ผลไม้นั้นมีรูปทรงรี เปลือกมีลวดลายสีขาวจางๆ ส่วนปลายมีแสงสีทองส่องประกายระยิบระยับ แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ทรงพลัง
ลู่เต้าเห็นแล้วก็กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ส่วนไป๋เสียถึงกับตาค้างยืนนิ่งเป็หุ่นขี้ผึ้ง
“ไม่มี…ไม่มี…” ไป๋เสียพึมพำเบาๆ จนลู่เต้าอดหันไปมองไม่ได้
“เป็อะไรไป”
“ผลไม้นี้ไม่เคยปรากฏในตำราไหนมาก่อน!” ไป๋เสียก้มหน้าลงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นหมายความว่ามันเป็สิ่งล้ำค่าหายากที่คนทั่วไปไม่รู้จัก!”
“หมายความว่าเ้าเองก็ไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วจะเป็อย่างไร” ลู่เต้าหรี่ตา หยิบผลไม้สีทองขึ้นมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน “ว่าแต่…สีสันสดใสขนาดนี้ ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย”
‘สีสันสดใสเท่ากับมีพิษ มีพิษเท่ากับห้ามกิน’ นี่คือทักษะเอาชีวิตรอดในป่าที่ลู่คงพร่ำสอนเขามาั้แ่เด็ก
ไป๋เสียได้ยินก็ตวัดสายตามองลู่เต้าทันที “เ้าหมายความว่าอย่างไรกัน บรรพบุรุษข้าอุตส่าห์เก็บรักษาผลไม้นี้เอาไว้ เพียงเพื่อจะสังหารผู้สืบทอดอย่างนั้นรึ”
“ก็ไม่แน่ เพราะสีสันแบบนี้คล้ายกับผลไม้อย่างหนึ่งที่ข้าเคยกินเข้าไป” ลู่เต้าดูผลไม้สีทองอย่างละเอียด
“นี่เ้าหนู…” ไป๋เสียได้ยินลู่เต้าตอบก็เบิกตากว้าง “ลวดลายบนผลไม้นั่น… คงไม่ใช่เป็ลายวงก้นหอยกระมัง”
“ใช่ๆ! ลายวงก้นหอย! เ้าก็รู้จักอย่างนั้นหรือ” ลู่เต้าร้องออกมาอย่างตื่นเต้นราวกับเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์
“ที่เ้าพูดถึงคือ ‘ผลแห่งความสับสน’ กินเข้าไปแล้วจะทำให้วิกลจริต ถ้าอาการหนัก อาจทำให้ผู้ที่กินเข้าไปเกิดอาการทางจิตได้!” ไป๋เสียเอ่ย “เ้า…คงไม่ได้กินมันเข้าไปจริงๆ ใช่หรือไม่”
“สบายใจได้!” ลู่เต้ายกนิ้วโป้งขึ้นด้วยยิ้มร่า “หลังจากได้รับการรักษาด้วยวิธีพื้นบ้านของท่านปู่ ทั้งข้าและข้า…ก็ปลอดภัยดี!”
ไป๋เสีย “ข้าและข้า???”
ลู่เต้ามองผลไม้สีทองในมือ “กินสิ่งนี้เข้าไปแล้ว ข้าจะสามารถปลุกพลังิญญาได้งั้นหรือ”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ข้ากังวล” ไป๋เสียเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็กังวล “สุดท้ายแล้วจะบรรลุผลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาญาณของผู้กิน แต่ในเมื่อเมล็ดพันธุ์สืบทอดเลือกเ้าแล้ว ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
จากนั้นไป๋เสียก็กล่าวด้วยสายตาคมกริบ "แต่ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ ละก็ ข้าจะสังหารเ้าเสีย"
ลู่เต้ายิ้มแหยๆ แล้วหยิบผลไม้สีทองขึ้นมากัดเข้าไปคำหนึ่ง ความรู้สึกเย็นสดชื่นก็แผ่กระจายไปทั่วร่างทันที
เสียงพิณอันไพเราะดังแว่วมา ลู่เตาลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในความว่างเปล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเหมือนล่องลอยอยู่ท่ามกลางแม่น้ำสีทอง ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้
ขณะที่เขากำลังสงสัยว่าตัวเองกลับมาที่นี่ได้อย่างไร บุรุษผู้บรรเลงพิณซึ่งมองไม่เห็นใบหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นที่ริมฝั่งน้ำ แล้วเอ่ยกับเขาว่า “ในที่สุดเ้าก็มา”
ลู่เต้ากำลังจะเอ่ยปากถาม แต่กลับพบว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้ อ้าปากพูดก็ไม่ได้เช่นกัน
ชายหนุ่มยิ้ม “พลังแห่งวิถีอสูรจะช่วยให้เ้ารอดพ้นจากกาลกิริยา พลิกผันชาตา รู้แจ้งเห็นจริงใน์ ข้ามวัฏสงสาร จงทะนุถนอมมันไว้ให้ดี”
เขาเดินมาข้างๆ ใช้นิ้วชี้แตะไปที่หน้าผากของลู่เต้าเบาๆ “จงไปเถิด ลู่เต้า!”
‘เขารู้จักข้าด้วย’ ลู่เต้ารู้สึกใ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย สมองก็ปวดร้าวอย่างรุนแรง ทุกสิ่งรอบตัวพลันหมุนคว้าง ความว่างเปล่าแตกสลายกลายเป็แสงสว่างเจิดจ้า
พลังอันแข็งแกร่งเกินกว่าที่ลู่เต้าจะควบคุมได้ไหลบ่าเข้ามาในหัวสมองของเขาราวกับสัตว์ร้าย มันกำลังทวีความเ็ปอันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยไว้เช่นนี้ สมองของเขาคงะเิเพราะมิอาจทานทนรับพลังนี้ได้!
ปิดกั้นไว้คงไม่ได้ผล! ในเมื่อกักขังมันไว้ไม่ได้ ก็ลองเปลี่ยนเป็ชี้นำพลังไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายดู ลู่เต้าเองก็ไม่รู้ว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ แต่ ณ เวลานี้ เขามีทางเลือกเดียวคือต้องเสี่ยงดู!
ลู่เต้าหลับตาลง กัดฟันแน่น พยายามชี้นำพลังที่ไหลบ่าอยู่ในหัวสมองออกไป มันแตกต่างจากการควบคุมพลังิญญาที่ลื่นไหล การชี้นำพลังที่บ้าคลั่งนี้ราวกับกำลังขี่วัวกระทิงที่กำลังคลั่ง ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งใดๆ
โชคดีที่ลู่เต้ามีััไว ด้วยพลังิญญาที่ละเอียดอ่อนกว่าคนทั่วไป จึงสามารถดึงวัวกระทิงที่กำลังคลั่งออกมาจากหัวสมองได้ เมื่อความปั่นป่วนในหัวสมองสงบลง ลู่เต้าก็รู้สึกดีขึ้นมาก
ภายใต้การชี้นำอย่างสุดกำลังของเขา ความเ็ปจากศีรษะก็แผ่กระจายลงไปยังจุดชีพจร เหนือทะเลปราณ อสุนีบาตเปรี้ยงปร้าง พายุโหมกระหน่ำ พลังอันบ้าคลั่งกลายเป็อสนีสีทองฟาดลงบนก้อนหินในทะเลปราณส่งเสียงดังตู้ม! หลังจากเสียงดังกึกก้อง ลู่เต้าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหมดสติไปเพราะหมดแรง
“นี่!”
เขารู้สึกว่าถึงเสียงคุ้นเคยดังเรียกเขาอยู่ข้างหู
“เ้าหนู! ตื่น!” ไป๋เสียร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
ลู่เต้าลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ปรากฏว่าเขายังอยู่ในถ้ำลับ และไป๋เสียกำลังจ้องเขาด้วยสีหน้ากังวล
ที่แท้หลังจากที่เขากัดผลไม้สีทองเข้าไปก็ล้มลงหมดสติไป ไป๋เสียต้องพยายามอย่างมากกว่าจะปลุกเขาขึ้นมาได้
“เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น” ลู่เต้าถามอย่างงุนงง “ข้ารู้สึกเหมือนมีบุรุษผมยาวยื่นนิ้วมาแตะที่หน้าผาก…”
“ไม่!” ไป๋เสียขัดจังหวะ “เ้ารีบดูทะเลปราณของตัวเองก่อนเถอะ!”
ลู่เต้าเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของไป๋เสียก็ไม่กล้าชักช้า รีบหลับตาลง ส่งจิตลงไปยังทะเลปราณ ไป๋เสียรออยู่ก่อนแล้ว เขากำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้ากังวล ลู่เต้าเงยหน้ามองตามไป
เหนือท้องฟ้าที่ฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้าง ปรากฏโคมไฟิญญาขนาดใหญ่เจ็ดดวงที่เรียงตัวตามตำแหน่งของกลุ่มดาวหมีใหญ่
ในบรรดาโคมไฟเจ็ดดวง ตอนนี้มีเพียงโคมไฟที่อยู่ตรงตำแหน่ง ‘บูรพา’ เท่านั้นที่มีเปลวไฟลุกโชน
ลู่เต้ามองโคมไฟิญญาบนท้องฟ้า “นี่มันอะไรกัน”
“ถามตัวเองสิ! นี่ไม่ใช่พลังิญญาที่เ้าเพิ่งปลุกขึ้นมาหรอกหรือ”
“อะไรนะ” ลู่เต้าคิดว่าตัวเองหูฝาด “ข้าปลุกมันขึ้นมาั้แ่เมื่อไร ทำไมข้าไม่รู้เื่เลย”
“ไม่มีทางผิดหรอกเ้าหนู” ไป๋เสียจ้องมองสายฟ้าที่พาดผ่านบนท้องฟ้า สายฟ้าเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ “หลักฐานก็คือ…”
แสงสีขาวสว่างวาบ! ฟ้าผ่าลงมา! แสงอันเจิดจ้าทำให้ลืมตาไม่ขึ้น ครู่ต่อมาแสงสว่างก็ค่อยๆ จางหายไป ท่ามกลางควันขาวโขมงจากสายฟ้า ก็เผยดาวดวงหนึ่งส่องประกายเจิดจ้าปรากฏขึ้นเหนือทะเลปราณ
ไป๋เสียกล่าวด้วยแววตามั่นใจ “เ้าเลื่อนระดับเป็ผู้ฝึกตนระดับหนึ่งดาราแล้ว!”
ตราบใดที่ผู้ที่ทะลวงจุดชีพจรได้แล้ว และสามารถปลุกพลังิญญาได้หลังจากกินโอสถ เหนือทะเลปราณก็จะปรากฏดวงดาวขึ้นเป็สัญลักษณ์
การฝึกฝนพลังิญญานั้นแตกต่างจากวิชาอื่นๆ ระดับและพลังไม่ได้เป็สัดส่วนโดยตรง ระดับของพลังิญญาขึ้นอยู่กับปัญญาญาณและความสามารถในการควบคุมพลังิญญาของผู้ฝึกตนเป็หลัก ยิ่งระดับสูงเท่าไร ก็หมายความว่าผู้ฝึกตนยิ่งเชี่ยวชาญในการใช้พลังิญญามากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น จำนวนดวงดาราจึงเป็เครื่องพิสูจน์อย่างไม่ต้องสงสัย
ในเมื่อลู่เต้าได้รับการพิสูจน์แล้ว นั่นหมายความว่าเขาต้องปลุกพลังิญญาได้จากผลไม้สีทองนั่นอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไป๋เสียก็ะโผละตัวออกมาจากลู่เต้า ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วมองลงมาที่ลู่เต้า “เอาละ! ให้ข้าได้ประลองพลังิญญาที่เ้าเพิ่งปลุกขึ้นมาหน่อยเถอะ!”
แววตาของไป๋เสียลุกโชนด้วยไฟแห่งความกระหาย เขาชูนิ้วขึ้นร่ายอาคม สร้างเกราะแสงป้องกันขึ้นล้อมรอบ ตน
ยิ่งไปกว่านั้น…เกราะแสงยังมีมากกว่าหนึ่งชั้น! เป็เกราะป้องกันหลายชั้น!
ลู่เต้าที่อยู่เบื้องล่างมองไป๋เสียที่ดูเหมือนเตรียมพร้อมอย่างมาก สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนใบหน้า
‘แย่แล้ว…พูดไม่ออก…’ เขาคร่ำครวญในใจ
‘ถึงข้าจะเลื่อนระดับแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองตื่นรู้เคล็ดวิชาอะไร’ หากพูดออกไปแบบนี้ คงถูกด่าจนเือาบแน่
จนถึงตอนนี้ลู่เต้าทำได้เพียงกัดฟันสู้ เขายกมือขวาขึ้นพลางมองไป๋เสียบนอากาศ หลับตาลงพลางท่องในใจว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยกมือขึ้นแสร้งทำเป็...”
ไม่รู้ว่าเมื่อไป๋เสียเห็นลู่เต้าขยับตัว หรือคิดว่านี่คือเคล็ดวิชาที่สืบทอดมาจากปฐมบรรพชนวิถีอสูรตัวจริง จึงรีบสร้างเกราะป้องกันเพิ่มขึ้นอีกหลายชั้น แถมยังเตรียมอาหารบำรุงกำลังสำหรับรักษาไว้ล่วงหน้าด้วย
เมื่อเห็นไป๋เสียเตรียมการอย่างยิ่งใหญ่ ลู่เต้าก็ได้แต่ร้องไห้ในใจ “แย่แล้ว...หมอนี่ต้องฆ่าข้าแน่...”
