีกฝ่ายจะหลอกตนซ้ำอีกครั้ง ก็การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น!
สิบวินาทีก่อนประตูจะปิด กระเป๋าเป้ก็ถูกโยนออกมาจากด้านใน
อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นในสายอย่างรีบร้อน “เห็นกระเป๋าเป้หรือยัง? ในกระเป๋าเป้มีเงินมัดจำล้านหนึ่งอยู่ ผมจะให้คุณแค่ส่วนนี้ก่อน...”
รถไฟออกตัวแล้ว และไม่มีใครลงมาอีก
ตอนนี้จ้าวอี้อยากพุ่งเข้าไปในรถไฟเพื่อหาว่าใครเป็คนโยนออกมา แต่เขาก็ทำไม่ได้
ความสนใจของเขาเมื่อครู่ถูกกระเป๋าเป้ดึงไปจนหมด ซึ่งเป็ธรรมชาติของมนุษย์
เขาทำได้เพียงหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาอย่างเสียดาย รับ ‘ของขวัญ’ นี้ไว้ ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ใช่อย่างที่เขา้าเลยสักนิด
อี้เกอที่อยู่ในห้องบัญชาการก็ได้รับรายงานเช่นกัน เขาทุบโต๊ะอย่างแรง!
ปฏิบัติการล้มเหลว!
ทันใดนั้น เ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งก็รายงานว่า "ท่านครับ บนรถไฟขบวนเมื่อครู่มีตำรวจสายตรวจอยู่นายหนึ่งครับ เขาสังเกตเห็นว่าใครเป็คนโยนกระเป๋ออกมาครับ!"
“จับตัวมาเดี๋ยวนี้!”
ใบหน้าของอี้เกอปิดบังความยินดีไว้ไม่อยู่ เป็เื่ที่คิดจะปลูกต้นไม้กลับปลูกไม่ขึ้น แต่ไม่ตั้งใจจะปลูกต้นหลิวกลับเติบโต1 ตอนแรกที่เขาวางหมากไว้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ผลลัพธ์กลับออกมาดีอย่างคาดไม่ถึง!
เขาเดินไปเดินมาไม่หยุด อี้เกอรอผลรายงานอย่างตื่นเต้น และมีรายงานใหม่เข้ามาทันที
“ท่านครับ อีกฝ่ายไม่ขัดขืนเลยครับ เขาบอกว่ามีชายสวมหมวกแก๊ปคนหนึ่งส่งกระเป๋าเป้ให้เขา และยังให้ทิปอีกหนึ่งร้อยหยวนเพื่อให้เขาโยนกระเป๋าออกไปตอนประตูใกล้จะปิด เขาแค่อยากได้เงินเท่านั้นครับ แล้วก็ไม่รู้จักคนคนนั้นเลยด้วย”
“ดี! แจ้งคนของเราทุกคนที่สถานีมงก๊กให้ตามหาชายสวมหมวกแก๊ปคนนี้ซะ! ใช่แล้ว ในรถไฟใต้ดินขบวนเมื่อครู่ แจ้งคนของเราให้ตรวจสอบทุกคนที่อยู่ในขบวนในสถานีถัดไป ฉันคิดว่าต้องมีคนจับตามองกระเป๋าที่ถูกโยนออกมาอยู่ในขบวนนี้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่วางใจส่งกระเป๋าเป้ที่มีเงินสดให้คนแปลกหน้าหรอก!”
สมองของอี้เกอประมวลผลอย่างรวดเร็ว ออกคำสั่งคำต่อคำ!
ทุกคนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดทันที
--------------------------------------------
1 เป็สำนวนจีน หมายถึง เมื่อทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างหนักแต่ผลกลับไม่เป็อย่างใจหวัง แต่เมื่อไม่ใส่ใจจะทำ ผลกลับออกมาดี